บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2064 เกลาบท
บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 2064 เกลาบท
หลังจากเซเว่นอัพกลับถึงวังหลวงก็ไม่พูดไม่จาตลอด ในใจมีความหนักอึ้งที่สลัดไม่หลุด
มักรู้สึกว่าชาตินี้คนของหอจัยซิงลำบากยิ่งนัก
หยวนชิงหลิงเห็น เรียกเจ้าห้าไปแนะนำปลอบใจ บางครั้งระหว่างพ่อลูกก็จำเป็นต้องพูดคุยกัน
เจ้าห้ายกกาสุราเข้ามา บุตรชายเติบใหญ่แล้ว สามารถดื่มได้สองจอกเล็ก บุรุษสองคนลูบจอกสุราสนทนาจะเผยความในใจได้ดีกว่า ไม่ปกปิด
เซเว่นอัพเล่าเรื่องคนของหอจัยซิงกับบิดา รู้สึกเสียดายแทนพวกเขา เดิมพวกเขาควรมีชีวิตที่ดีและสมบูรณ์ยิ่งกว่านี้ มีครอบครัว มีภรรยางดงามและบุตรอันเป็นที่รัก
หลังจากหยู่เหวินเห้าได้ฟังแล้วกลับส่ายหน้า “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าพวกเขาไม่มีความสุข ทำไมถึงไปจำกัดจำเขียดนิยามชีวิตที่สมบูรณ์ สำหรับพวกเขาแล้ว จนถึงยามแก่ชราก็ยังสามารถอยู่กับคนที่รู้จักได้เหมือนวัยหนุ่ม อีกทั้งผ่านมาทั้งชีวิต นั่นก็คือความสุขที่ยิ่งใหญ่แล้ว”
“เซเว่นอัพ ชีวิตคนไม่ได้มีวิธีการดำรงชีวิตเพียงอย่างเดียวจึงเรียกว่าความสุข ในโลกบ้านเดิมของพวกเขาก็มีคนมากมายที่ไม่ได้แต่งงาน หรือไม่ก็ไม่มีลูกไม่ใช่หรือ พวกเขาก็เหมือนกับคนที่แต่งงานมีลูกทุกอย่าง ต่างใช้ชีวิตที่ตัวเองเลือก และแต่ละรูปแบบชีวิตก็มีสองด้านสองมุม ดีกับไม่ดี สำหรับมาตรฐานของประเพณีนิยมต้องแต่งงานมีลูกถึงจะสมบูรณ์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้บอกว่าในการแต่งงานมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ การหักหลังทำร้ายกันเท่าไรนี่ นั่นเป็นความสุขที่แท้จริงหรือ สำหรับคนที่ไม่ได้แต่งงานมีลูก ขอเพียงจิตใจเป็นอิสระ ก็ยังต้องเผชิญกับการโจมตีและการทำร้ายอยู่ดี และคนที่แต่งงานก็มีโอกาสประสบกับการทำร้ายเหล่านี้เช่นกัน ข้ากลับคิดว่าชีวิตพวกเขานั่นแหละที่ดีจริง มักมีคนที่ไม่ทอดทิ้งอยู่ข้างกาย ทะเลาะเบาะแว้ง ชุลมุนวุ่นวายตลอดชีวิต”
เซเว่นอัพฟังคำกล่าวของบิดา เหมือนกับถ้อยคำของผู้เฒ่าองครักษ์เงาดำ เขาคิดว่าความเข้าใจในชีวิตของตนเองเพิ่มสูงขึ้นอีกแล้ว เมื่อก่อนอาจเป็นเพราะเห็นความสุขในตอนที่ท่านพ่อท่านแม่อยู่จนเคยชิน และมักคิดว่าแบบนี้นี่แหละจึงเป็นความสุขที่แท้จริง แต่พอคิดอย่างละเอียด จะมีสามีภรรยาที่เหมือนท่านพ่อท่านแม่ของเขาเช่นนี้สักเท่าไร
ครั้นคิดถึงคนกลุ่มนั้นที่หอจัยซิง หากให้พวกเขาไปรับมือกับปัญหาจิปาถะในการแต่งงาน กลัวแต่จะยิ่งไก่เตลิดสุนัขวิ่งพล่านไม่สงบ
พวกเขาจะไม่ดีใจจนกระโดดโลดเต้นเพราะเนื้อหนึ่งมื้อ สุราหนึ่งมื้อเท่านั้นอีก
“เจ้าเนี่ย ไม่จำเป็นต้องเสียดายชีวิตพวกเขาหรอก ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีก็พอ” หยู่เหวินเห้ายกจอกสุรามองบุตรชาย ผู้ที่เป็นดั่งผู้มีพรสวรรค์สูงส่งนี้ อีกไม่นานก็คงมีคนที่ตนชอบแล้ว
ในฐานะที่เป็นบุรุษซึ่งมีความสุขในชีวิตแต่งงาน เขาจะไม่นิยามชีวิตของคนอื่น จะแต่งงานหรือไม่ไม่สำคัญ แต่เขารู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องประสบสักครั้ง
ก็ได้ การที่เขาคิดอย่างนี้เป็นการตีกรอบอีกแล้ว ต้องมีคนที่ไม่อยากมีความรัก ต้องเคารพผู้ที่ใช้ชีวิตโดยการทำตามใจปรารถนา
หลังจากกลับจากเป่ยถัง เซเว่นอัพก็เริ่มเขียนบทภาพยนตร์แบบสะดุด
คุณปู่โพ่ตี้อวี้บอกว่าผลงานชิ้นแรกของบริษัทพวกเขา จะต้องได้เรื่องเล่าของคนรุ่นก่อนของเป่ยถัง
เขาก็กำลังเลือกนักแสดงแล้ว เซเว่นอัพได้ยินเขาบอกว่าจะเลือกนักแสดง ก็นึกว่าช่วงที่ตนกลับไป เขาได้จัดการการเตรียมการเบื้องต้นแล้วเสียอีก
โพ่ตี้อวี้คิดว่าต้องเลือกนักแสดงดังหน่อย งบประมาณมากหน่อยก็ไม่เป็นไร ต้องได้กระแส
แต่เซเว่นอัพกลับคิดว่าไม่เกี่ยวกับจะเป็นนักแสดงดังหรือไม่ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความต้องการด้านทักษะการแสดงสูง ต้องหาผู้ที่มีทักษะการแสดง
“พวกคนมีความสามารถที่มีทักษะการแสดงค่าตัวยังถูกกว่าเด็กใหม่ที่กำลังเป็นที่ฮอตฮิตเสียอีก เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้ เธอวางใจเขียนบทเถอะ” โพ่ตี้อวี้ตบหน้าอกรับประกันทันที
“ผมเขียนโครงเรื่องกับตัวละครแล้ว จะพิมพ์ออกมาก่อน ตอนที่ท่านไปคุยจะได้ง่ายหน่อย อย่างน้อยคนเขาก็รู้ว่าบทของตัวเองน่าสนใจหรือเปล่า”
เซเว่นอัพเร่งทำงานทันที และส่งตัวละครถึงมือโพ่ตี้อวี้ในเวลากลางคืน
รอจนโพ่ตี้อวี้เริ่มยุ่งแล้ว ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทกลับสับสนมาก “พวกเราต้องทำโครงการเสนอก่อนหรือเปล่าครับ”
โพ่ตี้อวี้สับสนยิ่งกว่า “ทำโครงการ? ไม่ใช่ว่าทำไว้แต่แรกแล้วเหรอ บอกให้เธอไปทำโครงการแล้วนี่”
“บอกน่ะบอกแล้ว แต่ท่านสั่งมาเฉยๆ แม้แต่ชื่อหนังก็ไม่ได้กำหนด ตัวละครอะไรก็ไม่มี ทีมสร้างก็ไม่ได้ตั้ง แล้วผมจะเสนอยังไงครับ ไม่ทำโครงการเสนอก็ไม่ได้ใบอนุญาตถ่ายทำนะ”
โพ่ตี้อวี้เอามือไพล่หลัง “งั้นเธอก็บอกสิ เธอไม่บอกฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าเธอต้องการอะไรบ้าง ฉันไม่เคยทำถ่ายหนังสักหน่อย”
ผู้จัดการใหญ่หัวเราะพลางเอ่ย “งั้นท่านก็ต้องเปิดโอกาสให้ผมได้บอกกับท่านสิครับ ตั้งแต่ตั้งบริษัทมาถึงตอนนี้ ท่านมาแค่สามครั้ง ทุกครั้งที่มาก็ไปอย่างรีบร้อน ขนาดพูดยังพูดได้ไม่กี่ประโยคเอง”
โพ่ตี้อวี้ขมวดคิ้ว “ฉันยุ่งมาก จะมีเวลามาดูเรื่องพวกนี้ที่ไหน”
“ถ้าท่านยุ่ง ไม่มีเวลาจัดการ งั้นก็ให้ผมดูแล?”
“นั่นไม่ได้ ฉันต้องการความรู้สึกร่วม เรื่องอื่นยกให้เธอได้ แต่เรื่องนี้ข้าต้องควบคุมครบทุกกระบวน”
“ท่านควบคุมได้ แต่ท่านไม่ใช่คนในแวดวงธุรกิจนี้ มีหลายขั้นตอนที่ท่านไม่เข้าใจ ท่านยังต้องให้ผมช่วยท่านอยู่ดีนะครับ”
“ก็ต้องให้เธอช่วยอยู่แล้ว นี่ไง ก็ให้เธอทำโครงการไปเสนอแล้วมิใช่เหรอ การเลือกนักแสดงอะไรเธอก็ร่วมได้ ช่วยฉัยดูหน่อย”
โพ่ตี้อวี้รู้สึกว่าการถ่ายภาพยนตร์ยากมาก เรื่องเยอะแยะมากมายเป็นกอง แต่จะยากอย่างไร ยังจะยากไปกว่าการทำธุรกิจหรือ และต่อให้ยากแค่ไหนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้
ตอนก่อตั้งบริษัท เขาก็อยากถ่ายแต่ภาพยนตร์นี้ แต่ตอนนี้ก่อตั้งบริษัทแล้ว มีทีมแล้ว ทุกคนก็อยากทำให้ใหญ่และทำให้ดี ดังนั้นพอเริ่มก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาสามารถตัดสินใจตามลำพังได้แล้ว
เขาเริ่มปรับตัวกับเหล่าพนักงาน อย่างน้อยทีมนี้ต้องเชื่อถือได้ ทำให้เซเว่นอัพไม่มีเรื่องที่ต้องกังวลภายหลัง หากจะทำ ก็ต้องทำให้ดีที่สุด
ในที่สุดก็ถึงขั้นตอนการคัดเลือกนักแสดง
ต้องกำหนดพระเอกนางเอกก่อน หรือก็คือพี่เหว่ยกับโล่หมัน โพ่ตี้อวี้คิดว่าพระเอกควรมีสองคน นอกจากพี่เหว่ยแล้ว เจ้าดำก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้น
เขาคิดว่านี่ก็คือภาพยนตร์ที่มีพระเอกสองคน
แต่ตอนนี้ทีมของบริษัทมีข้อคิดเห็นกับบทเล็กน้อย
ผู้จัดการใหญ่คิดว่าบทภาพยนตร์นี้มีเรื่องกลยุทธ์ฉกชิงอำนาจเป็นส่วนใหญ่ ขาดเรื่องยุ่งเหยิงด้านความรักมาก องครักษ์เงาดำก็ไม่ได้เกิดใจพิศวาสนางเอกโล่หมัน พูดได้ว่านอกจากเรื่องกลยุทธ์ฉกชิงอำนาจแล้ว ก็คือยากจนข้นแค้น ภาพยนตร์แบบนี้ไม่เป็นที่นิยม เขาเสนอให้ตั้งทีมเขียนบทขึ้นมา ขัดเกลาเรื่องใหม่อีกรอบ
อย่างน้อย ก็เพิ่มคนที่แอบชอบนางเอกอีกสักสองคน