บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2071 แม่ลูกออกโรง
บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 2071 แม่ลูกออกโรง
ประธานโพ่คิดว่าตนไม่เชี่ยวชาญการจัดการเรื่องแบบนี้ แต่ก็มีผู้หนึ่งที่เหมาะสมเป็นพิเศษ นั่นก็คือผู้จัดการใหญ่
เมื่อผู้จัดการใหญ่ได้ยินก็ตบหน้าอกพลัน “ผมจัดการเองครับ”
ประธานโพ่มองดูใบหน้าดีใจของเขา รู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างมาก “ดี เธอจัดการแล้วกัน”
เขาเดินมือไพล่หลังจากไป จะให้คนผู้นี้อยู่ต่อไม่ได้ จัดการเรื่องนี้เสร็จก็ไล่ออกไปเสีย เรื่องสำคัญไม่ใส่ใจ แต่กลับสนอกสนใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนักเชียว
ทำลายประเพณีนิยมของบริษัท วัฒนธรรมองค์กรของบริษัทจะมีเรื่องสกปรกเช่นนี้ไม่ได้
หลังจากจบพิธีเปิดกล้องแล้ว ผู้จัดการใหญ่ก็โทรศัพท์หาผู้จัดการของโล่เป่าอี้ทันที บอกว่าคุณหยู่เหวินต้องการคุยเรื่องบทกับเธอ นัดให้มาเจอกันที่โรงแรมเป่าไหลในคืนพรุ่งนี้ จะช่วยให้เธอเข้าถึงบทให้ได้เร็วที่สุด
พอผู้จัดการของโล่เป่าอี้วางสายโทรศัพท์ก็พูดขึ้นด้วยความโกรธ “คุยเรื่องบทอะไรต้องไปคุยที่โรงแรม แถมเธอก็เข้ากองแล้ว มีอะไรก็พูดกันที่กองถ่ายเลยไม่ได้เหรอ นี่มีแผนอื่นชัดๆ”
โล่เป่าอี้ถาม “ใช่คุณหยู่เหวินที่เป็นผู้ลงทุนหรือเปล่าคะ”
“เป็นเขาแน่นอน จะเป็นนักเขียนบทได้เหรอ นักเขียนบทยังเด็กอยู่เลย เห็นว่ายังเรียนหนังสืออยู่เลยแน่ะ”
“แต่ฉันรู้สึกว่าคุณหยู่เหวินไม่เหมือนคนเลวนะ ท่าทางเถรตรง ในตาเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามยุติธรรม เป็นมิตรกับฉันมาก เขาจะคุยเรื่องบทจริงๆ หรือเปล่า”
“เธอโง่หรือยังไง คุยเรื่องบททำไมต้องไปโรงแรมด้วย ไปโรงแรมก็มีแต่…” ผู้จัดการส่วนตัวมองเด็กสาวไร้เดียงสา เฮ้อ ไม่อยากบอกเธอเลยจริงๆ ว่าในวงการนี้มืดมนขนาดไหน แต่ในเมื่อจะอยู่ในวงการนี้ต่อ ความเป็นจริงบางเรื่องก็ยังต้องรับรู้เอาไว้
เธอดึงโล่เป่าอี้นั่งลง แล้วเริ่มสาธยายเรื่องในวงการนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
หลังจากโล่เป่าอี้ได้ฟังแล้วกลับพูดว่า “ฉันก็รู้เรื่องพวกนี้นะคะ ฉันหมายถึงว่าคุณหยู่เหวินไม่เหมือนจะเป็นคนอย่างนั้น”
“เธอเคยเจอมากี่คนเชียว เธอจะไปรู้อะไร” ผู้จัดการเห็นเธอไม่เชื่อก็ทำหน้าขรึมตำหนิ “ครั้งนี้จะไปไม่ได้ ต่อให้ต้องยกเลิกสัญญาก็ไปไม่ได้”
“ถ้าพี่ไปเป็นเพื่อนฉันล่ะ” โล่เป่าอี้พิจารณา “ถ้าเขาจะคุยเรื่องบทกับฉันจริงๆ งั้นพวกเราก็ระแวงมากไปแล้ว ถ้าไม่ไป พวกเราก็จะคิดกันอยู่อย่างนี้ คิดว่าคุณหยู่เหวินเป็นคนที่มีแผนการร้าย แต่ถ้าเขาไม่เป็นอย่างนั้นล่ะคะ ถ้าพวกเราเข้าใจผิด นี่ก็จะไม่ยุติธรรมกับเขานะ ไม่อย่างนั้นพี่ก็ไปเป็นเพื่อนฉันสิ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลพวกเราก็กลับ เป็นไงคะ”
ผู้จัดการรู้ว่าเธอหัวดื้อจึงพูด “ถ้าเธอจะไปให้ได้ งั้นฉันก็จะไปเป็นเพื่อนเธอ”
“พี่หลาน พี่วางใจเถอะ ฉันรู้จักดูแลตัวเอง” โล่เป่าอี้ยิ้มสวย ปรากฏลักยิ้มสองอัน “ฉันเรียนศิลปะป้องกันตัวตั้งแต่เด็ก พี่ลืมไปแล้วเหรอ แล้วพี่สาวของฉันก็เคยให้สเปรย์ยาป้องกันตัวกับฉันด้วย”
ผู้จัดการหยิกแก้มเธอทีหนึ่ง “ทางที่ดีเธอต้องรู้จักปกป้องตัวเอง ไม่อย่างนั้นฉันจะไปพูดกับจิ่นซูยังไง”
โล่เป่าอี้ยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาใสแววกะพริบประกายแห่งความเฉลียวฉลาด “พี่หลาน เชื่อฉันนะ ฉันมองคนแม่นจะตาย คนดีคนไม่ดีฉันแยกได้น่า คุณหยู่เหวินไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอก”
พี่หลานถอนหายใจ “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
แต่เธอไม่คิดอย่างนั้น อาชีพนี้เห็นมามากแล้ว การนัดไปโรงแรมตอนกลางคืนอะไรเนี่ย ยังมีเรื่องอะไรได้อีก
ไปก็ดี นังเด็กจะได้ไม่ซื่อขนาดนั้น เธอต้องระมัดระวังรอบคอบกว่านี้หน่อย
หยู่เหวินเห้าอยู่ที่โรงพยาบาลได้รับสายโทรศัพท์จากผู้จัดการใหญ่ บอกว่าคืนนี้นัดโล่เป่าอี้ไปคุยเรื่องบทที่โรงแรมเป่าไหล ขอให้เขาไปถึงตรงเวลาตอนสามทุ่ม
หลังจากหยู่เหวินเห้าวางสายโทรศัพท์ก็งุนงงมาก ผู้จัดการใหญ่คนนี้รู้เบอร์โทรศัพท์ของเขาได้อย่างไร เหล่าโพ่ให้เขาหรือ
แล้วทำไมต้องไปคุยเรื่องบทกับนางเอกที่โรงแรมเป่าไหลตอนสามทุ่มด้วย ถึงเขาจะเคยอ่านเนื้อเรื่อง แต่ถ้าจะคุยเรื่องบท นั่นไม่ควรคุยกับเซเว่นอัพหรือ
“ท่านพ่อ มีอะไรหรือ” เซเว่นอัพยืนอยู่ด้านข้าง เห็นบิดารับโทรศัพท์แล้วก็เหม่อไปเล็กน้อยจึงถาม
หยู่เหวินเห้าถือโทรศัพท์มือถือ เอ่ยอย่างงุนงง “ผู้จัดการใหญ่บริษัทพวกเจ้าบอกว่านัดนางเอกให้ไปคุยเรื่องบทที่โรงแรมเป่าไหลคืนนี้ ให้ข้าไปตามสามทุ่ม ข้าจะไปรู้เรื่องบทอะไรกัน”
แม้เซเว่นอัพจะไม่เคยเข้าวงการบันเทิง แต่นึกถึงที่ผู้จัดการใหญ่ตามประจบประแจงบิดาตลอดเมื่อวานนี้ อีกทั้งปู่โพ่ยังบอกว่าบิดาคือหนึ่งในผู้ลงทุน ผู้จัดการใหญ่คงอยากเอาใจท่านพ่อกระมัง
เขาหัวเราะเอ่ย “คงเป็นปู่โพ่เรียกให้ข้าไปคุยเรื่องบท แต่ผู้จัดการใหญ่ฟังผิด ก็เลยโทรผิดหาท่าน ไม่เป็นไร ข้าไปเอง”
“อื่ม เจ้าไปเถอะ” หยู่เหวินเห้าพยักหน้า แต่ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่อง เขาย่อมไม่เชื่อคำพูดนี้ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้จัดการใหญ่จะไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเซเว่นอัพ
อีกทั้งเบอร์โทรศัพท์ของเขายังค่อนข้างเป็นความลับ น่าจะเป็นเหล่าโพ่ที่ให้เขา
เหล่าโพ่คิดจะทำอะไรน่ะ คิดดูก็รู้ แม้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานหลายปีขนาดนี้ แต่เนื้อแท้ยังเป็นคนเป่ยถัง
“เจ้าไปเถอะ ให้ท่านแม่เจ้าไปด้วย” หยู่เหวินเห้าตบบ่าของเขา เอ่ยด้วยความหมายเชิงลึก
“ได้ ข้ารู้แล้ว”
สองพ่อลูกต่างเข้าใจ แต่กระดากที่จะพูดเรื่องนี้ ในเมื่อบอกว่าจะคุยเรื่องบท เช่นนั้นก็คุยเรื่องบทสักหน่อยแล้วกัน
สามทุ่ม พี่หลานที่เป็นผู้จัดการก็พาโล่เป่าอี้ มาถึงโรงแรม กดกริ่งตามห้องที่ผู้จัดการใหญ่บอก
พี่หลานทำใจไว้แล้ว พอประตูบานนี้เปิดออก ถ้าเป็นผู้ชายที่ใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย อย่างนั้นเธอก็จะพาโล่เป่าอี้กลับทันที
ประตูเปิดออกแล้ว กลับเป็นผู้หญิงสวยสง่าคนหนึ่ง เมื่อวานเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่พิธีเปิดกองถ่ายแล้ว เป็นคุณแม่ของอาจารย์หยู่เหวินน้อย ตอนนั้นเธออึ้งมาก ทำไมแม่ของอาจารย์หยู่เหวินน้อยถึงอ่อนเยาว์อย่างนี้ หรือน่าจะบอกว่า พ่อแม่ของเขาหนุ่มมาก
“สวัสดีค่ะ คุณนายหยู่เหวิน” พี่หลานรีบกล่าวคำทักทาย “พวกเรามาสายไปหน่อย ระหว่างทางรถติดน่ะค่ะ”
รอยยิ้มโล่เป่าอี้ประดับอยู่เต็มแก้ม น่ารักน่าเอ็นดู “สวัสดีค่ะ คุณนายหยู่เหวิน!”
เธอไม่ได้มองคนผิด บอกแล้วว่าคุณหยู่เหวินไม่ใช่คนอย่างนั้น
พอเข้าไปในห้องของโรงแรม ก็เห็นอาจารย์หยู่เหวินน้อยกำลังต้มน้ำอยู่ เตรียมจะชงน้ำชา อุปกรณ์ชาเตรียมพร้อมแล้ว อีกทั้งในห้องก็ไม่มีสุราด้วย
คราวนี้พี่หลานวางใจแล้ว โปร่งใสจริงๆ ด้วย
หยวนชิงหลิงเชิญพวกเธอนั่งลง จากนั้นก็อธิบาย “อาจารย์โล่ ที่ฉันเรียกให้คุณมากะทันหัน ก็เพราะอยากถกตัวละครโล่หมันกับคุณสักหน่อย ฉันพอรู้มาบ้าง เพราะว่าตอนนี้พวกคุณเริ่มถ่ายละคร กลางวันไม่ว่าง ฉันก็เลยให้คุณมาตอนกลางคืน หวังว่าจะไม่รบกวนเกินไปนะคะ”
โล่เป่าอี้ปัดมือทันที “ไม่ค่ะ ไม่ค่ะ คุณนาย คุณเรียกฉันว่าเสี่ยวโล่ก็พอค่ะ ไม่ต้องเรียกฉันว่าอาจารย์โล่หรอก”
‘อาจารย์’ คำนี้ เธอรับไม่ได้จริงๆ
“ได้ เสี่ยวโล่!” หยวนชิงหลิงอมยิ้มมองเด็กสาวคนนี้ แต่ในใจกลับกำลังดีดลูกคิด จะคิดบัญชีกับโพ่ตี้อวี้อย่างไรดีนะ