บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2072 เล่นละครจนพอใจ
บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 2072 เล่นละครจนพอใจ
วันต่อมา โพ่ตี้อวี้ถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล เพื่อเข้ารับการตรวจร่างกายพร้อม ๆ กับสามยักษ์ใหญ่
เขาไม่อยากไป การตรวจร่างกายเป็นรายการที่เขาต่อต้านมากที่สุด แล้วเรื่องที่เขาไปโต้แย้งในโรงแรมเป่าไหลเมื่อคืนนี้ ก็เป็นผู้จัดการใหญ่ที่คิดเองเออเองคนเดียวทั้งนั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยสักกระผีกริ้น
คนเราพออายุมากเข้า ความคิดก็จะกลับไปไร้เดียงสาเหมือนกับเด็ก ๆ เขาคิดว่าขอแค่แก้ต่างให้ตัวเองสักนิดสักหน่อย ฝ่าบาทก็จะต้องเชื่อเขาแน่
เพราะถึงอย่างไร เมื่อก่อนฝ่าบาทก็เคยเคารพนับถือเขาอยู่หลายส่วน
แต่ฮองเฮากลับไม่ยอมฟังคำอธิบายใด ๆ ก็ดำเนินขั้นตอนการส่งตัวเข้าโรงพยาบาลให้เขาทันที จากนั้นฝ่าบาทก็เปลี่ยนท่าทีแบบไม่เหลือไมตรีให้เลยสักนิด ด้วยการออกคำสั่งอย่างเข้มงวดว่า “ข้าจะไม่พูดเป็นครั้งที่สอง ทางที่ดีเจ้าควรปฏิบัติตามคำสั่งจะดีกว่า”
โพ่ตี้อวี้ถูกฝ่าบาทพาตัวไปคุยในห้องน้ำของโรงพยาบาล ส่วนรับสั่งนี้ก็เป็นการสั่งในห้องน้ำด้วย โพ่ตี้อวี้ก้มหน้ามองไปที่พื้นห้องน้ำ ทำท่าจะคุกเข่าลงเพื่อรับพระบัญชาด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
หยู่เหวินเห้ารีบเข้าไปพยุงเขาไว้ “แค่เชื่อฟังคำสั่งก็พอ ฉี่เสร็จก็กลับไปนอนที่ห้องพักผู้ป่วยซะ”
“ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท!” โพ่ตี้อวี้ทำได้แค่ตอบรับพระบัญชา แต่รอจนฝ่าบาทจากไปแล้ว เขาก็รีบโทรหาผู้จัดการใหญ่ทันที
ผู้จัดการใหญ่อยู่ดี ๆ ก็ถูกโยนความผิดให้แบบไม่มีเหตุผล จึงโกรธมากไม่แพ้กัน แผดเสียงตะโกนจากปลายสายมาว่า: “ในเมื่อเป็นแบบนี้ล่ะก็ ผมขอลาออก ผมไม่ทำแล้ว จะดีจะชั่วผมก็เป็นถึงผู้จัดการใหญ่ เต็มไปด้วยอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่คุณก็เอาแต่สั่งให้ผมทำเรื่องที่มันไม่ตรงประเด็น ไม่อยู่ในขอบเขตของหน้าที่ตลอดเลย ถ้าไม่ให้อำนาจผมจัดการงานในมือเอง แล้วจะให้ผมขยายกิจการงานที่ทำอยู่ให้มันพัฒนาขึ้นได้ยังไงล่ะ?”
พูดจบ เขาก็ถึงกับวางสายไปในทันที
ประธานโพ่แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยทีเดียว มีอย่างที่ไหน ถึงกับกล้าตะโกนใส่เขาเลย? แถมยังกล้าลาออกเองด้วย?
นี่เขายังไม่ได้อ้าปากไล่อีกฝ่ายออกเลยนะ
ไม่ได้! มีแค่เขาที่สามารถไล่ผู้จัดการใหญ่ออกได้ เขาไม่ยอมรับการลาออกเองของอีกฝ่าย
ดังนั้น เขาจึงโทรกลับไปอีกสาย แล้วแผดเสียงให้ดังยิ่งกว่าเสียงที่ผู้จัดการใหญ่เพิ่งตะโกนใส่เขาเมื่อกี้ว่า “ผมไม่อนุมัติการลาออกของคุณ ถ้าคุณกล้าไม่มาทำงานล่ะก็ ผมจะฟ้องคุณฐานผิดสัญญา คอยดูเถอะ!”
อีกด้านหนึ่ง ผู้จัดการใหญ่วางสายเสร็จ ก็แทบจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าร้องไห้อย่างขมขื่นอยู่แล้ว โชคดีที่เขาเองก็เข้าใจนิสัยของประธานโพ่เป็นอย่างดี ว่าเขาเป็นพวกที่ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล ต้องใช้ไม้แข็ง ถึงได้กล้าพูดคำพูดที่มันหักหาญน้ำใจกันแบบนี้ออกมา จึงได้แต่ต้องยอมถอยให้ก่อนเพื่อจะก้าวไปข้างหน้าต่อได้
เขาไปจากบริษัทนี้ไม่ได้ เพราะถ้าเขาไป คงไม่สามารถหางานในตำแหน่งดี ๆ แบบนี้ได้อีกแน่
เนื่องจากเมื่อนานมาแล้วทางประธานโพ่เคยรับปากฝ่าบาทไว้ ว่าเขาจะหาดารารับเชิญมาให้ฝ่าบาท แต่หลังจากคิดไปคิดมา ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าควรจะเชิญใครถึงจะเหมาะสม
ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกเซเว่นอัพมาที่โรงพยาบาล เพื่อปรึกษาหารือร่วมกัน คิดว่าจะยังไงก็ควรต้องหาบทบาทอะไรสักอย่างให้เขา
สามยักษ์ใหญ่ก็พยายามนึกย้อนความทรงจำกันอย่างสุดความสามารถ คิดว่าในช่วงเวลานั้น ใครที่เหมาะสมที่สุดที่จะให้เจ้าห้าแสดงกันนะ?
ในที่สุดสามยักษ์ใหญ่ก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ คนคนนี้ปรากฏตัวไม่มากนัก มีบทแค่ฉากเดียวหลังจากถ่ายทำฉากนี้เสร็จ เขาก็สามารถตายไปได้เลย
ถูกต้อง ก็คือคุณชายตระกูลฟางที่ทะเลาะวิวาทกับหยู่เหวินหานในหอฉิน แล้วตายไปคนนั้นนั่นเอง
แต่หยู่เหวินเห้าจะเป็นจะตายก็ไม่ยอมเล่นบทนั้น ไม่ใช่เพราะเขาจู้จี้จุกจิกอะไรกับบทที่ว่า แต่เป็นเพราะคนคนนั้นถูกหยู่เหวินหานทุบตีจนตาย เขาแค่รู้สึกไม่ยินดีที่จะถูกเศษสวะอย่างหยู่เหวินหานทุบตีจนตายก็เท่านั้น
จนสุดท้าย เขาก็เป็นคนเสนอเองว่า เขาจะเล่นเป็นแม่ทัพหลี่ผู้มีหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ประตูเมือง
“เขา?” เซเว่นอัพครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่เขามีบทได้ออกฉากค่อนข้างเยอะนะ มีหลายฉากเลยด้วย ท่านพ่อ ท่านมีเวลามากขนาดนั้นเลยหรือ?”
“สิบวัน ถ่ายฉากของพ่อก่อน” หยู่เหวินเห้าตอบ
เซเว่นอัพพูดด้วยท่าทางดีใจ “ท่านพ่อยังอยู่ต่อได้อีกสิบวันเลยรึ?”
เมื่อหยู่เหวินเห้าได้เห็นใบหน้าที่ตื่นเต้นยินดีของลูกชาย ในใจก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างมาก รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่พ่อให้ดี ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาได้แต่ทุ่มเทเพื่อการงานและอาชีพ จนแทบจะไม่ได้สนใจเรื่องของลูก ๆ เลย พอเวลาที่พวกเขารวมตัวกันกลับไปเยี่ยมหา ความสนใจส่วนใหญ่ของเขาก็ไปอยู่ที่เจ๋อหลานหมด จนละเลยพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง
เขายิ้มแย้ม แววตาอ่อนโยน “ได้แน่นอนสิ นี่เป็นจุดเริ่มต้นในอาชีพของเจ้าเชียวนะ พ่อต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่แน่นอน”
ประธานโพ่พูดด้วยสีหน้ายินดีว่า: “ถ้าฮองเฮาสามารถมาปรากฏตัวในฐานะดารารับเชิญได้ด้วย คงจะดีมาก ๆ เลยนะครับ”
อู๋ซ่างหวงถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าคิดว่านางว่างมากรึ? ไม่ง่ายเลยกว่าที่นางจะได้กลับมาสักครั้ง นางยังต้องไปใช้เวลากับพ่อแม่ให้มาก ๆ แล้วก็ยังต้องไปทำงานในฐานะคนงานที่นั่นด้วย”
ที่นั่นที่ว่า ก็คือสถาบันวิจัยของหยางหรูไห่ ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่หยวนชิงหลิงไปที่นั่น ก็จะบอกว่าจะไปที่นั่นเพื่อช่วยทำงานบางอย่าง พอเวลาผ่านไปนานเข้า เมื่อไหร่ที่นางหายตัวไป ก็รู้กันได้เลยว่านางไปเป็นคนงานที่นั่น
ด้วยเหตุนี้ หยู่เหวินเห้าจึงเข้าร่วมกลุ่มเป็นที่เรียบร้อย
ในฐานะฮ่องเต้ราชวงศ์หนึ่ง ทักษะการแสดงละครของเขาย่อมต้องดีเป็นธรรมดา เพราะถึงอย่างไร ตอนที่ยังเป็นอ๋องฉู่กับรัชทายาท เขาก็ไม่เคยขาดการแสดงละครในเวลาที่ต้องต่อสู้ห่ำหั่นระหว่างที่อยู่ในราชสำนักอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขาอยู่บนบัลลังก์ในท้องพระโรง เขามักต้องจ้องมองไปยังบรรดาขุนนางที่อยู่ด้านล่าง เพื่อสังเกตดูสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปบนใบหน้าของแต่ละคน ต่อให้เป็นการแสดงออกที่เล็กน้อยแค่ไหน เขาก็สามารถตีความได้อย่างถูกต้อง แน่นอนว่า สิ่งนี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจในตัวละครของเขาอย่างยิ่ง
ทีมงานภาพยนตร์จะถ่ายทำฉากของเขาก่อน ฉากแรกคือฉากที่เขารับอนุเข้าจวน แม่ทัพในจวนอ๋องซู่ไปกินข้าวกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ หยู่เหวินเห้าเคยได้ยินรายละเอียดของฉากนี้มาหลายครั้งแล้ว
ในฉากนี้เขาไม่นับว่าเป็นตัวละครหลัก มีบทไม่มากนัก ส่วนใหญ่คือแค่ดูพวกเขากินข้าวด้วยท่าทางเซ่อซ่าปากอ้าตาค้าง แล้วการทำท่าทางเซ่อซ่าปากอ้าตาค้างก็เป็นอะไรที่ง่ายมาก ๆ ทีเดียว
มี NG ไม่มาก ล้วนเป็นนักแสดงรุ่นเก่า การดำเนินเรื่องจึงเร็วมาก
เดิมที การที่หยู่เหวินเห้าได้รับเชิญมาเล่นเป็นแม่ทัพหลี่คนนี้ ทั้งยังต้องถ่ายทำฉากของเขาก่อน นักแสดงรุ่นเก่าบางคนในทีมจึงรู้สึกไม่พอใจมาก คิดว่าเขาคงยัดเงินให้ทีมงานเพื่อจะได้มาเล่นบทนี้ ต่างก็คาดเดากันว่าทักษะการแสดงของเขาคงจะย่ำแย่มากแน่ ๆ
ผลสุดท้าย ปรากฏว่าฝีมือการแสดงของเขาเหนือความคาดหมายของทุกคนไปไกลมาก บวกกับที่เขาไม่ใช่นักแสดงอาชีพ แค่ให้เกียรติมาแสดงเป็นดารารับเชิญ ซึ่งมีเวลาเพียงสิบวัน จากนั้นก็ต้องบินไปวิจัยธารน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกา จะไม่ได้กลับมาอีกนานมากทีเดียว ดังนั้นการขอถ่ายทำฉากของเขาก่อนจึงเป็นอะไรที่ฟังดูมีเหตุผลพอจะรับได้
หยูเหวินเห้าก็เป็นคนที่รู้จักเข้าสังคมดีมาก หลังเลิกงานแล้วเขาเชิญทุกคนไปกินข้าว อีกทั้งในวันปกติ ยังขอให้ทีมงานเพิ่มอาหารในกล่องข้าวกลางวันให้ด้วย แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้ โพ่ตี้อวี้เป็นคนออกให้ทั้งหมด
เจ็ดวันต่อมา รอจนเขาปิดกล้อง ทีมงานก็เริ่มอาลัยอาวรณ์ที่จะต้องแยกกับนักวิจัยธารน้ำแข็งคนนี้ซะแล้ว นักแสดงนำชายที่ชื่อว่าคุณหูถึงกับกลายเป็นเพื่อนสนิทของเขา ยังบอกด้วยว่ารอให้เขากลับมาจากทวีปแอนตาร์กติกาแล้ว จะนัดเขาออกไปกินข้าวด้วย
หยู่เหวินเห้ามีความสุขมาก ในที่สุดเขาก็มีเพื่อนที่โลกยุคปัจจุบันแล้ว
ทีมงานของพวกเขามีกลุ่ม WeChat อยู่กลุ่มหนึ่ง ทุกคนขอให้เขาโพสต์รูปภาพมาแชร์กันวันหลังพวกเขาก็อยากเห็นทวีปแอนตาร์กติกาด้วยเหมือนกัน
หยู่เหวินเห้าไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาสามารถทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ให้เซเว่นอัพ เพื่อตอบกลับข้อความของทุกคนได้