บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2075 เช่นนั้นแล้วข้ามีฐานะเป็นอะไรล่ะ
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 2075 เช่นนั้นแล้วข้ามีฐานะเป็นอะไรล่ะ
หยู่เหวินเห้ายังคงปล่อยให้รัชทายาทดูแลงานบ้านเมือง เรื่องนี้เขาไม่คิดจะรีบร้อนบอกอู๋ซ่างหวง ต้องสังเกตทิศทางดูก่อน เรื่องนี้ใหญ่เกินไป จะรีบตัดสินใจแบบลวก ๆ ไม่ได้
อันที่จริงเขาคิดว่า อายุยังน้อยก็รีบเกษียณออกมาก็เห็นจะเป็นอะไร ลองดูฮ่องเต้ในราชวงศ์ที่ผ่านมา ตอนเยาว์วัยต่างก็ทุ่มเททำงานหนักเพื่อสร้างประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง แต่พอแก่ตัวไปกลับกลายเป็นเผด็จการที่ออกจะเลอะเลือนไปแทนเสียได้
อาจเป็นเพราะคนเราเมื่อแก่ตัวไป ก็จะเริ่มกลัวความตายและการสูญเสีย ดังนั้น พวกเขาจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกุมอำนาจไว้ในมือ ทนให้ใครมาพูดจายุแหย่ไม่ได้แม้เพียงครึ่งคำ
ซึ่งเรื่องนี้ ก็มีเสด็จพ่อที่เป็นกรณีศึกษาให้เห็นอยู่แล้ว ทุกเรื่องที่เขาทำค่อย ๆ กลายเป็นเรื่องที่ขาดความยุติธรรม ลำเอียงเข้าข้างคนที่ตัวเองรักใคร่เอ็นดู
แม้เขาจะคิดอย่างนี้ แต่ใจหนึ่งกลับรู้สึกว่าเขากำลังหาข้ออ้างอยู่หรือเปล่า? ถ้าหากเขากำลังหาข้ออ้าง นั่นจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างไร้ยางอายจริง ๆ
แต่จะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนัก อาศัยอะไรที่เจ้าหยวนต้องเสียสละเพื่อเขามาโดยตลอด? ทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้องของนางต่างก็อยู่คนละช่วงเวลาคนละมิติ อาชีพการงานของนางก็อยู่ที่นั่น แต่ผู้คนทางทางฝั่งเป่ยถังกลุ่มใหญ่กลับฉุดรั้งนางไว้ ถ้าพูดกันแบบตรง ๆ นี่มันคือการลักพาตัวทางศีลธรรมชัด ๆ เลยไม่ใช่หรือ?
เขาจะทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้ไม่ได้
ช่วงเวลาแบบนี้ผ่านไปอีกครึ่งเดือน หลังจากสังเกตรัชทายาท ความคิดของเขาที่จะกึ่งเกษียณก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจออกจากวังไปคุยกับอู๋ซ่างหวงก่อน
เนื่องจากตอนนี้สามยักษ์ใหญ่มักจะอยู่ด้วยกันตลอด ทำให้ระหว่างทั้งสามคนไม่มีความลับอะไรต่อกัน ดังนั้นเรื่องนี้เขาจึงไม่ได้คุยกับอู๋ซ่างหวงตามลำพัง แต่ยังเรียกให้ทั้งสองคนอยู่ฟังด้วย
เมื่ออู๋ซ่างหวงได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมาหลายส่วน ไม่พูดอะไรเลยสักคำอยู่นานมาก
อีกสองคนก็ไม่พูดอะไรเลยเหมือนกัน ท่านฉู่ทำท่าคล้ายว่ากำลังใคร่ครวญและประเมิน สมองแก่ ๆ ของเขาเริ่มกระบวนการทำงานด้วยความเร็วสูงปรี้ด
จากนั้นอู๋ซ่างหวงกับเซียวเหยากงก็ค่อย ๆ หันไปมองท่านฉู่พร้อมกัน สถานการณ์ในปัจจุบันของราชสำนัก เขาเป็นคนที่รู้อย่างชัดเจนที่สุด
แม้ปากเขาจะบอกว่าไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวไถ่ถามอะไรแล้ว แต่สุดท้ายก็อยู่เฉยไม่ได้ เมื่อไหร่ที่มีเวลาก็จะวิ่งไปคุยกับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเหล่านั้น หาข้ออ้างไปเยี่ยมบ้านขุนนางใหญ่ เพื่อติดต่อไปมาหาสู่กับพวกขุนนางเก่าแก่บ้างเป็นครั้งคราว
นอกจากนี้ เขายังให้ความสำคัญกับรัชทายาทเป็นพิเศษ ใครก็ตามที่มาตำหนักบูรพา เขาก็จะรีบสั่งให้คนไปตรวจสอบประวัติครอบครัวถึงสามรุ่น อาจดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจอะไร แต่เอาเข้าจริงไม่ว่าอะไรเขาก็สนใจทุกอย่าง
นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมผมบนหัวของเขาถึงได้ขาวโพลนอย่างรวดเร็วแบบนั้น
ในที่สุดท่านฉู่ก็พยักหน้าช้า ๆ เซียวเหยากงค่อยพูดขึ้นว่า “ได้สินะ เช่นนั้นก็ได้สินะ”
หยู่เหวินเห้าหันไปมองอู๋ซ่างหวง แต่อู๋ซ่างหวงกลับไม่แม้แต่จะเลิกคิ้วด้วยซ้ำ ราวกับว่าเขายังคงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอะไรบางอย่าง
“เสด็จปู่ ท่านไม่เห็นด้วยอย่างนั้นรึ? ท่านยังมีข้อกังวลหรือข้อตำหนิอะไร เชิญพูดออกมาเพื่อหารือร่วมกันเถอะ หลานสามารถให้คำตอบที่ท่านพอใจได้”
ท่านฉู่พูดว่า: “เจ้าหก แม้ว่าจนถึงตอนนี้รัชทายาทจะดูแลงานบ้านเมืองได้ไม่นาน แต่เขาก็มีส่วนร่วมในงานด้านการทหารมานานแล้ว ต่อมายังได้จัดตั้งคณะทำงานเล็ก ๆ ภายในตำหนักบูรพา ไม่เคยมีความขัดแย้งใด ๆ กับเหล่าขุนนางในราชสำนัก สร้างชื่อเสียงและคุณงามความดีไม่น้อย ทั้งยังสยบความขัดแย้งของเหล่าขุนนางในราชสำนักได้ เจ้าสามารถวางใจได้”
“ใช่แล้ว ได้จริง ๆ นะ ได้จริง ๆ!” เซียวเหยากงก็พูดอย่างคล้อยตาม แม้ว่าเขาจะไม่ได้ชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย แต่ในเมื่อฉู่เสี่ยวอู่เป็นคนวิเคราะห์เอง การคำนวณของฉู่เสี่ยวอู่นั้นแทบจะไม่เคยผิดพลาดเลย ดังนั้นไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ทุกคนแค่คล้อยตามไปก็พอแล้ว
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องรัชทายาท ข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องกังวลต่างหาก” อู๋ซ่างหวงยกมือขึ้นมาท้าวคาง ขมวดคิ้วนิ่วหน้าทำท่าราวกับคนปวดฟัน
“กังวลเรื่องอะไรรึ?” ทั้งสามคนมองเขาแล้วเอ่ยถามอย่างพร้อมเพรียง
อู๋ซ่างหวงเงยหน้าขึ้นมองทั้งสามคนแล้วถอนหายใจ “ข้าตอนนี้มีฐานะเป็นอู๋ซ่างหวง ดังนั้นพอเจ้าห้าสละบัลลังก์ แล้วให้รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ เช่นนั้นแล้ว ข้ามีฐานะเป็นอะไรล่ะ?”
เซียวเหยากงกับหยู่เหวินเห้าต่างหันมามองหน้าประสานสายตากันแวบหนึ่ง แววตาของพวกเขาล้วนดูกระจ่างใสไร้เดียงสา จากนั้นก็หันไปมองท่านฉู่พร้อมกัน เรื่องนี้ยังไงก็ต้องถามท่านฉู่เท่านั้นแล้ว
ท่านฉู่พูดพลางหัวเราะขำ : “กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เองน่ะรึ? มีอะไรให้ต้องกังวลล่ะ? ถ้าไม่เรียกว่าบรรพบุรุษ ก็เรียกว่าตาแก่ตายยากไปซะก็ได้”
“นี่ข้าพูดเรื่องจริงจังกับเจ้าอยู่นะ ข้าเป็นอู๋ซ่างหวงของข้าอยู่ดี ๆ ไม่อยากต้องเสียไปให้เจ้าลูกชายหน้าโง่คนนั้นหรอกนะ”
ท่านฉู่ตบ ๆ ไหล่เขาแล้วพูดว่า: “เจ้าวางใจเถอะ เจ้าห้าไม่ได้จะสละราชสมบัติจริง ๆ หรอก แค่หยุดพักเนื่องจากความเจ็บป่วย ฝึกฝนประสบการณ์ให้รัชทายาท หรือต่อให้เขาจะสละราชสมบัติจริง ๆ มันก็เป็นอะไรเข้าใจได้ เจ้าน่ะ ก็แสร้งตีมึนขึ้นเป็นอู๋ซ่างหวงจุนไปซะไม่ดีหรือ? จะบอกให้รู้นะ ในประวัติศาสตร์มีอู๋ซ่างหวงแค่คนเดียว อีกทั้งคนผู้นี้ยังได้เป็นอู๋ซ่างหวงแค่เพียงสี่วันเท่านั้น เจ้าไม่เพียงแต่ได้เป็นอู๋ซ่างหวง แต่ยังได้เป็นอู๋ซ่างหวงจุนเลยด้วย น่ามหัศจรรย์ใจตั้งเท่าไหร่?”
เมื่ออู๋ซ่างหวงได้ยินดังนั้น เขาก็ยิ้มแย้มออกมาทันที “อู๋ซ่างหวงจุนรึ? นี่ไม่เลว ไม่เลวเลย เจ้าห้า ถ้าเจ้าอยากเกษียณก็เกษียณไปเถอะ ถ้าข้าอยู่ต่ออีกไม่กี่ปีแล้วตายไป ก็คงไม่ได้เป็นอู๋ซ่างหวงจุนแล้วล่ะ”
“ท่านพูดอะไรเช่นนั้น? ท่านอายุยืนนานยิ่งกว่าภูเขาหนานซาน แล้วหลานก็ไม่ได้จะสละราชบัลลังก์ แต่แค่หยุดงานแบบไม่ได้รับค่าจ้าง เพื่อคอยวิ่งไปวิ่งมาทั้งสองด้านกับเจ้าหยวน เพราะถึงอย่างไรสุดท้ายแล้ว บุญคุณของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด นางย่อมต้องกลับไปตอบแทน”
“เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว ข้าไม่ใช่ตาแก่หน้าโง่ที่ไม่ฟังเหตุผลอะไรขนาดนั้น เจ้าอยากจะทำอะไรก็จงไปทำตามที่ใจตัวเองต้องการเถอะ ส่วนทางพ่อของเจ้า ก็ไปอธิบายให้เขาฟังสักหน่อย เขาน่ะเป็นคนที่ออกจะใจคอคับแคบ มองอะไรด้านเดียว วิสัยทัศน์ไม่ได้กว้างขวางเท่าพวกเรา ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “หลานเข้าใจแล้ว พรุ่งนี้จะรีบไปหมู่ตึกเหมยทันที”
หยู่เหวินเห้าไปที่หมู่ตึกเหมยพร้อมกับหยวนชิงหลิง ซึ่งหยวนชิงหลิงก็ไม่ได้ไปน้อมทักทายไท่ซ่างหวงนานมากแล้วเหมือนกัน
ท่านหมิงยังนับว่าชอบลูกสะใภ้คนนี้มากพอสมควร ได้เห็นว่านางมาที่นี่ เขาดูจะมีความสุขกว่าได้เห็นลูกชายตัวเองมาเสียอีก
หยวนชิงหลิงกับฮู่เฟยออกไปเดินชมป่าเขาด้วยกัน ปล่อยให้สองคนพ่อลูกได้คุยเรื่องสำคัญกัน
อู๋ซ่างหวงพูดถูกจริง ๆ ท่านหมิงดูจะไม่ค่อยเข้าใจนัก เขาคิดว่าตอนนี้เจ้าห้าทำหน้าที่ของฮ่องเต้ได้ไม่เลวเลย ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองประชาชนร่มเย็นเป็นสุข เป่ยถังพัฒนาต่อเนื่องในทุก ๆ ด้าน ดังนั้นจึงไม่ควรเกษียณออกไปในช่วงเวลานี้
หยู่เหวินเห้าบอกกับเขาว่า เมื่อประเทศชาติพัฒนาไปได้ถึงระดับหนึ่ง ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้น
เขานั่งอยู่ในบัลลังก์มานานมากแล้ว ได้แต่แสวงหาความมั่นคงอยู่เสมอ เขากลัวปัญหาวุ่นวายภายในประเทศมาก แต่การไม่ทำอะไรเลย จะไม่สามารถทะลุขีดจำกัดจนฝ่าคอขวดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนคนรุ่นใหม่ไฟแรงขึ้นมาทำงาน
เขาเป็นฮ่องเต้ เมื่อไหร่ที่เขามีความคิดเช่นนี้ ข้าราชบริพารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาก็จะค่อย ๆ ดำเนินรอยตามเขา ยึดติดกับแนวทางนั้น และไม่คิดค้นสิ่งใหม่ๆ
ท่านหมิงคิดว่าการที่ประเทศชาติมีเสถียรภาพ ไม่มีอะไรที่ไม่ดี ความมั่นคงย่อมหมายความว่าไม่มีปัญหา ประเทศชาติสงบสุขประชาชนร่มเย็น
เจ้าห้าบอกกับเขาว่า คำที่ว่าประเทศชาติสงบสุขประชาชนร่มเย็น ล้วนเป็นแค่การรายงานขึ้นมาจากบรรดาเจ้าหน้าที่ประจำท้องถิ่นเท่านั้น เป็นการพิจารณาจากสถานการณ์โดยรวม แต่เพราะผู้คนต่างก็เป็นปัจเจกบุคคล นอกจากได้กินอิ่มท้องได้สวมใส่อุ่นกายแล้ว ยังควรต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุจำเป็นขั้นพื้นฐาน วัฒนธรรม อุดมการณ์ หรืออารยธรรม…..