บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2077 สีหน้าอมโรค
วันเวลาผ่านไปแบบนี้จนถึงปลายปี ก่อนงานเลี้ยงครอบครัว หยู่เหวินเห้าก็บอกเล่าความคิดเห็นของเขาให้รัชทายาทฟัง
หลังจากที่รัชทายาทได้ยิน กลับไม่มีท่าทีแปลกใจหรือตกใจอะไรเลย แค่พูดอย่างเคร่งขรึมว่า: “ท่านพ่อ ในเมื่อท่านมอบความรับผิดชอบอันหนักหน่วงเช่นนี้ให้ข้า ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าเป่ยถังจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ประเทศชาติรุ่งเรืองประชาชนร่มเย็น และจะสร้างกองทัพแข็งแกร่ง ต่อไปเพื่อปกป้องดินแดนทางตอนเหนือของเป่ยถังไม่ให้ถูกใครรุกราน”
ไม่ว่าจะเป็นป้อมปราการทางชายแดน สถานที่สำคัญทางการทหาร และบรรดากิจการทหารของกองรักษาการณ์ต่าง ๆ เขาได้จัดวางทุกอย่างไว้จนทะลุทะลวงหมดแล้ว
ในช่วงสองปีมานี้ เขาเริ่มศึกษาเรื่องการดำเนินชีวิตของประชาชน หลักการปกครอง ทั้งยังอ่านหนังสือศาสตร์ของฮ่องเต้ที่อ๋องชินเฟิงอันเป็นคนเขียนไว้หลายต่อหลายรอบด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามีเวลา ก็จะไปเยี่ยมคารวะเหล่านักปราชญ์ จับเข่าคุยรายละเอียดสำคัญ และฟังคำแนะนำของพวกเขา
เมื่อหนึ่งปีก่อน เขาได้ก่อตั้งคณะปราชญ์แห่งตำหนักบูรพาขึ้นมาอย่างเป็นทางการ คนเหล่านี้ครอบคลุมไปถึงเหล่านักปราชญ์จากทั่วทุกถิ่น บางคนอยู่ในเมืองหลวง บางคนอยู่ในป่าเขา แต่มีการติดต่อส่งข้อมูลหากันตลอดเวลา ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการเรียกรวมตัว พวกเขาต่างก็ยินดีที่จะมายังเมืองหลวง
ในช่วงที่เขารับหน้าที่ดูแลงานบ้านเมือง เขาได้ลองใช้คนมีความสามารถไปทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ดูก่อน ส่งเสริมขุนนางในส่วนกรมการปกครองด้วยแนวคิดใหม่ ๆ บางอย่าง ฝึกให้พวกเขาหัดทำลายกฎและข้อบังคับเก่า ๆ เพื่อสิ่งที่ดีกว่า
ที่เขาทำอะไรเยอะแยะมากมายขนาดนี้ ก็เพราะรู้ว่าเสด็จพ่อมีความตั้งใจที่จะเกษียณ เมื่อไหร่ที่เสด็จพ่อเกษียณ ประการแรกเลยคือ ต้องหวังที่จะได้ใช้เวลากับแม่ให้มาก ๆ เพื่อให้แม่ได้มีโอกาสพัฒนาอาชีพของตัวเอง เพราะทุกเรื่องที่แม่ทำ ล้วนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติทั้งสิ้น
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาหวังว่าเป่ยถังจะสามารถพัฒนาขึ้นไปถึงอีกระดับหนึ่งได้ ตอนนี้ขุนนางทุกคนเข้าใจแนวทางหน้าที่ของตัวเองดีแล้ว เป่ยถังเจริญรุ่งเรืองและแข็งแกร่งแล้ว สามารถใช้วิธีการขับเคลื่อนแบบที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ใช้วิธีการกำกับดูแลที่สอดคล้องไปตามธรรมชาติ ไม่เรียกร้องให้สร้างแนวทางอะไรที่มันแตกต่าง
เพราะพวกเขารู้สึกว่า ตอนนี้ชีวิตครบถ้วนสมบูรณ์ดีแล้ว ไม่ทำ ก็จะไม่เกิดข้อผิดพลาด ทำแล้ว ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมา ดังนั้นไม่สู้ไม่ทำอะไรเลยดีกว่า เพราะถึงอย่างไรชีวิตก็ไปได้ดีอยู่แล้ว
เสด็จพ่อพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลง ร่วมมือกับโสวฝู่ แต่ทุกคนขาดแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ไปหมดแล้ว ทำงานไปได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็หยุด ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ การฝืนทำโดยไม่เข้าใจประเด็นสำคัญ ทั้งยังไม่ตรงปัญหาแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร? มีแต่จะเสียทั้งกำลังคน เสียทั้งกำลังทรัพย์ไปเปล่า ๆ
ทำให้กลุ่มเน่ย์เก๋อที่นำโดยเสด็จพ่อกับโสวฝู่ เหน็ดเหนื่อยจนร้องขอชีวิตไปตาม ๆ กันเลยทีเดียว
แต่ถ้าเจ้านายของราชวงศ์เปลี่ยนคนใหม่ พวกขุนนางที่หมายจะนั่งกระดิกเท้าสบาย ๆ พักผ่อนนอนเล่นอยู่บนเก้าอี้ของตัวเองก็จะหมดสิทธิ์เพ้อฝันทันที เพราะเจ้านายใหม่คนนี้มีทีมงานของตัวเอง ถ้าพวกเจ้าไม่ทุ่มเททำงานให้หนัก ก็มีสิทธิ์ถูกเด้งออกจากตำแหน่งได้เสมอ
สิ่งที่เรียกว่าบุคลากรใหม่ รูปแบบการทำงานแนวใหม่ เมื่อคนที่เป็นผู้นำกระตุ้นแรงบันดาลใจของลูกน้องขึ้นมาได้ การดำเนินงานใด ๆ หลังจากนั้นก็จะง่ายขึ้นมาก
ตอนนี้เป่ยถังไม่ได้ย่ำแย่อะไร แต่ก็ยังค้างเติ่งอยู่เท่ากับเมื่อห้าหกปีก่อน ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว ตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้ ก็ยังคงเว้นระยะห่างจากต้าซิ่งและต้าโจวในระดับที่แน่นอนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย
ในหนึ่งช่วงรัชสมัยของฮ่องเต้องค์หนึ่ง ว่ากันตามจริงมันก็คือภาพจำลองเล็ก ๆ ของประเทศประเทศหนึ่ง เมื่อมีความสำเร็จ การทุจริตคอรัปชั่นก็จะเริ่มตามมา ถ้าไม่ทำลายสิ่งเก่าทิ้งก็ไม่อาจสร้างสิ่งใหม่ได้ ถึงเวลาแล้วที่ควรจะต้องสร้างกฎใหม่ของราชวงศ์ใหม่ขึ้นมา
ซึ่งในจุดนี้ หยู่เหวินเห้ากับลูกชายล้วนมีความคิดแบบเดียวกัน
ดังนั้นเสด็จพ่อจึงแนะนำว่า ให้ลูกชายสัญญาแค่ว่าจะขยันทำงานให้ดีเท่านั้น แล้วยึดถือปฏิบัติตามสัญญาลับที่ว่านี้ก็พอ เป็นอันเสร็จสิ้นการส่งมอบงานส่วนใหญ่
หยู่เหวินเห้ารู้สึกชื่นใจมาก ช่วงเริ่มต้นเขาคิดว่าหลังจากที่ตัวเองพูดออกไป ลูกชายจะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน อาจบอกว่าตัวเขาเองยังมีความสามารถไม่เพียงพอ เขาถึงกับคิดคำพูดที่จะเกลี้ยกล่อมลูกชายเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ
แต่ผลลัพธ์คือ เขากลับยอมรับอย่างง่ายดายแบบนี้เลย
หลังจากที่รัชทายาทเอ่ยปากตอบรับการตัดสินใจแล้ว ก็ไปอธิบายให้พวกโสวฝู่และบรรดาท่านอ๋องทั้งหลายฟังด้วยรอบหนึ่ง โสวฝู่ไม่มีความเห็นคัดค้านอะไร เขารู้ดีว่าเป่ยถังตอนนี้เดินมาจนถึงจุดคอขวดแล้ว จำเป็นต้องทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเสียบ้าง
แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่มีความสุขก็คือ อันที่จริงการเปลี่ยนแปลงมีอยู่สองประการ หนึ่งคือเปลี่ยนฮ่องเต้ ส่วนอีกหนึ่งคือเปลี่ยนโสวฝู่ อาศัยอะไรเปลี่ยนแค่ฮ่องเต้แต่ไม่เปลี่ยนโสวฝู่?
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้คัดค้าน เพราะเหตุผลที่สามารถเปลี่ยนฮ่องเต้ได้ก็คือ เจ้าห้ามีผู้สืบทอดตำแหน่งที่มีความสามารถโดดเด่น แต่เขาจนบัดนี้ กลับยังไม่พบคนที่เหมาะสมจะมาดำรงตำแหน่งโสวฝู่ต่อจากเขาได้เลยแม้แต่คนเดียว
ที่จริงก็มีคนที่กำลังฝึกฝนอยู่ แต่แค่ยังไม่พร้อมสำหรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ยังจำเป็นต้องฝึกฝนต่ออีกหลายปี
กลับไปพูดถึงเรื่องเดิม เมื่อไหร่ที่มองดูรัชทายาทเขาก็รู้สึกพอใจมากจริง ๆ เจ้าหนุ่มนี่หน้าตาก็ดี นิสัยใจคอกล้าหาญ อายุยังน้อยแต่มีเหตุผล ฉลาดหลักแหลมสงบหนักแน่น เวลาพูดคุยนับว่ามีความคิดสร้างสรรมากมาย แต่ก็ไม่ใช่พวกไก่อ่อนที่ชอบวางแผนการรบบนกระดาษ เก่งแต่ปากไปวัน ๆ ทั้งยังเชี่ยวชาญด้านโคลงฉันท์กาพย์กลอน ซึ่งจุดนี้นับว่ามีหัวข้อสนทนาร่วมกันกับเขามาบ้างในระดับหนึ่ง
ไม่เหมือนเจ้าห้านั่น แจ้งเกิดในฐานะทหาร หนังสือที่อ่านมากที่สุดคือหนังสือทางการทหาร รองลงมาคือพวกประสบการณ์ของนักปราชญ์ในศาสตร์การปกครองประเทศ และเมื่อพูดถึงบทกวีโคลงฉันท์กาพย์กลอน ก็จะง่วงเหงาหาวนอนทุกครั้ง
ในชีวิตของคนเรา นอกจากงานแล้วก็จำเป็นต้องมีงานอดิเรกเป็นของตัวเองบ้าง เจ้าห้าไม่มีงานอดิเรก เมื่อไหร่ที่มีเวลาว่าง เขาก็จะรีบกลับไปเกาะติดฮองเฮาแจ
หลังจากเสร็จสิ้นการเกษียณภายใน หยู่เหวินเห้าก็เริ่มล้มป่วยได้
เริ่มแรก เขาไอในระหว่างประชุมราชการในราชสำนัก เป็นการไอที่เกิดขึ้นแบบกะทันหันมาก ไอหนักจนแทบจะไม่สามารถหยุดได้ โสวฝู่จึงรีบประกาศเลิกการประชุมด่วน แล้วเชิญทั้งหมอหลวงรวมถึงฮองเฮามาทันที
หลังจากรั้งรอดูอาการแบบนี้ไปอีกสองสามวัน ค่อยเข้าประชุม ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงไปอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังขาวซีดแบบไม่เป็นธรรมชาติเสียด้วย ทำให้พวกขุนนางทั้งหลายเริ่มจะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่ก็มีขุนนางที่มีสายตาดีเยี่ยมบางคนจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างละเอียด จ้องมองอยู่นานมาก พอเจ้าห้ากลับไปก็เริ่มด่าคนทันที “ก็บอกแล้วว่าสีซีดแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอ อย่าทาแป้งให้มากเกินไป มันยากจะปิดพวกคนที่สายตาดี ๆ ไม่ให้มองออก”
มู่หรูกงกงพูดกล่อมราวกับโอ๋เอาใจเด็กน้อยก็ไม่ปาน “ได้ ๆ ๆ ครั้งหน้าค่อยทาแป้งสีเหลืองแทน ให้หน้าดูเหลือง ๆ ซีด ๆ เหมือนคนอมโรคแล้วกัน”
แต่มู่หรูกงกงนั้นแม้ปากจะไม่พูด แต่ในใจก็บ่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เขาก็แค่ขันทีแก่ ๆ คนหนึ่ง จะไปรู้เรื่องการแต่งหน้าได้อย่างไรล่ะ? แล้วฝ่าบาทก็ไม่อนุญาตให้นางกำนัลแตะต้องใบหน้าอีก บอกว่ามีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถแตะต้องใบหน้าของเขาได้ แล้วฮองเฮาก็ไม่ยินดีแต่งหน้าให้เขาดูเหมือนคนป่วยด้วย นี่มันช่างทำให้ตาแก่คนนี้ลำบากใจเหลือเกินแล้วจริง ๆ