บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2079 หลังวันส่งท้ายปี
หลังจากราชสำนักหยุดแล้ว ก็ถึงเวลาเตรียมตัวสำหรับต้อนรับปีใหม่ ในที่สุดลูก ๆ ทั้งหกคนก็มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าในวันส่งท้ายปีเก่า
พวกเด็ก ๆ ในยุคปัจจุบันต่างก็ปิดเทอมฤดูหนาวไปนานแล้ว แต่พวกเขาต้องรอเซเว่นอัพที่กำลังถ่ายหนังอยู่ ยังมีคุณตาคุณยายสองท่านรวมถึงลุงใหญ่ให้กลับมาฉลองปีใหม่พร้อมกัน ดังนั้นจึงต้องรั้งยาวไปจนถึงวันส่งท้ายปีกว่าจะได้มาที่นี่
ทางฝั่งเจ้าห้าก็ตัดสินใจแล้วว่า พอราชวงศ์เริ่มเปิดดำเนินงานในปีหน้า ก็จะให้รัชทายาทรับช่วงดูแลประเทศต่อทันที เขาไม่ถึงกับสละราชสมบัติ แค่จะบอกกับทุกคนว่าเขาจะย้ายไปอยู่ที่หมู่ตึกเหมยกับไท่ซ่างหวง เพื่อพักฟื้นร่างกายเป็นหลัก
พักฟื้นร่างกายสักสองสามปี ดูสถานการณ์ก่อนว่าราบรื่นดีหรือไม่ ค่อยสละราชสมบัติอย่างมีเหตุผลอันสมควร เขาคิดไว้อย่างรอบคอบทุกด้าน จะอย่างไรก็ต้องทำให้พวกขุนนางและประชาชนของเป่ยถังค่อย ๆ ยอมรับเรื่องนี้อย่างช้า ๆ
ระยะเวลาสามปี ก็เพียงพอให้เปาเอ๋อร์สร้างความสำเร็จที่ดีออกมาได้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ทั้งขุนนางบุ๋นบู๊และประชาชนทั่วไปได้เห็นเองกับตา ก็จะไม่มีใครที่มีใจหวั่นไหวคิดไปทางอคติแน่
ดังนั้นปีนี้ เขาก็เลยเตรียมการอะไร ๆ เอาไว้มากมาย
คนที่เขาอาลัยอาวรณ์ที่สุด แน่นอนว่าก็คือลูกสาว ตอนนี้ลูกสาวมีอาชีพการงานของตัวเองแล้ว ย่อมไม่สามารถติดตามไปยุคปัจจุบันด้วยได้
ในใจของเจ้าห้ารู้สึกโศกเศร้ามาก เพราะเขาไม่ได้มีเวลาอยู่เคียงข้างลูกสาวมากมายเท่าไหร่นัก รออีกสามปีค่อยกลับมา นางก็จะแต่งออกไปอยู่แล้ว
ซึ่งจุดนี้ เป็นจุดที่มันตามรบเร้าพัวพันจนทำให้เขารำคาญใจที่สุดแล้ว
มีหลายเรื่องที่เขาสามารถครุ่นคิดในใจ จากนั้นก็ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์จนปรับความเข้าใจกับมันได้ แต่นี่เป็นเพียงเรื่องเดียวที่เมื่อไหร่ที่เขาคิดขึ้นมา ก็มักจะรู้สึกผิดต่อลูกสาวอยู่เสมอ
ระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำ เขาให้ลูกสาวนั่งข้าง ๆ คุณยาย ได้เห็นนางดูแลเอาใจใส่คุณยายในทุก ๆ ด้าน ทำตัวออดอ้อนออเซาะ เล่าเรื่องตลกเพื่อให้พวกเขามีความสุข ด้วยเพราะดื่มเหล้าผลไม้เข้าไป จึงทำให้สองแก้มแดงปลั่ง ดูแล้วช่างเหมือนแอปเปิ้ลสีแดงฉ่ำลูกหนึ่งจริง ๆ
เจ้าหยวนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ จึงโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้าง ๆ หูของเขาว่า “นับตั้งแต่วันที่ลูกสาวเกิด นางก็เป็นลูกสาวของเจ้าไปตลอดชีวิต ไม่มีทางตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับเจ้าเพียงเพราะต้องแยกจากกันชั่วคราว หรือวันใดวันหนึ่งในอนาคตนางได้แต่งงานออกไปหรอกนะ”
ไม่พูดไม่ได้เลยว่า ตอนนี้เจ้าหยวนปลอบใจคนได้มีชั้นเชิงดีมาก เขายิ้มแย้ม เอื้อมมือไปกุมมือเจ้าหยวนไว้ “เจ้าพูดได้ถูกต้อง”
มีผู้คนมากมายในงานเลี้ยงส่งท้ายปี เจ้ายกหนึ่งแก้ว ข้าก็ยกหนึ่งแก้ว เพียงไม่นานทุกคนก็เริ่มเมา
เจ้าสามกับเจ้าสี่ไม่ได้กลับมาร่วมฉลองปีใหม่ปีนี้ เดิมทีพวกเขาก็คิดว่าจะกลับมาอยู่เหมือนกัน แต่เจ้าห้าบอกพวกเขาว่าไม่ต้องกลับ ช่วงนี้เขา “ป่วย” อยู่ คาดว่าผู้คนในเป่ยโม่ก็คงจะรู้เรื่องนี้กันแล้ว เป็นการยากที่จะรับประกันได้ว่า พวกเขาจะไม่คิดหาทางใช้ประโยชน์จากวันส่งท้ายปีเก่า สร้างเรื่องอะไรที่ทำให้เป่ยถังรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
นอกจากนี้ ปีหน้าเขาก็จะเกษียณชั่วคราวเพื่อออกมาพักฟื้นจากอาการป่วย ช่วงระหว่างนั้นจำเป็นต้องมีการระวังป้องกันให้มาก
คืนนี้ เกือบทุกคนในจวนอ๋องซู่ล้วนมากันหมด พวกอู๋ซ่างหวงจะอย่างไรก็ต้องดื่มแน่ แต่ดื่มได้ไม่มาก หลังจากเลิกดื่มไปได้ระยะหนึ่ง ก็ค้นพบโดยบังเอิญว่าถ้านาน ๆ จะดื่มบ้างเป็นครั้งคราวก็ได้อยู่ แต่ถ้าดื่มทีละเยอะ ๆ นั่นก็ไม่ไหวเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ร่วมจนจบงาน หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปได้ครึ่งทางพวกเขาก็กลับไป หยวนชิงหลิงได้เตรียมการไว้พร้อม หยิบกล่องอาหารมาส่งให้พวกเขานำกลับไป
พวกชายชุดดำตามพวกเขาออกจากวังกลับไปที่จวน จากนั้นก็ตรงไปที่เรือนพักในสวนเหมยทันที
ประตูเปิดออก ฮ่องเต้ฮุยจงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “อาหารงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าคงต้องคึกคักมากเลยสินะ? มีเนื้อย่างหรือไม่? ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวเหงาจะตายอยู่แล้ว”
“ไม่คึกคักเลยสักนิด พูดกันแต่เรื่องสัพเพเหระ มีแต่เรื่องของพวกเด็ก ๆ ไม่มีอะไรน่าสนุกนักหรอก ลูกเกือบจะเผลอหลับอยู่แล้ว” อู๋ซ่างหวงพยุงเขาเดินไป เซียวเหยากงหยิบอาหารออกมาจากกล่องอาหาร ยังร้อนจนมีควันลอยกรุ่น ๆ อยู่
“เช่นนั้นก็โชคดีแล้วที่ข้าไม่ได้ไป” เมื่อเห็นอาหารน่าอร่อยมาวางอยู่ตรงหน้า ฮ่องเต้ฮุยจงก็ดีใจราวเด็กโข่งที่โตแต่ตัวก็ไม่ปาน “ไม่ดื่มเหล้ากันหรือ?”
“ดื่มไปนิดหน่อย ท่านก็รู้ว่าเจ้าห้าเป็นคนตระหนี่แค่ไหน งานเลี้ยงคืนนี้ยังมีพวกขุนนางอีกเป็นโขยง มีหรือที่เขาจะกล้าตัดใจเลี้ยงเหล้าดี ๆ ได้น่ะ? ตอนนี้พวกเรามีขีดจำกัดในการดื่มมากมายเสียขนาดนั้น จะหลับหูหลับตาดื่มแค่เหล้าราคาถูก ๆ พวกนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
“นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าห้าหรอก เดิมทีเหล้าในวังก็ไม่ดีอยู่แล้ว นับตั้งแต่ฮ่องเต้เซี่ยนเป็นต้นมาก็ไม่ดีแล้วล่ะ”
ฮ่องเต้ฮุยจงนั่งลงกินข้าว พออาหารเข้าปากก็รับรู้ได้ว่ารสชาติไม่เหมือนกับพวกอาหารเย็นชืดที่ทำโดยห้องครัวหลวง จึงเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “อร่อยถึงขนาดนี้? ไม่ใช่อาหารจากครัวหลวงสินะ? เจ้าไปซื้อจากข้างนอกมาให้ข้ารึ?”
“ไม่ใช่ ฮองเฮาสั่งให้คนทำอาหารให้ท่านคนเดียวโดยเฉพาะ นางรู้ว่าท่านไม่สามารถเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำได้ จึงคิดว่าอยากจะให้ท่านได้กินอาหารที่อร่อยถูกปากสักหน่อย”
ฮ่องเต้ฮุยจงวางตะเกียบลง ดูสีหน้าโศกเศร้าราวกับว่าอีกประเดี๋ยวเขาก็จะร้องไห้ออกมาแล้ว “ฮ่องเฮาช่างดีเหลือเกินแล้วจริง ๆ ข้ารู้ว่าพวกเขาจะกลับไปที่นั่น ข้ายากจะตัดใจนัก”
“มีอะไรให้ยากตัดใจล่ะ? ถ้าท่านอยากไป ท่านก็ตามพวกเขาไปก็ได้นี่”
ฮ่องเต้ฮุยจงส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ข้าคิดว่าอย่างไรก็อยากรั้งอยู่ที่นี่ อย่างน้อยถ้าอยู่ที่นี่ เจ้าเหว่ยพี่ชายเจ้ากับโล่หมานพอมีเวลาว่างก็ยังมาเยี่ยมข้าได้บ้าง แต่พอไปที่นั่น สามปีก็ยังไม่ได้เห็นหน้ากันสักครั้งเลยด้วยซ้ำ ”
“ได้ ไม่ไป” อู๋ซ่างหวงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้ว่าปากเขาจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายไปจริง ๆ ทั้งไม่ต้องการไปเพิ่มภาระให้กับเจ้าหยวนด้วย
“พวกเจ้าจะไปหรือไม่?” ฮ่องเต้ฮุยจงเงยหน้าขึ้นถาม
“ยังไม่ไปตอนนี้ รอให้พวกเขาลงหลักปักฐานมั่นคงแล้ว พวกเราค่อยแวะไปเที่ยวหา”
อู๋ซ่างหวงรู้สึกว่า ควรปล่อยให้พวกเขาได้เพลิดเพลินกับชีวิตแบบโลกนี้มีเพียงเราสองบ้าง เหมือนกับสองสามีภรรยาที่สุดแสนจะไร้ความรับผิดชอบคู่นั้น ที่คิดอยากจะไปที่ไหน ก็ไปที่นั่น คิดอยากใช้ชีวิตแบบไหน ก็ใช้ชีวิตแบบนั้น
เมื่อก่อนตอนที่เจ้าห้าไปทางนั้น ใจเขาก็มักจะเป็นห่วงเป็นกังวลเรื่องในราชสำนักอยู่เสมอ มาตอนนี้เขาได้ปล่อยวางภาระอันหนักอึ้งของเขาลงแล้ว เจ้าภาระที่เคยกดทับอยู่บนไหล่ของเขาไม่ต่างจากภูเขาลูกใหญ่ยักษ์นี้ จะไม่ทำให้เขาต้องอึดอัดจนหายใจไม่ออกอีกต่อไป
เจ้าความรู้สึกที่ถูกกดทับด้วยภาระอันหนักอึ้งนี้ อู๋ซ่างหวงเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งดีทีเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม การจากลาย่อมมีความรู้สึกโศกเศร้าอาลัยหลงเหลืออยู่บ้าง ราวกับว่าเป็นการบอกลายุคสมัยอันรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ แม้แต่ตอนที่ตัวเขาเองเกษียณออกมา ก็ยังไม่รู้สึกว่ามันน่าเศร้าอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ