บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2080 ความรู้สึกของสวีอี
เจ้าห้าจัดเตรียมของจำเป็นทุกอย่างพร้อมแล้ว ขาดเพียงหนึ่งเดียว
จะเป็นใครได้อีกล่ะ? ที่จะทำให้เขารู้สึกวางใจไม่ลงได้ถึงขนาดนี้? ยังจะเป็นใครได้อีก?
ก็คือสวีอี สวีฟันหลอ พี่สวีฆ้องปากแตกนั่นน่ะสิ
เดิมทีคิดว่าพอแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าพระยาให้แล้ว ลูกสาวก็เจรจาเรื่องแต่งงานแล้ว สวีเปิ้งเปิ้งก็เชื่อฟังดี รักใคร่กลมเกลียวกับอะซี่อย่างเหนียวแน่น เขาก็คงจะวางใจสวีอีได้สักที
แต่ว่ากันตามจริง เรื่องนี้เขากลับไม่เคยพูดกับสวีอีแบบซึ่ง ๆ หน้ามาก่อนเลย ส่วนสวีอีก็ไม่ได้ถาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ถ้าเป็นสวีอีเมื่อสมัยก่อน เขาจะถาม และจะรบเร้าถามไม่หยุดด้วย แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ถามเลยสักคำ ให้เขาทำอะไรเขาก็จะทำอันนั้น แกล้งป่วยมาตั้งนานขนาดนี้แล้วแท้ ๆ เขากลับคอยตามดูแลปรนนิบัติราวกับว่าตัวเขาป่วยจริง ๆ ยังถึงขนาดเคยไปถามฮองเฮาเลยด้วยซ้ำว่า แท้จริงแล้วเขาป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่?
ฮองเฮาไม่ได้บอกเขาว่าป่วยเป็นโรคอะไร เพียงแต่ถามเขากลับไปว่าเจ้าไม่รู้จริง ๆ น่ะหรือ? เขาก็ส่ายหน้า บอกว่าไม่รู้เรื่องการแพทย์ ไม่รู้จริง ๆ ว่าฝ่าบาทป่วยเป็นโรคอะไร
แต่สวีอีต้องรู้แน่ ๆ เพราะว่าในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอเขาดื่มจนเมา จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมกลับจวนตัวเอง ยืนยันหนักแน่นว่าเขาจะอยู่ส่งท้ายปีเก่าในวัง
อะซี่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเขาดี จึงไปเรียกองครักษ์รักษาพระองค์มาช่วยแบกเขาออกไป
พอกลับไปถึงจวน สวีอีก็กอดอะซี่ร้องไห้แล้วพร่ำพูดว่า”อะซี่ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ว่าคนที่ข้าชอบมากที่สุดในชีวิตนี้ก็คือเจ้า และคนที่ข้าห่วงใยที่สุดก็คือเจ้าเช่นกัน”
“ข้ารู้ ข้าย่อมรู้ดี” อะซี่รู้ดีว่าเขารู้สึกทุกข์ทรมานใจ เรื่องบางเรื่องเขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรล่ะ? แม้แต่นางก็ยังพอจะรู้อะไรบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ เลย
“แต่คนที่ข้าแยกจากไม่ได้คือฝ่าบาท แค่ไม่ได้เจอเขาวันเดียวข้าก็รู้สึกอึดอัดทรมานใจแล้ว ถ้าจากนี้ไปข้าจะไม่ได้เจอเขาอีก นั่นไม่เท่ากับว่ามีคนมาควักเอาหัวใจของข้าออกไปจนมันกลวงโบ๋หรอกหรือ? ”
“จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ? เจ้ายังต้องคอยช่วยสนับสนุนรัชทายาทนะ ฝ่าบาทแค่ไปพักฟื้นร่างกาย อย่างไรก็ต้องกลับมาแน่”
“รัชทายาทต้องการความช่วยเหลือจากข้าซะที่ไหนล่ะ? รัชทายาทไม่ต้องการข้าหรอก ข้าไม่ใช่คนที่รับใช้ใครก็ทำงานได้สำเร็จลุล่วงหมดหรอกนะ มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่เข้าใจนิสัยของข้า แค่ข้าผายลมเขาก็รู้แล้วว่าข้ากินอะไร ไม่จำเป็นต้องพูดก็เข้าใจทุกอย่าง แต่ข้าจะไปหาคนที่เข้าใจข้าดีขนาดนี้ได้ที่ไหนอีกล่ะ?”
อะซี่พูดด้วยท่าทางจนใจ: “เอาเถอะ ๆ เจ้าเริ่มจะพูดคำหยาบคายแล้วนะ ฝ่าบาทจะเข้าใจแค่เพราะเจ้าผายลมได้อย่างไรกัน? ทุกครั้งที่เจ้าผายลม เขาก็มีแต่จะเฉดหัวไล่เจ้าออกไปเท่านั้นแหล่ะ”
“เจ้าอย่าขัดจังหวะความเศร้าของข้าสิ เจ้าไม่เข้าใจ เขาไม่มีข้าคอยรับใช้ข้างกายจะได้อย่างไรกัน? เขาเคยชินกับการที่มีข้าให้เรียกใช้อยู่ข้างกาย ถ้าไปที่นั่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นั่นกระทั่งสาวใช้คนเดียวก็ยังไม่อนุญาตให้มีได้ด้วยซ้ำ ถ้าเจ้าจ้างใครสักคนมาทำงาน คนที่เจ้าจ้างมาก็สามารถโต้แย้งนายจ้างได้เสมอ บอกว่าไม่ทำแล้วก็ไม่ต้องทำแล้วได้ทันที นิสัยใจคอของฮ่องเต้พวกเราเจ้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ เขาใจร้อนโกรธง่าย เมื่อไหร่ที่โกรธก็จะลงไม้ลงมือทันที แต่ที่นั่นถ้าเจ้าลงไม้ลงมือต้องถูกจับติดคุก เขาเป็นถึงฮ่องเต้เชียวนะ ถ้าเขาต้องถูกจับติดคุกขึ้นมาจริง ๆ ข้าคงรับไม่ได้ ข้ารับไม่ได้จริง ๆ นะ”
สวีอีรู้สึกทุกข์ใจมากจริง ๆ แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะฟังดูน่าตลกขบขัน แต่ความโศกเศร้าของเขานั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
ตั้งแต่ยังหนุ่มจนมาถึงตอนนี้ เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกปลอดภัยเสมอ เพราะมีฝ่าบาทอยู่ โลกทั้งใบของเขาก็นับว่าครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
เขารังเกียจความเปลี่ยนแปลงมาก ตลอดชีวิตของคนเราควรจะดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อย ๆ คนที่รู้จักตั้งแต่ยังเด็ก ก็ควรได้อยู่ด้วยกันไปจนแก่ ไปจนตาย ใครตายก่อนไม่สำคัญ แต่ต้องได้อยู่ด้วยกันจนเห็นผมที่หงอกขาวของกันและกัน ได้เห็นริ้วรอยเหี่ยวย่นของกันและกัน ได้เห็นฟันของอีกฝ่ายที่หลุดร่วงหลอจนไม่เหลือเลยซักซี่
“แล้วเจ้าคิดจะทำยังไงล่ะ? อย่าร้องไห้อีกเลยนะ” อะซี่กอดเขาอย่างปวดใจ นางรู้จักนิสัยสวีอีดี การที่เขาดื่มจนเมาขนาดนี้ แปลว่าเขาต้องทุกข์ใจมากจริง ๆ
“ถ้าเขาพาข้าไปที่นั่นด้วย ต่อให้เป็นเวลาแค่ครึ่งปี ให้ข้าได้ช่วยเขาค่อย ๆ ปรับตัว ให้เขาค่อย ๆ คุ้นเคยกับชีวิตที่นั่น พอข้ากลับมาที่นี่ เขาเริ่มมีเพื่อนแล้ว แน่นอนว่าเขาจะค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ที่นั่นได้อย่างกลมกลืนเอง”
อะซี่ถอนหายใจเฮือก พูดอ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายเหตุผลเดียวของสวีอีก็คือ เขากังวลว่าเมื่อฝ่าบาทสูญเสียเกียรติยศที่เคยมีอยู่ในตอนนี้ไปแล้ว จะไม่สามารถปรับตัวหรือเริ่มชีวิตรูปแบบใหม่ในที่แห่งนั้นได้นั่นเอง
“ไปขอร้องฝ่าบาทเถอะ ขอร้องให้เขาพาเจ้าไปด้วย เจ้าไปอยู่กับเขาสักครึ่งปีแล้วค่อยกลับมา ดีหรือไม่? พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปขอร้องเขาเป็นเพื่อนเจ้า”
“แต่ข้าต้องห่างพวกเจ้าไปตั้งครึ่งปี เจ้าไม่โกรธหรือ?”
อะซี่มองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: “คนโง่ พวกเรายังมีเวลาชีวิตอยู่อีกตั้งยาวนานขนาดนั้น แค่ครึ่งปีจะนับเป็นอะไรได้? ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงฝ่าบาท ถ้าเจ้าไม่ได้ไปช่วยเขาในการลงหลักปักฐาน มันก็อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าต้องรู้สึกเสียดายไปตลอดชีวิต ข้าไม่อยากให้วันหลังยามที่เจ้าหวนคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ต้องมานั่งร้องห่มร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลเหมือนวันนี้หรอกนะ”
สวีอีจอมขี้แยร้องไห้จนน้ำตาไหลอาบหน้าอีกครั้ง กอดอะซี่แน่น “ภรรยา เจ้าช่างดีเหลือเกิน”
ในเวลาเดียวกัน เจ้าห้าที่อยู่ในวังก็พลิกตัวไปมา ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ
เมื่อหยวนชิงหลิงเห็นดังนั้น ก็นั่งลงแล้วพูดคุยกับเขาว่า “เจ้าวางใจเรื่องของสวีอีไม่ลงหรือ?”
“ใช่แล้ว” หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือออกไปกอดเจ้าหยวนอย่างเคยชิน “ข้าอยากพาเขาไปที่นั่นด้วยสักระยะ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะซี่จะมีความคิดเห็นคัดค้านอะไรหรือไม่”
“จะพาไปนานเท่าไหร่?”
“คิดว่าสักครึ่งปีก็น่าจะพอแล้วล่ะ อันที่จริงก็แค่ตั้งใจจะดูแลเรื่องอารมณ์ของเขาหน่อย ถ้าจู่ ๆ ก็จากเขาไปเลย เขาคงจะทนรับไม่ได้แน่ ๆ ถ้าพาเขาไปด้วยแล้วค่อย ๆ ทำให้เขายอมรับ เมื่อไหร่ที่เขาเห็นว่าข้าใช้ชีวิตได้ดีอยู่ที่นั่น ก็จะรู้สึกวางใจ เจ้าก็รู้ว่าเจ้านั่นเป็นพวกขี้แย ตัวสูงใหญ่แข็งแรง แต่ในใจกลับอ่อนไหวเปราะบางไปหมด”
“งั้นพรุ่งนี้ข้าจะคุยกับอะซี่ ส่วนเจ้าก็ลองไปคุยกับสวีอีให้ดีก่อนแล้วกัน” หยวนชิงหลิงแนบตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา แท้จริงในใจก็รู้สึกโศกเศร้าอยู่ไม่น้อย
นางเองก็มีคนที่ยากจะตัดใจแยกจากอยู่ไม่น้อย มีมากมายหลายคนเลยทีเดียว