บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2081 ใจตรงกันยิ่งนัก
วันแรกของปีใหม่ ทุกคนไปน้อมทักทายที่จวนอ๋องซู่ก่อน จากนั้นค่อยกลับมาดื่มชาที่วัง
บรรดาพี่น้องสะใภ้ต่างก็มารวมตัวกัน อะซี่ก็ตามสวีอีเข้าวังมาด้วย เพิ่งเข้าวังมาสวีอีก็ถูกฝ่าบาทเรียกให้ไปตกปลาทันที นี่มันกลางฤดูหนาวนะ มีปลาที่ไหนให้ตกด้วยรึ?
ฝ่าบาทนี่ก็จริง ๆ เลย จนป่วยหนักขนาดนี้แล้วแท้ ๆ จะเดินเหินก็ยังแทบไม่ตรงทาง ยังอุตสาห์ฝืนลากสังขารอันอ่อนแอ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยเจตจำนงที่แข็งแกร่งไปตกปลาอีก
ลมหนาวพัดโชย หิมะที่ตกลงมาเมื่อสองสามวันก่อนจนบัดนี้ก็ยังไม่ละลาย ถูกข้ารับใช้ในวังกวาดไปกองรวมกันไว้อีกด้านหนึ่ง ขอบริมทางเดินสกปรกเล็กน้อย มีร่องรอยของเศษประทัดสีแดงกระจัดกระจายอยู่บนโคลน แต่กลับดูแล้วค่อนข้างงดงามมีศิลปะ
สวีอีพยุงฮ่องเต้ ด้วยความที่เมื่อคืนนี้เขาร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลอย่างหนัก วันนี้ดวงตาของเขาจึงบวมเป่งเหมือนหนังตาปลา วันนี้เขาเข้าวังมาแต่เช้า รออยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน ถูกลมหนาวพัดใส่จนใบหน้าแดงก่ำ น้ำมูกเย็นเฉียบแทบจะจนกลายเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว
หยู่เหวินเห้ายื่นมือไปผลักเขาออก มีท่าทีรังเกียจเล็กน้อย ในใจอดนึกทอดถอนใจไม่ได้ สวีอีที่เป็นแบบนี้ รัชทายาทไม่มีทางเห็นเขาในสายตาแน่ ๆ ไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่มีความสามารถในการทำงานให้ดี แค่พูดเฉพาะปัญหาด้านความสะอาดอย่างเดียวก็ไม่ผ่านแล้ว
“สวีอี ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องพูดกับเจ้า จงเงี่ยหูแล้วตั้งใจฟังข้าให้ดี”
“ข้าไม่ฟัง!” สวีอีเริ่มรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่อัดแน่นอยู่ภายในใจพลุ่งพล่านขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่า เจือด้วยความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจที่ถูกทอดทิ้ง
หยู่เหวินเห้าเงื้อเท้าข้างหนึ่งมาได้ก็เตะไปที่ก้นเขาทันที ก่อนจะพูดอย่างโกรธเคืองว่า: “ทำตัวแง่งอนเป็นผู้หญิงไปได้ หัดพูดจาให้มันดี ๆ มีเหตุมีผลหน่อยได้หรือไม่? เอามือออกไปซะ ถ้าสิ่งที่ข้าพูดออกไปมีคำไหนที่เจ้าฟังไม่เข้าใจล่ะก็ จงรีบไสหัวกลับจวนของเจ้าไปให้พ้น ๆ หน้าข้าซะ”
สวีอีพูดด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจเป็นที่สุด: “ท่านพูดมาเถอะ กระหม่อมจะตั้งใจฟังให้ดี”
“ยิ้มหน่อย” หยูเหวินเห้าใช้มือทั้งสองข้างดึงหน้าเขา พลางจ้องมองเขานิ่ง ๆ “ไอ้สีหน้าน้อยอกน้อยใจพรรค์นี้ของเจ้าน่ะ กระทั่งข้าก็ยังไม่อยากชายตามองให้เสียอารมณ์เลย”
สวีอีพลันคิดถึงธุรกิจต้อนรับลูกค้าอย่างกระตือรือร้นที่หอฉิน ก็พยายามฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา แต่พอในใจคิดขึ้นมาได้ว่าอีกเดี๋ยวเขาก็ต้องแยกจากฝ่าบาทแล้ว จึงอดรู้สึกทุกข์ทรมานใจขึ้นมาอีกไม่ได้ กระทั่งขอบตาก็ยังแดงก่ำไปด้วย
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ท่าทางไม่เอาไหนแบบนี้ ทำให้ข้าวางใจเจ้าไม่ลงเลยจริง ๆ”
“กระหม่อมก็วางใจท่านไม่ลงเช่นกัน” สวีอีมองเขาตาปริบ ๆ “ดังนั้น ถ้าท่านจะจากไป ได้โปรดพากระหม่อมไปด้วย ให้กระหม่อมไปอยู่รับใช้ท่านสักครึ่งปีแล้วค่อยกลับมา ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้าตกใจจนผงะ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดจะให้เจ้าไปอยู่รับใช้ครึ่งปี?”
“ท่านอยากให้กระหม่อมไปจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?” จู่ ๆ สวีอีก็ยิ้มเริงร่ายินดีขึ้นมา ถลาเข้าไปคว้าแขนของหยู่เหวินเห้า “ฝ่าบาท กระหม่อมกับท่านช่างใจตรงกันยิ่งนัก เมื่อคืนกระหม่อมเพิ่งจะคุยกับอะซี่เองว่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะขอร้องให้ท่านพากระหม่อมไปที่นั่นด้วยสักครึ่งปี”
หยู่เหวินเห้ามองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน จะว่าไปเรื่องนี้คงไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว
พูดตามตรง เขาไม่ค่อยอยากมีใจตรงกันกับสวีอีสักเท่าไหร่ เขาควรมีใจตรงกันกับเจ้าหยวนต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเขากับสวีอีมีใจตรงกัน นั่นย่อมหมายความว่าสิ่งที่เขาคิดจะไร้เดียงสาพอ ๆ กับสวีอี ในฐานะฮ่องเต้ซึ่งได้เห็นความผันผวนที่ยากจะคาดเดาทุกรูปแบบในราชสำนักมาแล้ว ในใจเขาย่อมไม่มีความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอะไรขนาดนั้นหลงเหลืออยู่
ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปเถอะ สวีอี ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าก็คงไม่อาจแยกกับเจ้าได้
วันนี้หยวนชิงหลิงก็บอกเล่าเรื่องที่จะไปหมู่ตึกเหมยให้บรรดาพี่น้องสะใภ้ฟังด้วย
อันที่จริงทุกคนต่างก็รู้ดี ว่าการไปหมู่ตึกเหมยเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น พวกเขากำลังจะไปจากเมืองหลวงต่างหาก
แต่ต่อให้ไปอยู่หมู่ตึกเหมยจริง ๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะแวะไปเที่ยวหาพูดคุยกับนางได้อีก คิดว่าใครล่ะที่อาศัยอยู่ในหมู่ตึกเหมย? ไท่ซ่างหวงเชียวนะ! ไท่ซ่างหวงน่ะถือได้ว่าเป็นคนที่ยิ้มยากที่สุดในบรรดาราชวงศ์ทั้งหมดแล้ว
ถ้าเขายังแสดงท่าทางแบบดั้งเดิมของไท่ซ่างหวงออกมาก็พอจะดีหน่อย แต่ถ้าเขามองพวกนางด้วยรอยยิ้มใจดีมีเมตตาล่ะก็ นั่นแหล่ะจะทำให้รู้สึกหวาดกลัวจนขนหัวลุกชี้ชันได้เลยจริงๆ
ดังนั้น เว้นเสียแต่การได้เจอหน้ากันในช่วงเทศกาลใหญ่ ๆ สักครั้ง ในเวลาปกติทุกคนจะไม่ถึงกับตั้งใจไปน้อมทักทายที่หมู่ตึกเหมย แล้วเขาเองก็ไม่ชอบถูกคนรบกวนด้วย
อย่างน้อย ดู ๆ ไปแล้วเขาก็เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบถูกรบกวนสักเท่าไหร่ล่ะนะ
หรงเยว่เคยพูดว่า นางรู้สึกสงสารฮู่เฟยที่ต้องคอยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา ต้องยอมละทิ้งการใช้ชีวิตที่รุ่งโรจน์สนุกสนาน ละทิ้งความมีสีสันของโลกใบนี้ไป นางอายุยังน้อยมากแท้ ๆ
แต่ฮูหยินเหยากลับพูดว่าไม่ต้องสงสารนาง เพราะว่านางมีความสุขดีแล้ว การที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ตัวเองรัก ไม่ว่าอะไรก็ตามในโลกภายนอก แท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้น่าดึงดูดสักเท่าไหร่หรอก
ได้อยู่ที่หมู่ตึกเหมยก็ดี เพราะเมื่ออยู่ในหมู่ตึกเหมย ไท่ซ่างหวงจะเป็นของนางเพียงคนเดียวเท่านั้น
“แค่ต้องลำบากเต๋อกุ้ยไท่เฟยแล้ว” จู่ ๆ หรงเยว่ก็พูดโพล่งขึ้นมา
หยวนชิงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า: “ไม่หรอก ตอนนี้นางมีความสุขมาก มีองค์หญิงอยู่เคียงข้าง ได้ใช้ชีวิตแบบแม่ผู้อารีมีจิตเมตตา กับลูกสาวที่กตัญญูรู้คุณทุกวัน ทั้งไม่ต้องคอยปรนนิบัติพัดวีผู้ชาย ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีได้ตามที่ใจต้องการไม่มีใครมาคอยควบคุม หลังจากนี้อีกสักพักพวกนางก็จะไปหนานเจียง เจ้าเก้าส่งจดหมายมาเชิญพวกนางไปพักอาศัยอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่ง เปาเอ๋อร์คัดเลือกคนคุ้มกันที่จะตามไปส่งไว้เรียบร้อยแล้วด้วย”
ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่ข้าเข้าวังไปน้อมทักทาย ก็เห็นว่านางดูมีความสุขมาก เหมือนกับว่านางเด็กลงกว่าแต่ก่อนนี้เสียอีก ผู้หญิงเราน่ะ พอมีความสุขแล้วก็จะทำให้ไม่ดูแก่เลยล่ะ
ฮูหยินเหยายกมือขึ้นมาลูบ ๆ คลำ ๆ ใบหน้าของตัวเอง ในฐานะผู้หญิงที่อายุมากที่สุดในกลุ่ม นางรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าเล็กน้อย
หยวนชิงหลิงใช้ปลายเท้าเตะนางเบา ๆ ไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มหยอกเย้าว่า “เจ้าลูบใบหน้าเหี่ยว ๆ ของตัวเองทำไมน่ะ? เจ้าไม่มีความสุขรึ?”
หรงเยว่หัวเราะเยาะ “นางไม่มีความสุข? ถ้าไม่เพราะอายุมากแล้ว บวกกับขอให้ฮูหยินเฒ่าสั่งยาคุมกำเนิดให้ ข้าเดาได้เลยว่าป่านนี้คงมีลูกคนที่สองคนที่สามกับฮุ่ยเทียนไปแล้วล่ะ ข้าได้ยินคนในจวนเล่าว่า พวกเขาพอตกค่ำก็ร่วมขับกล่อมเพลงรักอภิรมย์ไม่เคยขาด พอกลางวันก็หยอดคำหวานให้กันไม่มีแผ่ว อายุจนปูนนี้แล้วแท้ ๆ ยังรักกันหวานชื่นขนาดนี้ ทำเอาคนเขาอิจฉาแทบตายแล้ว”
“ถุย!” ฮูหยินเหยาหน้าแดงเถือก “ปากเจ้ามันพูดอะไรอย่างอื่นไม่ได้แล้วใช่ไหม? ถึงได้คอยจ้องแต่จะสอดส่องเรื่องบนเตียงของคนอื่นเขาตลอดเวลาน่ะ”
พระชายาซุนแสยะยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ “พูดเรื่องนี้ก็ดีออกนะ ข้าชอบพูดเรื่องแบบนี้ที่สุดเลยล่ะ แต่จะพูดไป ช่วงนี้พี่รองของพวกเจ้าเพิ่งจะได้ไปเรียน…..”
หุบปากเดี๋ยวนี้เลย ฟังจนหูด้านชาไปหมดแล้ว ทุกคนอ้าปากห้ามนางอย่างพร้อมเพรียง ตอนนี้บนร่างของพี่รองมีไฝมีขี้แมลงวันอยู่กี่เม็ด ทุกคนต่างก็รู้จนชัดแจ้งแจ่มแจ้งกันทุกซอกทุกมุมแล้ว
พระชายาซุนพูดด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจ: “อะไรกันล่ะ? ข้าแค่จะบอกว่าช่วงนี้พี่รองของพวกเจ้าเพิ่งไปเรียนเพลงกระบี่ใหม่ ๆ มาได้สองสามกระบวนท่า แล้วก็มารำกระบี่ให้ข้าดูในจวนทุกวันเลย แต่ถ้าพวกเจ้าพูดถึงเรื่องนั้นล่ะก็ ช่วงนี้พี่รองของพวกเจ้าก็นับว่าออกแรงหนักไปบ้างเหมือนกัน….”
หรงเยว่รีบพุ่งเข้าไปปิดปากนางไว้ทันที “ยายแก่ตัณหากลับนี่ คิดจะเล่นมุกอ่อยอีกแล้วล่ะสิถ้า? แตงเก่าเฉาน้ำของเจ้าน่ะ ฟื้นคืนชีวิตกลับมาใหม่ได้นานแค่ไหนแล้วล่ะ?”
พระชายาซุนดึงมือนางออก หัวเราะชอบใจจนตายิบหยีเลยทีเดียว