บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2082 ไม่เสียแรงที่เอ็นดูนางไปเปล่า ๆ
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 2082 ไม่เสียแรงที่เอ็นดูนางไปเปล่า ๆ
ในวันที่ห้าของปีใหม่ พวกเขาก็เริ่มเก็บข้าวของ รอราชสำนักเปิดทำการ ก็จะป่าวประกาศออกไปว่าจะไปพักฟื้นอาการป่วยที่หมู่ตึกเหมย
เจ้าห้าบอกว่ากลับไปครั้งนี้ เพราะต้องไปอยู่ค่อนข้างนาน ดังนั้นของที่ต้องนำกลับไปจึงมีเยอะตามไปด้วย
แต่แท้ที่จริงแล้วขณะที่กำลังเก็บของ ก็พบว่าไม่มีอะไรที่ต้องเอาไปด้วยเลย เพราะที่นั่นล้วนมีหมดทุกอย่างแล้ว กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังไม่จำเป็นต้องเอาไปด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่ามือหนึ่งจูงเจ้าหยวน ส่วนมืออีกข้างจูงแม่ยายกลับไปได้อย่างผ่อนคลายสบายใจเลยทีเดียว
แต่เพราะตอนนี้ เขาก็นับว่าเป็นคนที่มีเพื่อนอยู่ทางนั้นเหมือนกัน ก็สมควรต้องเอาของติดไม้ติดมือไปให้เพื่อน ๆ สักหน่อย
เขาเลือกหยกพกสองสามชิ้นจากในวังออกมา แล้วเอาไปถามเจ้าหยวนว่า “เจ้าว่าที่แอนตาร์กติกาจะมีสินค้าพิเศษเช่นนี้อยู่หรือไม่? รอให้ถึงตอนที่ข้ากลับไป จะบอกว่ามันเป็นสินค้าพิเศษที่นำกลับมาจากแอนตาร์กติกา”
หยวนชิงหลิงยิ้มพลางพูดว่า “หรือไม่เจ้าก็เอาน้ำแข็งกลับไปสักหลาย ๆ ก้อน? หรือไม่ก็จับนกเพนกวินกลับไปสักสองสามตัวก็ได้นะ”
“สถานที่ใหญ่โตขนาดนั้น ไม่มีหยกเลยรึ?” เจ้าห้าดูจะผิดหวังลงเล็กน้อย เขาเล่นกับมันพลางพูดว่า “เดิมทีข้าคิดจะบอกว่าข้าขุดมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ทั้งยังขัดมันเองกับมือด้วย จะได้แสดงให้ใคร ๆ เห็นว่าข้ามีความสามารถ”
“ต้องทำเองเท่านั้น ถึงจะแสดงออกได้ว่าเจ้าจริงใจและมีความสามารถอย่างนั้นรึ? ข้ากลับคิดว่า ถ้าเจ้ากลับไปเลือกของขวัญสักชิ้น ขอแค่ตั้งใจเลือกให้ดี ๆ พวกเขาจะต้องสัมผัสถึงความจริงใจของเจ้าได้แน่ ส่วนเรื่องความสามารถน่ะหรือ? การที่เจ้าสามารถเสร็จสิ้นงานสำรวจในแอนตาร์กติกาได้รวดเร็วถึงขนาดนี้ ก็นับว่ามีความสามารถมากแล้วล่ะ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกมีความสุขมาก ในตอนนั้นนางคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเขาจะใช้ข้ออ้างนี้เพื่อจากมา เขาไม่ได้เข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับแอนตาร์กติกามากนัก เรียกได้ว่าเพิ่งดูจะสารคดีไปได้แค่ครู่เดียว เดาคร่าว ๆ แล้วน่าจะดูไปยังไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่านางเข้าใจดี ว่าเจ้าห้าจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะการที่คนเราจะใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับคนในท้องถิ่นได้ นอกจากมีญาติแล้ว ยังต้องมีเพื่อนฝูงและบุคคลที่ติดต่อกันทางสังคมด้วย จากนั้นจึงค่อย ๆ มีชีวิตและอาชีพของตัวเอง
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาถึงจะหลอมรวมเข้าด้วยกันได้อย่างแท้จริง
เมื่อถึงช่วงราชสำนักเปิดทำการ บรรดาขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ได้ยินว่าฝ่าบาททรงมีพลานามัยที่ย่ำแย่ลง จำเป็นต้องไปพักฟื้นที่หมู่ตึกเหมย ต่างก็เป็นห่วงพระวรกายของฝ่าบาทมาก แต่ยังดีที่โสวฝู่ ออกมาปลอบใจได้ทันเวลา บอกว่ามีหมออัจฉริยะอย่างฮองเฮาอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วงจนเกินไป
ขอแค่เขาไม่โหมทำงานหนักขนาดนั้นอีก หรือเอาแต่อ่านฏีกากับจัดการเรื่องสำคัญทางการทหาร ทั้งวันทั้งคืนอีก หลังจากพักฟื้นสักระยะเขาก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นได้เอง
คำพูดของโสวฝู่สามารถทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงได้เสมอ แน่นอนว่าทุกคนรู้ดีว่าทักษะทางการแพทย์ของฮองเฮายอดเยี่ยมแค่ไหน มีฮองเฮาอยู่เคียงข้าง ฝ่าบาทจะต้องมีพลานามัยที่ดีอย่างแน่นอน
หยู่เหวินเห้าไม่อนุญาตให้พวกเขาตามมาส่ง เขากับสวีอีทำหน้าที่เป็นคนขับ รถม้าสองคันลากคนทั้งกลุ่มตรงไปยังทะเลสาบจิ้ง
ที่ไม่ให้พวกเขาตามมาส่ง ก็เพื่อจะหลีกเลี่ยงบรรยากาศแห่งการจากลา เดิมทีนี่เป็นแค่การจากลากันเพียงชั่วคราว เขายังจะกลับมาอยู่ อีกทั้งคิดจะกลับเมื่อไหร่ก็จะกลับเมื่อนั้นด้วย
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครตามไปส่งเลย เจ๋อหลานตามไปด้วย คนที่หยู่เหวินเห้าไม่อนุญาต ไม่ได้รวมเจ๋อหลานอยู่ในนั้นด้วย
เจ๋อหลานกับมู่หรูกงกงนั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่ง ส่วนหยวนชิงหลิงกับพ่อตาแม่ยายและพี่ชายนั่งอยู่ด้วยกันในรถม้าอีกคัน
“ดังนั้น โลกอีกใบที่องค์หญิงพูดถึง ไม่ใช่เมืองยมโลกจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?” มู่หรูกงกงพยายามเบิกตาจนกว้าง เผยให้เห็นท่าทางประหลาดใจ
เมื่อคืน ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เขาเก็บข้าวของที่เขาชอบ ตรัสว่าจะพาเขาไปโลกอื่น
คำพูดประโยคนี้ทำให้เขาตกใจมาก คิดว่าตัวเองคงแก่จนไร้ประโยชน์แล้ว ฝ่าบาทจึงมีพระประสงค์ที่จะพระราชทานความตายให้เขา
จนถึงวันนี้ เขารู้ว่าฮ่องเต้จงใจ แต่นั่นก็ทำให้เขากลัวจนเมื่อคืนแทบจะนอนไม่หลับ องค์หญิงเห็นว่าวันนี้เขาดูจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จึงตามเขาไปที่นั่นด้วย
บนรถม้า องค์หญิงช่วยอธิบายว่าโลกอื่นที่พูดถึงนั่น สรุปแล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่
เจ๋อหลานจับมือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของเขา ยิ้มพลางพูดปลอบโยนว่า: “แน่นอนว่าไม่ใช่ เมื่อตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าก็เคยติดตามท่านอาจารย์ไม่ใช่หรือ? ก็คือไปที่โลกนั้นนั่นแหล่ะ โลกนั้นสนุกมาก ๆ เลย พอเจ้าได้ไปที่นั่นเจ้าก็จะรู้เอง”
มู่หรูกงกงถอนหายใจเฮือก “จะสนุกหรือไม่ ข้าน้อยไม่ได้สนใจนักหรอก ติดอยู่แค่ว่าไปครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้พบกับองค์หญิงอีก”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าข้ามีเวลาก็สามารถไปหาท่านได้นะ”
มู่หรูกงกงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “หรือไม่ท่านก็อย่าเพิ่งมาหาก่อนจะดีกว่า รอให้ข้าน้อยดู ๆ ให้แน่ใจก่อนว่ามันเป็นสถานที่แบบไหน ถ้าหากว่ามีอันตราย องค์หญิงก็อย่าไปเลยจะดีกว่า”
“ไม่อันตรายหรอก โลกใบนั้นปลอดภัยมากเลย ปลอดภัยกว่าเป่ยถังของพวกเราเสียด้วยซ้ำ”
มู่หรูกงกงส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีที่ไหนปลอดภัยไปกว่าเป่ยถังแล้ว เป่ยถังภายใต้การปกครองของฝ่าบาท ผู้คนถึงกับไม่ต้องปิดบ้านตอนกลางคืน ไม่มีคนเก็บของที่เจ้าของทำหล่นหายบนท้องถนนไปเป็นของตัวเอง ไม่มีสถานที่ไหนที่เทียบกับเป่ยถังได้อย่างแน่นอน ”
“กงกง ท่านไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแค่ไหนแล้วเนี่ย?” เมื่อเจ๋อหลานเห็นว่ามู่หรูกงกงมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ยอมให้นางทำลายชื่อเสียงอันดีงามของเป่ยถัง จึงยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “ใช่ ๆ ท่านพูดได้ถูกต้องแล้ว ไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยไปกว่าเป่ยถังแล้วล่ะ ”
“ใช่หรือไม่ล่ะ ฝ่าบาทคือฮ่องเต้ที่ดีที่สุด” มู่หรูกงกงพูดอย่างภาคภูมิใจ
เจ๋อหลานหัวเราะเบา ๆ จงใจแกล้งหยอกเขา “ถ้าอย่างนั้นแล้วอู๋ซ่างหวงล่ะ? ฮ่องเต้เซี่ยนล่ะ? ฮ่องเต้ฮุยจงล่ะ? แล้วยังมีเสด็จปู่ของข้าอีกล่ะ? พวกเขาไม่ดีเท่าเสด็จพ่อหรอกหรือ?”
มู่หรูกงกงร้อนตัวขึ้นมาทันที “ไม่ใช่เช่นนั้นแน่ ทุกพระองค์ล้วนเป็นฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชาสามารถทั้งสิ้น”
เขาเปิดม่านรถม้าแล้วมองออกไปข้างนอก จากนั้นก็หันกลับมาพูดกับเจ๋อหลานว่า: “แต่ฝ่าบาททรงมีพระปรีชากว่านิดหน่อย แค่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มากมายจนทิ้งห่าง”
เจ๋อหลานมีความสุขซะจนสุขไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว กงกงช่างเป็นแฟนตัวยงของเสด็จพ่อจริงๆ
เดิมทีเจ๋อหลานวางแผนว่าจะไปส่งถึงแค่ทะเลสาบจิ้ง แต่เมื่อเห็นว่ากงกงยังดูมีท่าทางกระวนกระวายใจอย่างมาก นางจึงตัดสินใจไปส่งถึงที่นั่น
มู่หรูกงกงไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่สามารถรั้งองค์หญิงที่ดื้อรั้นยิ่งกว่าเขาได้
เมื่อคุณแม่หยวนเห็นดังนั้น ก็ยิ้มแล้วหันไปพูดกับหยวนชิงหลิงว่า: “ในที่สุดแม่ก็ได้รู้ซะทีว่าทำไมกงกงถึงได้ดีต่อกวาเอ๋อร์ขนาดนี้ ใครบ้างล่ะจะไม่เอ็นดูกวาเอ๋อร์”
หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางพูดว่า: “ไม่เสียแรงที่กงกงเอ็นดูกวาเอ๋อร์ไปเปล่า ๆ แล้วล่ะค่ะ”