บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2086 ได้ใบขับขี่แล้ว
เจ้าห้าเริ่มสอบใบขับขี่แล้ว
หลังจากการปรึกษาหารือกันในที่ประชุมครอบครัว ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะสอบใบขับขี่รถยนต์ก่อน แล้วค่อยสอบใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์
ซึ่งนี่ขัดกับความต้องการของเจ้าห้า เขาอยากสอบใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ก่อน เพราะเขาเกิดไปต้องตารถยามาฮ่าคันหนึ่งเข้า เจ้าเสียงคำรามของเครื่องยนต์นั่น ปลุกจิตวิญญาณของเขาให้ตื่นขึ้น
เขารักมันมาก แทบอดใจไม่ไหวอยากจะพาเจ้าหยวนซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วขี่วนไปรอบ ๆ เมืองเสียตอนนี้เลย ช่างโอ่อ่าอลังการณ์เสียนี่กระไร
ที่สำคัญคือ เขาว่าการขี่มอเตอร์ไซค์มันได้อารมณ์เหมือนกับการขี่ม้า เป็นอะไรที่คุ้นเคยมาก
จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์มาก่อน เคยแค่ขอให้คนขายพาไปขี่วนรอบ ๆ ครั้งเดียว
ในความเป็นจริง ตอนที่เขาขี่ม้าก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นพาไป ครั้งนี้ต้องให้คนอื่นพาไป ออกจะทำให้เขารู้สึกคับข้องใจในฐานะฮ่องเต้อยู่มาก
ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่พอเขากลับไปก็ออกความเห็นว่าจะสอบใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ ติดอยู่ที่ว่า เพราะมันมีช่องว่างระหว่างของการได้รับใบขับขี่ที่ต้องห่างกันถึงหนึ่งปี เขาจึงคิดว่าควรสอบใบขับขี่รถยนต์ก่อนดีกว่า
เพราะมีบางครั้งเขาต้องไปส่งมู่หรูทำงาน แล้วมู่หรูได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์ทีไรก็กลัวแทบเป็นแทบตายเสียทุกครั้ง
สำหรับเจ้าห้า การสอบใบขับขี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากจริง ๆ ไม่ว่าเขาจะฉลาดแค่ไหน คำถามมากมายเป็นกระบุงโกยในพาร์ทแรก ก็ยังทำให้เขาเวียนหัวตาลายไปหมด
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความรู้ด้านกฎจราจร ดังนั้นจึงเท่ากับว่าเขาต้องเรียนรู้ใหม่หมดทุกด้าน
ยังดีที่เป็นฮ่องเต้มาหลายปี เขารู้ว่าสติปัญญาของเขาไม่เพียงพอ จึงทุ่มเทอย่างหนักเพื่อชดเชย ทำโจทย์คำถามทั้งกลางวันกลางคืน นั่งรูดหน้าจอทั้งวันจากฟ้าสว่างจนฟ้ามืด
แม้แต่พ่อตาได้มาเห็น ก็ยังอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะพูดเสริมเข้าไปประโยคหนึ่งว่า “ดูจากท่าทางหมกมุ่นกับการเรียนถึงขนาดนี้ ก็เหมาะที่จะได้รับปริญญาบัตรระดับนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญอยู่นะ”
แต่คำพูดหยอกล้อโดยนัยนี้กลับไปทำให้ภรรยาโกรธ ภรรยาจ้องมองเขาแวบหนึ่ง เป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าให้เขาระมัดระวังคำพูด
ตอนนี้ในใจของคุณแม่หยวนเต็มไปด้วยลูกเขย เพราะท้ายที่สุด เธอเองก็รู้ดีว่าลูกเขยยอมทิ้งอะไรไปเพื่อจะมาที่นี่ จะมีสักกี่คนที่จะสามารถตัดสินใจถึงขั้นนี้ได้? เขาทำเพื่อลูกสาวจอมเนิร์ดคนนั้นของพวกเธอเชียวนะ มันคือสิ่งที่น่าชื่นชมจากความตั้งใจอันยากลำบากของเขาแล้วจริง ๆ
ยังดีที่วิชาแรกนั้นยากอยู่เล็กน้อย แต่การทดสอบที่เหลือจากนั้นก็สอบผ่านได้ตั้งแต่ครั้งแรก ผู้ชายเดิมทีก็เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการขับรถอยู่แล้ว แค่สามเดือน เขาก็สอบใบขับขี่ได้แล้ว
ในวันแรกที่ได้รับใบขับขี่ เขาขับไปส่งมู่หรูทำงาน
เขาคิดจะให้สวีอีไปด้วย แต่หลังจากที่ฝ่าบาทคิดจะเรียนรู้วิธีการขับรถ ข่าวทั้งหมดที่สวีอีอ่านเจอคือข่าวที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุรถชนทั้งหมด เขาอ่านจนตื่นตระหนกตกใจกลัวซะจนหัวหด เก็บเอาไปฝันร้ายทุกคืน
เขาแทบอดใจไม่ไหวอยากจะตีมือกับเท้าของฝ่าบาทให้หัก เพื่อไม่ให้เขาขับรถ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางยอมนั่งในรถยนต์ของฝ่าบาทเพื่อออกไปไหนมาไหนแน่
โรงฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ของมู่หรูอยู่ไม่ไกล ใช้เวลาขับรถไปประมาณยี่สิบนาทีก็ถึง
หลังจากที่หยู่เหวินเห้าส่งเขาไปทำงานแล้ว ก็ไปที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ เพื่อซื้อผักหญ้าอาหาร
คืนนี้เจ้าหยวนกลับมาจากสถาบันวิจัยเพื่อกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้า บอกว่าทุกคนมาร่วมกันฉลองที่เขาได้รับใบขับขี่
นับตั้งแต่ช่วงที่พวกเขาเพิ่งมาจากเป่ยถังแรก ๆ พวกเขาก็มักจะออกไปกินอาหารรสเลิศทุกประเภท แต่พอกินมาก ๆ เข้าก็เริ่มเบื่อ รู้สึกว่าอาหารที่แม่ยายทำ แม้แต่ร้านอาหารใหญ่ ๆที่ไหนก็ยังสู้ไม่ได้
จึงตัดสินใจซื้อผักหญ้าวัตถุดิบกลับไปทำอาหารเอง
เขาไม่กล้าเอารถไปจอดในลานจอดรถชั้นใต้ดิน เพราะช่องจอดเหล่านั้นมันแคบมาก เขาเพิ่งได้ใบขับขี่มา ยังไม่ชำนาญการถอยรถเข้าช่องจอดมากนัก จึงตัดสินใจจอดรถไว้ข้างถนนนอกห้าง
เขารู้กฎดี ว่าจอดรถที่นี่จะต้องจ่ายสองร้อยหยวน แต่จะไม่ถูกหักคะแนน เขายอมจ่ายเงินสองร้อย หยวน ก็ไม่คิดจะเข้าไปแล้วขับรถเบียดโดนรถของคนอื่น
หลังจากจอดรถเสร็จเดินเข้าไปในห้าง ก็เห็นว่าที่ชั้นหนึ่งของห้างมีเสียงเอะอะโวยวายดังลั่น หลายคนยืนรวมกลุ่มกันแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน ปากก็ส่งเสียงกรีดร้องลั่น
เขาแหงนหน้ามองขึ้นไป เห็นแค่ว่ามีคนคนหนึ่งนั่งอยู่บนรั้วกระจกบนชั้นห้าของห้าง ขาทั้งสองข้างของเธอลอยอยู่ในอากาศแล้ว ทำท่าเหมือนว่ากำลังจะกระโดดลงมา
ในตอนแรก หยู่เหวินเห้ายังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ยังถึงกับยิ้มออกมาด้วยซ้ำ กระโดดลงมาจากความสูงขนาดนี้ได้ น่ากลัวว่าวิชาตัวเบาคงจะร้ายกาจมากแน่ ๆ
แต่ผ่านไปครู่เดียว ก็เกิดนึกขึ้นมาได้ว่าคนที่นี่ฝึกวิชาตัวเบากันซะที่ไหนล่ะ นางขึ้นไปนั่งทำอะไรอยู่บนนั้นกัน?
จนกระทั่งมีคนร้องตะโกนบอกผู้หญิงคนนั้นว่าอย่าคิดสั้น หยู่เหวินเห้าถึงได้รู้ตัวในที่สุดว่า แท้จริงแล้วนางคิดจะกระโดดตึก
ชั้นห้าเชียวนะ ถ้ากระโดดลงมาสมองคงได้แตกกระจายออกมาแน่
มีคนแจ้งตำรวจ มีบางคนพยายามจะขึ้นไปดึงเธอไว้ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมึน ๆ เบลอ ๆ ไม่ค่อยมีสติ แต่ตอนที่เห็นว่ามีคนจะเข้ามา เธอก็ทำท่าว่าจะปล่อยมือจากราว ดูน่าหวาดกลัวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
มีคนพูดอย่างตื่นเต้นถึงสาเหตุที่เธอคิดจะกระโดดตึกว่า “มือถือของเธอพัง ก็เลยเอามาซ่อม แต่เจ้าของร้านซ่อมบอกเธอว่าต้องล้างเครื่องก่อนถึงจะใช้งานได้ ปรากฏว่าพอล้างเครื่องเสร็จข้อมูลทุกอย่างในนั้นหายหมดเลย แต่ถ้าเธอไม่ล้างเครื่อง เธอก็เปิดใช้เครื่องไม่ได้อีก แค่เรื่องธรรมดา ๆ แค่นี้แหล่ะ เธอก็ถึงกับจะกระโดดตึกแล้ว”
หยู่เหวินเห้าไม่ได้ฟังต่อ เขาวิ่งเข้าไปในลิฟท์ที่อยู่ในมุมมืดตัวหนึ่ง แล้วตรงขึ้นไปที่ชั้นห้า
คนที่มีความคิดที่จะตาย จะสามารถมองออกได้จากแววตาของเจ้าตัว ว่าเธอไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เธอพร้อมที่จะกระโดดได้ทุกเมื่อ
ตอนที่เขาวิ่งออกจากลิฟท์ ก็เห็นว่านางปล่อยมือแล้วจริง ๆ ร่างทิ้งดิ่งลงไปข้างล่าง หยู่เหวินเห้าพุ่งเข้าไปคว้าแขนของนาง แต่หลังจากสูญเสียการทรงตัว ร่างของเขาก็ดิ่งฮวบ แต่ยังโชคดีที่มีฟางเส้นสุดท้าย เขาใช้เท้าเกี่ยวเข้ากับราวกั้นได้ทันเวลา ทั้งสองจึงไม่ได้ร่วงตกลงไปพร้อมกัน
ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ วิชาตัวเบาของเขาต้องถูกเปิดเผยแน่
การกระทำนี้ ทำให้ผู้ชมด้านล่างตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นอยู่แล้ว โชคดีที่พ่อหนุ่มพลเมืองดีที่หน้าตาแสนจะหล่อเหลาและใจดีคนนี้ไม่ร่วงตกลงมาด้วย บรรดาคนที่อยู่ตรงริมรั้วกั้นของชั้นห้า ต่างก็ช่วยกันดึงพวกเขาขึ้นมา