บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2087 มีความคิดว่าหนึ่งชีวิตล้วนถูกลิขิตด้วยชะตากรรม
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 2087 มีความคิดว่าหนึ่งชีวิตล้วนถูกลิขิตด้วยชะตากรรม
นี่เป็นภาพฉากที่น่าตื่นเต้นชวนระทึกในสายตาของทุกคน แต่แท้จริงแล้วหยู่เหวินเห้ากลับรู้สึกว่าไม่เห็นจะมีอะไร ถึงอย่างไรเขาก็สามารถช่วยคนได้อย่างแน่นอน ขอแค่ไม่เปิดเผยวรยุทธ์ออกมา ก็นับว่าไม่เป็นไร
มีโทรศัพท์มือถือจำนวนมากกำลังถ่ายวิดีโอพวกเขา เขาคิดจะทิ้งผู้หญิงคนนี้ไว้แล้วรีบไป แต่จู่ ๆ หญิงสาวก็ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา “คุณมาช่วยฉันไว้ทำไม? ฉันอยู่ต่อมันจะไปมีประโยชน์อะไร? ใครบอกคุณให้ช่วยฉัน? ใครบอกให้คุณยุ่งเรื่องชาวบ้านแบบนี้?”
ทันใดนั้นเธอก็พุ่งเข้าไปตรงหน้าของหยู่เหวินเห้า แล้วแผดเสียงตะโกนใส่เขาดังลั่นว่า “คุณรู้อะไรถึงได้มาช่วยฉันไว้? ฉันขอให้คุณช่วยฉันมั้ย? ถ้าคุณเก่งจริง ก็ช่วยลูกชายของฉันด้วยเลยสิ คุณมีปัญญาก็ไปช่วยลูกชายของฉันเลย ทำไมพวกคุณถึงได้ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแบบนี้?”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก พูดขึ้นว่า: “แต่เจ้ามาฆ่าตัวตายในที่สาธารณะเองนะ ยังจะมาโทษว่าคนอื่นยุ่งเรื่องชาวบ้านอีกรึ? ทำไมเจ้าไม่ลองหาหน้าผาที่ไม่มีคนแล้วกระโดดลงไปล่ะ? นอกจากนี้ ลูกชายของเจ้าเป็นอะไรไปรึ?”
ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีเหตุผลเลย แต่เพราะอยู่ต่อหน้าคนที่คิดสั้นอยากตาย พวกเขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไร จึงได้แต่หันไปพูดกับหยู่เหวินเห้าว่าที่เขาทำแบบนี้ไม่ได้มีอะไรผิด นี่คือความกล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ตอนนี้หยู่เหวินเห้าแค่อยากปลีกตัวออกไป แต่เมื่อเขาเห็นหน่วยกู้ภัยกำลังมา เขาก็รีบเบียดตัวออกจากฝูงชนทันที
หลังจากเดินออกมาแล้ว ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ฟูมฟายว่าลูกชายของนางกำลังนอนรอความตายอยู่ที่โรงพยาบาล นางจึงจะลงไปรอลูกชายก่อน ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะกลัว
หลังจากหยู่เหวินเห้าได้ยิน ในใจก็เกิดความรู้สึกยากจะทนรับได้ เขาเองก็เป็นคนที่มีลูกเหมือนกัน ถ้าเจ๋อหลานของเขา…ถุย! ข้า ถุย ๆ ๆ ๆ …..
เขาทำเสียงถ่มน้ำลายไล่ความอัปมงคลไปหลายครั้งแบบไม่สนใจมารยาท ก่อนจะเดินเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต เรื่องอื่นเขาช่วยไม่ได้จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่รู้เรื่องศาสตร์การแพทย์ด้วย
หลังจากกลับไป เขาก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เจ้าหยวนฟัง เพราะหาได้ยากมากที่เจ้าหยวนจะกลับจากสถาบันวิจัยมาอยู่กับเขา จึงพยายามเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเรื่องที่ชวนให้ไม่สบายใจเหล่านี้
แต่อย่างไรก็ตาม หยวนชิงหลิงก็ยังได้เห็นเรื่องที่หยู่เหวินเห้าช่วยคนจากในวิดีโอสั้นอยู่ดี
วิดีโอนี้ เธอเล่นวนดูซ้ำ ๆ หลายรอบมาก ยังถึงขั้นไปค้นหาเวอร์ชั่นอื่นมาดูเลยด้วย
หยู่เหวินเห้าก็โน้มตัวเข้าไปดูเช่นกัน ไม่พูดไม่ได้เลยว่า วีดีโอเหล่านี้ถ่ายให้เขาทั้งดูหล่อเหลา ทั้งยังกล้าหาญมากจริง ๆ
“แม้ว่าข้าจะเป็นวีรบุรุษที่ช่วยชีวิตคน แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเขี่ยวนดูซ้ำ ๆ ทั้งคืนก็ได้นะ” หยู่เหวินเห้าพูด
“ไม่ใช่ ผู้หญิงคนนี้เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ประมาณว่าลูกชายของนางนอนรอความตายอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ประโยคถัดจากนั้นนางพูดออกมาแค่เบา ๆ ข้าไม่ได้ยินว่าป่วยเป็นโรคอะไร”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกประหลาดใจ “เจ้ายังต้องฟังอีกรึ? เจ้าแค่ใช้ความสามารถเปิดผนึกของเจ้า ก็สามารถรับรู้ได้ทุกอย่างแล้วนี่”
“ไม่เปิดดีกว่า กลับมาจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป ลองเขี่ยดูอีกสักสามสี่รอบ ลองสังเกตจากหลาย ๆ มุม บางทีก็อาจจะได้ยินชัดขึ้นก็ได้”
บางทีความสามารถบางอย่าง ก็ต้องใช้พลังสมองมากเช่นกัน
แต่เพราะเสียงแทรกในวีดีโอนั้นดังเกินไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนดูไปกี่เวอร์ชั่นก็ได้ยินไม่ชัด อีกทั้งมุมสายตาก็ถูกบดบังหมด มองเห็นริมฝีปากของเธอไม่ชัด ดังนั้นจึงไม่สามารถอ่านปากได้
เธอโทรหาพี่ชาย ขอให้เขาช่วยค้นหาให้หน่อยว่าลูกชายของผู้หญิงคนนั้นป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่
หยู่เหวินเห้าถามว่า: “เจ้าหยวน ตอนนี้เจ้ามีสิทธิ์ดำเนินอาชีพในการเป็นหมอรักษาแล้วรึ? เจ้าไม่ได้บอกเองหรือว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์รักษาคนไข้โดยตรงน่ะ?”
“สอบใหม่แล้วล่ะ อีกไม่กี่วันก็จะไปทำงานที่โรงพยาบาลหมิงซินของหยางหรูไห่แล้วล่ะ” หยวนชิงหลิงตอบ
“ไปทำงานที่โรงพยาบาล? แล้วเจ้าไม่กลับไปที่สถาบันวิจัยแล้วรึ?”
หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ถือกับเป็นงานหลัก เรียกว่าเป็นการแขวนชื่อก็ได้ ข้าแค่ไปช่วยเรื่องการผ่าตัด ส่วนวันธรรมดาข้าก็ยังกลับไปที่สถาบันวิจัยมากกว่า”
“โอ้ เจ้ามีงานพร้อมหมดแล้วสินะ” หยู่เหวินเห้าทั้งรู้สึกยินดีทั้งรู้สึกเคว้งคว้างสับสน เจ้าหยวนมีงานทำแล้ว แต่เขากลับยังลอยไปลอยมาไม่ได้ทำอะไรเลย
“ผ่านไปอีกระยะนึง เจ้าก็จะหางานทำได้เช่นกัน” หยวนชิงหลิงเอนตัวเข้าไป ซบลงบนไหล่ของเขา “จากนี้ไปพวกเราต่างคนต่างก็มีงานของตัวเอง ความกดดันในชีวิตก็ไม่ได้มากขนาดนั้นแล้วล่ะนะ”
“พวกเราต่างก็ต้องหาเงินด้วยตัวเองรึ?” หยู่เหวินเห้าประหลาดใจ หรือเงินที่ท่านปู่ทวดทิ้งไว้ให้ ยังไม่มากพอให้พวกเขาอยู่อย่างสุขสบายไปตลอดทั้งชีวิตอีกรึ?
“หาเงินเองไม่ดีหรอกหรือ? ทำไมต้องเกาะสมบัติทวดกินด้วยล่ะ?”
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างหดหู่: “ตลอดชีวิตของข้า ยังไม่เคยพยายามหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนเลย”
หยวนชิงหลิงรีบพูดให้กำลังใจเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ลองพยายามดู ชีวิตของคนเราน่ะ มันต้องลองให้หมดทุกอย่างถึงจะดี”
หลังจากหยุดชะงักไปชั่วครู่ หยวนชิงหลิงก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า: “แต่ก็ไม่ต้องกังวลใจไปหรอกนะ ตอนนี้เจ้านับว่ายังอยู่ในวัยเรียน รอให้เจ้าเรียนจบแล้วค่อยลองก็ยังไม่สายเกินไปหรอก”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องมีแผนในอาชีพของตัวเอง การไปแอนตาร์กติกาคือความฝัน มีคนน้อยมากที่สามารถใช้ชีวิตอยู่เพื่อความฝันของตัวเองได้ คนส่วนใหญ่ต่างต้องเดินอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงเสียก่อนถึงค่อยออกไปไล่ล่าความฝัน
พี่ชายไปตามสืบค้นเรื่องของผู้หญิงที่จะกระโดดตึกคนนั้นมาได้แล้ว เขาถึงกับมาส่งข้อมูลให้ด้วยตัวเองถึงที่บ้าน
“พี่ไปตรวจดูเคสของเขามาแล้ว น้องลองดูสิ”
หยวนชิงหลิงเปิดแฟ้มประวัติผู้ป่วยออกดู จากนั้นคิ้วก็ค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน
เด็กชายอายุสิบสองปี มีอาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดชนิดร้ายแรงมาก เคยเข้ารับการผ่าตัดเมื่อสาม ปีก่อน แต่กลับมาเป็นซ้ำเมื่อต้นปีนี้ กำหนดให้ทำคีโมหกระยะ แต่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อคีโม ดังนั้นจึงต้องยุติการให้คีโมในระยะที่สาม ลองเปลี่ยนวิธีการรักษาแล้วก็ยังไม่ได้ผลมากนัก หลังจากการกลับเป็นซ้ำ เนื้องอกเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เกิดภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง
เนื่องจากการแพร่กระจายของเชื้อและภาวะแทรกซ้อน การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดจะมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก แต่เพราะการให้ยาก็ไม่ได้ผล ดังนั้นวาระสุดท้ายของเด็กคนนี้ ทุกคนต่างก็สรุปได้ แล้วว่าจะต้องลงเอยอย่างไร
หยวนชิงหลิงอ่านผล CT สแกนอย่างตั้งใจ เกิดการโอนถ่ายเชื้อแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างแล้ว
“คุณหมอเจ้าของไข้ของเขามีคำแนะนำอะไรบ้างมั้ยคะ?” หยวนชิงหลิงถาม
“บังเอิญว่าหมอเจ้าของไข้เป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัย ม.ปลายของพี่เอง ตอนนี้ยังไม่มีวิธีแก้ปัญหาอะไรดี ๆ เลย แต่ความดันในกะโหลกสูง ถ้าจะเร่งช่วยชีวิตไว้ก่อน การผ่าตัดลดความดันในกะโหลกก็ต้องใช้การลงมือผ่าตัดแบบกระชั้นชิดมาก ๆ แต่หลังจากได้หารือกับแม่ของเด็กแล้ว ปรากฏว่าแม่ไม่เห็นด้วย เพราะลูกชายเข้ารับการผ่าตัดเมื่อสามปีก่อนแล้วกลับมาเป็นซ้ำ เธอคิดว่าการผ่าตัดจะทำให้ลูกชายเสียชีวิต แต่ความจริงแล้วการที่เธอจะคิดอย่างนี้ก็ไม่ผิด เพราะหลังจากลดความดันลงมาได้แล้วจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ? แล้วเด็กคนนี้คือใคร? อีกทั้งยังมีโรคอื่นแทรกซ้อนด้วยนะ พอผ่าตัดไปแล้วเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือระบบหายใจล้มเหลวขึ้นมา แม่ของเด็กจะทนรับได้เหรอ? เด็กคนนี้แม้แต่ตอนใกล้จะตายอยู่แล้ว ก็ยังต้องทรมานมาก ๆ อีกด้วย ”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “การผ่าตัดเพื่อลดความดันตามด้วยการฉายแสง เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างพบเห็นได้เป็นปกติในปัจจุบันนี้ เนื่องจากยาเคมีบำบัดไม่ได้ผล สิ่งที่คนเป็นหมอจะสามารถทำได้ก็เหลือน้อยแล้วล่ะ”
หยู่เหวินเห้าเฝ้ามองดูสีหน้าอันจริงจังของพวกเขาในระหว่างการสนทนา ชั่วขณะหนึ่ง ก็เกิดความรู้สึกว่าอยากเป็นหมอด้วยเช่นกัน
แต่แล้วความคิดนี้ก็มีอันถูกเป่าจนกระจายปลิวหายไปทันที มันลำบากเกินไป เขาเกษียณจากตำแหน่งฮ่องเต้มา ก็เพื่อจะเพลิดเพลินกับชีวิตในวัยกลางคน ไม่ใช่เพื่อจะมาโหมทำงานหนักต่อ ในบ้านเขามีแค่เจ้าหยวนกับข้าวเหนียวเป็นหมอก็เพียงพอแล้ว