บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2088 เธอไม่เห็นด้วย
หลังจากที่หยวนชิงหลิงอ่านข้อมูลแล้ว ก็ไปโรงพยาบาลกับพี่ชาย ขอพบกับคุณหมอเจ้าของไข้ของเด็กคนนั้น
หมอหลี่ หมอเจ้าของไข้รู้สึกทุกข์ใจมาก “อันที่จริง ครอบครัวของพวกเขาติดหนี้ค่ารักษามานานแล้ว ทั้งยังตัดใจล้มเลิกการรักษา ตอนนี้ที่ยังนอนโรงพยาบาลอยู่ก็เป็นแค่การรอเวลาเท่านั้นแล้ว ว่ากันตามจริง ตอนนี้มีคนไข้จำนวนมากที่กำลังรอเตียง ครอบครัวเด็กลำบาก ทางโรงพยาบาลเองก็ลำบากครับ”
“แม่ของเด็กไม่มาเหรอคะ?” หยวนชิงหลิงถาม
“หลังจากที่เธอพยายามฆ่าตัวตาย ก็มีอารมณ์สภาวะอารมณ์ไม่มั่นคงมาตลอด ตอนนี้กำลังเข้ารับคำปรึกษาจากนักจิตวิทยา เธอเคยบอกกับพยาบาลที่โรงพยาบาลว่า ถ้าลูกชายของเธอจะต้องตายจริงๆ เธอจะขอตายก่อน จะได้ลงไปรอเขาข้างล่าง พยาบาลคิดว่าเธอแค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่าเธอจะทำแบบนี้จริง ๆ”
“แล้วพ่อของเด็กล่ะ”
หมอหลี่ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “พ่อของเสี่ยวจี๋จากไปนานแล้วล่ะครับ จะว่าไปก็น่าสงสาร ได้ยินมาว่าพวกเขาเพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่กี่เดือน สามีของเธอก็รถชนจนเสียชีวิต ตอนนั้นเธอเพิ่งพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ คนในครอบครัวต่างก็บอกให้เธอไปทำแท้ง แต่เธอไม่เห็นด้วย ตลอดหลายปีมานี้เธอเลี้ยงดูเสี่ยวจี๋มาด้วยตัวคนเดียวตามลำพัง เสี่ยวจี๋คือความหวังทั้งหมดของเธอ”
“แล้วในมือถือของเธอมีอะไรเหรอ? ฉันได้ยินมาว่าเธอไปซ่อมมือถือที่ห้าง พอซ่อมไม่ได้ก็ถึงกับโดดตึกเลย”
“ในโทรศัพท์มีไฟล์วิดีโอสั้น ๆ เก็บไว้ไฟล์นึง เป็นวีดีโอที่เธอกับสามีถ่ายไว้ เดาว่าคงจะไม่ได้เซฟเป็นไฟล์ถาวร พอโทรศัพท์เสียก็เลยหากู้ไฟล์กลับมาไม่ได้”
หยวนชิงหลิงพูดว่า: “วิดีโอที่สำคัญขนาดนี้ทำไมไม่เซฟไว้ให้ดีนะ? ช่างเถอะ เด็กเคยทำการทดสอบความไวของยีนสำหรับยาเป้าหมายแล้วหรือยัง? เคยใช้อิมาทินิบมั้ยคะ? ”
“บ้านพวกเขาถึงขั้นต้องขายสมบัติทั้งหมดที่มีแล้ว ไม่มีกำลังพอที่จะซื้อยากลุ่มเป้าหมายไหวแล้วล่ะครับ อีกทั้งผลการทดสอบก็ไม่พบว่ายีนมีความไวต่อยาด้วย”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ หยวนชิงหลิงรู้สึกหดหู่ไปชั่วขณะ แต่จากนั้นก็พูดขึ้นว่า: “สถานการณ์ในตอนนี้ จำเป็นต้องลดความดันในกะโหลกศีรษะ ไม่อย่างนั้นเด็กจะตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อ วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ฉันอยากลองไปพบกับแม่ของเด็กดู เรากำลังเปิดกลุ่มทดลองการบำบัดด้วยยาอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการบำบัดด้วยยาห้าชนิดร่วมกัน เน้นเฉพาะเนื้องอกในสมองที่กลับมาเป็นซ้ำและดื้อต่อยาซึ่งไม่ไวต่อเคมีบำบัด ถ้าเข้าร่วมกลุ่มทดลอง ทางเราจะมีเงินอุดหนุนให้ด้วย”
หมอหลี่รีบถามอย่างรวดเร็วว่า “ตามข้อมูลของเขาสามารถเข้าร่วมได้มั้ยครับ? ผมจะเอาผลเลือดล่าสุดของเขาให้คุณดู ถ้าเข้าร่วมได้ผมคงต้องขอรบกวนคุณแล้ว”
“ฉันเคยดูแล้วค่ะ เมื่อคืนวานชุดข้อมูลที่พี่ชายของฉันเอาไปมีผลเลือดของเขาอยู่ เรื่องเข้ากลุ่มทดลองฉันสามารถจัดการให้เขาได้ แต่เด็กจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากแม่ของเขาก่อน”
“คุณจัดการให้ได้เลยเหรอ? ไม่ต้องกลับไปให้ทีมผู้เชี่ยวชาญทำการประเมินก่อนหรอกเหรอ?”
หยวนชิงหลิงยิ้มน้อย ๆ “ไม่ต้องหรอก ฉันเป็นคนประเมินก็โอเคแล้วล่ะค่ะ”
หมอหลี่หันไปมองพี่หยวนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างนึกสงสัย “โจวโจว?”
พี่หยวนพูดอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่ก็ออกจะดูภูมิใจน้อย ๆ ว่า “อื้ม ถ้าเธอบอกว่าได้ ก็แสดงว่าได้จริง ๆ เชื่อเธอเถอะ”
จู่ ๆ หมอหลี่ก็เกิดความรู้สึกเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง เห็น ๆ อยู่ว่าหญิงสาวตรงหน้ายังเด็กมาก แต่เธอถึงกับได้ขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มทดลองที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทั้งหมดแล้ว ซึ่งบอกได้แค่ว่าเธอเป็นคนที่เก่งกาจจนน่าทึ่งเลยทีเดียว
หวังเหลือเกินว่าจะช่วยคนไข้ได้จริง ๆ คนไข้รายนี้เมื่อสามปีก่อนเป็นเขาเองที่รับหน้าที่รักษา หลังจากกลับมาเป็นซ้ำก็มาหาเขาอีก แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่มีวิธีรักษาที่ดีไปกว่านี้แล้ว
วันต่อมา หยวนชิงหลิงก็พาหยู่เหวินเห้าไปพบแม่ของเด็กที่ร้านกาแฟนอกโรงพยาบาล
ข้างกายแม่ของเด็กคนนั้น มีนักจิตบำบัดที่ทางโรงพยาบาลจัดหาให้มาด้วยคนหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาอารมณ์ของเธอไม่คงที่อย่างมาก สิ่งที่เข้าใจได้ยากที่สุดคือ เธอไม่กล้าแม้แต่จะไปโรงพยาบาลแล้ว
หรือในเวลาวิกฤติแบบนี้เธอไม่อยากอยู่ข้าง ๆ ลูกชายของเธอ?
หยวนชิงหลิงสั่งชานมร้อนให้เธอแก้วนึง เพื่อให้เธอดื่มอะไรอุ่น ๆ ใจจะได้สงบลง
แม่ของเสี่ยวจี๋จำหยู่เหวินเห้าได้ ครั้งนี้แววตาที่เธอมองเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งระคนความรู้สึกละอายใจ พอจะเห็นได้ว่าหลังจากได้พูดคุยกับนักจิตบำบัดแล้ว เกิดผลด้านบวกต่อเธอขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง
เธอถึงกับพูดคำขอโทษอย่างเป็นทางการ พร้อมกับเสียงเจือสะอื้นว่า “ฉันรู้ว่า ไม่ว่าจะสิ้นหวังแค่ไหน ฉันก็ไม่ควรไปโจมตีเจตนาดีและน้ำใจเอื้อเฟื้อของคนอื่น ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ แล้วก็ขอบคุณที่คุณช่วยฉันไว้”
หยู่เหวินห่าวคุ้นเคยกับการได้รับคำขอบคุณจากคนอื่น พูดกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า: “อื้ม ภรรยาของข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า ขอให้เจ้าตั้งใจฟัง เมื่อคืนนางแทบไม่ได้นอนเพราะเรื่องของลูกชายของเจ้า”
แม่ของเสี่ยวจี๋มองไปที่หยวนชิงหลิงด้วยความสงสัย คนแปลกหน้าคนนึง ทำไมถึงต้องใส่ใจเรื่องของเสี่ยวจี๋มากขนาดนี้?
แต่เธอก็ยังแสดงความขอบคุณ เดา ๆ ในใจว่าพวกเขาคงคิดจะบริจาคเงินให้เสี่ยวจี๋ แต่เธอก็พูดปฏิเสธแบบอ้อม ๆ ไปว่า: “ฉันรู้สึกขอบคุณคุณพวกคุณมาก ติดอยู่แค่ว่าสถานการณ์ของเสี่ยวจี๋ ไม่ใช่ว่าแค่มีเงินก็จะจบปัญหาได้”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าพลางพูดว่า: “ถูกต้อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเงิน ฉันจะบอกแผนการรักษาที่ฉันจัดไว้สำหรับเสี่ยวจี๋ให้คุณฟังก่อนนะ ฉันคิดว่าการผ่าตัดยังไงก็จำเป็นต้องทำ เพราะเนื้องอกทำให้ความดันในกะโหลกศีรษะของเขาสูงขึ้นอย่างน่ากลัว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องการผ่าตัดเพื่อลดความดันโลหิต ฉันต้องกำจัดก้อนเนื้อในสมองของเขาออก แต่เพราะตอนนี้มีสัญญาณของการแพร่กระจายที่ส่อให้เห็นชัด เดิมทีควรต้องทำเคมีบำบัด แต่หมอหลี่บอกว่าเสี่ยวจี๋ไม่ไวต่อการใช้เคมีบำบัด ซึ่งบังเอิญว่ า ฉันเองก็เป็นผู้รับผิดชอบโครงการบำบัดแบบกำหนดเป้าหมายคนหนึ่งพอดี ดังนั้นฉันเลยตั้งใจมาถามคุณว่า คุณยินดีที่จะเข้าร่วมกลุ่มทดลองโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางของเราไหม? เป็นโครงการฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ”
ตอนนี้เองที่แม่ของเสี่ยวจี๋ค่อยรู้ว่าเธอเป็นหมอ แต่เมื่อได้ยินคำว่าต้องผ่าตัด ก็โบกมือปฎิเสธทันที “ไม่ ไม่ทำ จะให้เขารับการผ่าตัดอีกไม่ได้แล้ว เขารับความทรมานขนาดนี้ไม่ไหว ส่วนเรื่องกลุ่มทดลอง ก่อนหน้านี้ทางเราก็เคยสมัครไปแล้ว แต่ตัวชี้วัดของเขาไม่ดี เลยเข้าร่วมไม่ได้ ฉันเคยถามบางคนดู พวกเขาก็บอกแค่ว่าสถานการณ์ของเสี่ยวจี๋ลักษณะนี้ ถ้ายังจะฝืนยื้อต่อไปก็มีแต่จะทรมาน ฉันไม่เห็นด้วย”
หยวนชิงหลิงกับนักจิตบำบัดพูดคุยกับเธออยู่นาน แต่จะเป็นจะตายเธอก็ไม่ยอม จนสุดท้ายเธอก็ร้องไห้แล้วพูดว่า: “ฉันตัดสินใจยอมแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว พวกคุณไม่ใช่ฉัน ไม่มีทางรู้หรอกว่าตลอดเส้นทางที่ฉันต้องทนดูเขาได้รับความทรมานขนาดนี้ ในใจฉันมันเจ็บปวดแค่ไหน ฉันจะปล่อยให้เขาไปเป็นหนูตะเภาในห้องทดลองอีกไม่ได้แล้ว พวกคุณปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าพวกคุณอยากวิจัย ก็ไปหาคนอื่น”
พูดจบ เธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินร้องไห้ออกไป