บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2102 ทำในเรื่องที่เจ้าอยากทำจริงๆ
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 2102 ทำในเรื่องที่เจ้าอยากทำจริงๆ
บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 2102 ทำในเรื่องที่เจ้าอยากทำจริงๆ
ความเข้าใจผิดที่เกิดจากฉื้อถงน้อย ทำให้เจ้าห้ามีข้ออ้างดี ๆ ในการพูดคุยกับลูกชายคนโตเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญในชีวิตได้พอดี
สองคนพ่อลูกขังตัวเองอยู่ในห้องมิดชิด เจ้าห้าสอนแนวคิดการแต่งงานที่ถูกต้องให้กับเขา
ความถูกต้องที่ว่า ก็คือแต่งงานให้ช้าลงหน่อย มีลูกให้ช้าลงหน่อย
แต่ก็ไม่ต้องช้าจนเกินไป แต่งงานสักตอนยี่สิบห้า มีลูกสักตอนยี่สิบแปด ทำอย่างนั้นแล้วจะได้เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตคนวัยหนุ่มสาว
แต่คิดไม่ถึงว่า รัชทายาทก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน
แต่ประเด็นหลัก ๆ เป็นเพราะฉื้อถงยังเด็กอยู่
ฉื้อถงพยายามเรียนรู้เรื่องราวของสังคมมนุษย์อยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับตระกูลจิ้งจอกแล้ว นางนับว่ายังเด็กเกินไปจริง ๆ ทุกครั้งที่รัชทายาทคิดเรื่องแต่งงาน ก็ต้องชักเท้าถอยเพราะเหตุผลนี้เสมอ
เขาไม่อยากรีบกักขังนางไว้ในกรงที่เรียกว่าการแต่งงาน นางควรได้ใช้ชีวิตที่สนุกสมวัย เพลิดเพลินไปกับชีวิตที่นางควรจะมี
เมื่อรู้ว่าลูกชายเข้าใจในเรื่องแบบนี้ เจ้าห้าก็รู้สึกวางใจลงได้มากจริง ๆ
มีเด็ก ๆ อยู่ด้วย ชีวิตของเจ้าห้าจึงเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบมากขึ้น
เดิมทีมันเคยยุ่งเหยิง แต่ตอนนี้กลับเติมเต็มจนสมบูรณ์แบบแล้วจริงๆ
แต่ทางด้านของเจ๋อหลาน กลับมีปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย
บางทีอาจเป็นเพราะเจ๋อหลานมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมที่เป่ยถังมาโดยตลอด หลังจากมาที่นี่ นางก็ยังคงรักษาความละเอียดอ่อนข้อนี้เอาไว้เสมอ
วันหนึ่งนางกลับมาจนดึก เจ้าห้ามารอนางอยู่หน้าประตูบ้าน เพราะเขาโทรหาเท่าไหร่นางก็ไม่ยอมรับสาย
เมื่อนางกลับมา กลับเห็นว่าทั้งตัวของนางเต็มไปด้วยเลือด เจ้าห้าตกใจจนอกสั่นขวัญหาย เมื่อนึกถึงสิ่งที่นางทำในเป่ยถัง จึงรีบลากนางไปที่ห้องหนังสือ
“ลูกสาว เจ้าไม่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายที่นี่นะ เจ้าจะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้”
เจ๋อหลานยิ้มพลางพูดว่า “พ่อ ท่านคิดว่าข้าไปฆ่าคนมาเหรอ?”
“เลือดที่อาบอยู่บนตัวเจ้า ไม่ได้ไปฆ่าใครมาหรอกรึ?”
เจ๋อหลานดึงพ่อมานั่งลง พูดว่า “ข้าไปจับฆาตกรมา ไม่ได้ฆ่าเขา แค่จับเขามัดแล้วส่งไปที่สถานีตำรวจ ข้ายังรวดไปค้นหาหลักฐานออกมา เอาไปมัดติดบนตัวเขาด้วย”
“จริงรึ? ทำเอาพ่อตกใจแทบตายแล้ว”
ในฐานะฮ่องเต้ของแคว้นแคว้นหนึ่ง หยู่เหวินเห้าย่อมรู้ถึงความสำคัญของหลักนิติธรรม
ที่เป่ยถังมีคนที่ยึดหลักมีบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ แต่ที่นี่เขาไม่สนับสนุน
“พ่อ” เจ๋อหลานพูดเบา ๆ “จริง ๆ แล้วเราทุกคนล้วนมีความสามารถพิเศษ ในคดีฆาตกรรมบางคดี เวลาที่ฆาตกรก่อเหตุ จะกลบเกลื่อนหลักฐานได้ละเอียดมิดชิดมาก มันยากที่ตำรวจจะหาตัวฆาตกรเจอ ถ้าเราสามารถใช้ความสามารถพิเศษของเราในการช่วยเหลือตำรวจ ก็ถือได้ว่าเป็นการช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อ”
หยู่เหวินเห้าถึงกับผงะไปเล็กน้อย เขากลับไม่ได้คิดถึงจุดนี้มาก่อนเลย
“พ่อ อาชีพเดิมของพ่อคืออะไรเจ้าคะ?” เจ๋อหลานถาม
“ฮ่องเต้อย่างไรล่ะ!” หยู่เหวินเห้าโพล่งตอบออกมา
เจ๋อหลานส่ายหน้าเบา ๆ มองไปที่พ่อของตัวเอง “ก่อนที่จะมาเป็นฮ่องเต้ล่ะ?”
“รัชทายาทน่ะสิ!”
“ก่อนหน้ารัชทายาทล่ะ?”
“อ๋องฉู่”
“เจ้ากรมการพระนครต่างหาก!” เจ๋อหลานพูดด้วยรอยยิ้ม
แววตาของหยู่เหวินเห้าเข้มขึ้นทันที จริงด้วย เขาเคยเป็นเจ้ากรมการพระนครแห่งเป่ยถัง รับผิดชอบการลงทัณฑ์คนร้ายในเมืองหลวง เป็นความจริงที่คนคนหนึ่ง เมื่อได้เลื่อนระดับขึ้นไปอยู่ในที่ที่สูงแล้ว ก็มักจะลืมภูมิหลังที่เคยลำบากทุกข์ยากของตัวเองไป
“ที่ลูกทำงานเหล่านั้น เดิมทีก็เพื่อจะยกย่องความมุ่งมั่นของพ่อเมื่อครั้งที่ยังเป็นเจ้ากรมการพระนคร ผู้มีเป้าหมายจะนำตัวคนร้ายทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”
“พ่อ ไม่ใช่ว่าโบราณมีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า ออกจากบ้านไปนาน ได้พบเห็นโลกมากมาย แต่เมื่อกลับมาก็ยังคงมีจิตใจที่ผ่องใสเหมือนดั่งวัยเยาว์หรอกหรือ? ข้าเชื่อว่าท่านยังเป็นเด็กหนุ่มที่แสนดีคนนั้น คนเดิมกับที่เคยเป็นเจ้ากรมการพระนครในอดีต….”
หยู่เหวินเห้ารีบโบกมือ ตัดบทคำพูดของนางทันที “ไม่หรอก ตอนนั้นพ่อแต่งงานแล้ว ไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกแล้วล่ะ”
“ก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ ไม่ใช่ใคร ๆ ก็พูดกันว่าผู้ชายจนถึงวันตายก็ยังเป็นเด็กหนุ่มหรอกเหรอ?”
“สาวน้อย มุกพวกนี้มันล้าสมัยไปแล้ว เจ้าต้องหัดอัปเดตมุกใหม่ ๆ เสียบ้าง”
เจ๋อหลานยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ได้ พรุ่งนี้ลูกจะอัปเดตมุกใหม่ ๆ มาเล่นแทน”
อันที่จริงเจ๋อหลานคิดจะเกลี้ยกล่อมพ่อ ว่างานกู้ภัยนั้นเขาจะทำก็ทำได้ แต่เขาก็ยังทำงานตามความสามารถเดิมของตัวเองได้ด้วยเหมือนกัน
ความจริงในสมัยนี้ก็มีอาชีพประเภทนักล่าเงินรางวัลเหมือนกัน ทางตำรวจจะเป็นฝ่ายตั้งเงินรางวัลจากนั้นนักล่าก็ไปไล่ตามจับ
บางครั้งก็ยังมีสิทธิ์สืบสวนคดีฆาตกรรม ที่ไม่สามารถหาตัวฆาตกรได้ด้วย
พ่อเป็นคนที่มีทักษะพิเศษ แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยใช้มันเลย ถึงขั้นเพิกเฉยไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
แต่ทักษะพิเศษนั้นไม่ใช่อาชญากรรม ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซ่อนเร้น
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพยายามจะกลายเป็นคนปกติจนต้องปิดบังตัวเอง นั่นไม่เท่ากับว่าเป็นการทำผิดต่อทักษะความสามารถพิเศษนี้หรอกหรือ?
นางรู้สึกว่าการที่ไม่เหมือนคนทั่วไปก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะถึงยังไงสุดท้ายแล้ว ต่อให้เป็นคนธรรมดา ก็ยังมีวิถีชีวิตที่เป็นของแต่ละคน ไล่ล่าแสวงหาตามความใฝ่ฝันของแต่ละคน
หลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูด หยู่เหวินเห้าก็ครุ่นคิดอยู่นาน
งานกู้ภัยเป็นสิ่งที่ดี เขาสามารถทำต่อไปได้ แต่ในวันข้างหน้าจะอย่างไรทีมก็ต้องเติบโตขึ้น ถ้ามีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องให้เขาไปทำเองทุกอย่างแล้ว
ไม่ใช่ว่าเขาก็มีเวลาไปทำอย่างอื่นได้แล้วหรอกหรือ?
แท้ที่จริงแล้วเขาเองก็มีใจอยากทำ มีกำลังพอที่จะทำ
แล้วก็มีความกระตือรือร้นอันเต็มเปี่ยมนี้ด้วย
พอกลับถึงห้อง เขากอดเจ้าหยวนพลางพูดถึงเรื่องนี้
หยวนชิงหลิงจับมือของเขามาวางลงบนเข่าของตัวเอง แล้วพูดว่า: “ขอแค่เจ้าอยากทำ ข้าก็พร้อมจะสนับสนุนเจ้า ดังนั้นเรื่องแรกที่เจ้าต้องทำก็คือ ลองถามตัวเองให้แน่ใจก่อนว่าเจ้าอยากทำหรือไม่?”
“ตอนที่เจ๋อหลานยังไม่ได้พูดถึงข้าก็ไม่เคยคิด แต่พอลูกพูดแล้ว มันทำให้ข้านึกถึงตอนที่ตัวเองรับผิดชอบสืบคดีอยู่ในกรมการพระนคร”
“ช่วงนั้นเจ้าต้องออกบ้านแต่เช้า กลับมาจนดึก แม้ว่าจะโกรธเกรี้ยวต่อความโหดเหี้ยมของฆาตกรอยู่เสมอ แต่ก็มักจะยินดีในตอนที่ไขคดีและจับตัวฆาตกรได้”
“ใช่แล้ว ไร้เดียงสามากเลยล่ะ ต่อมาเมื่อได้เป็นรัชทายาท เป็นฮ่องเต้ มีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ มีบางครั้งที่คดีฆาตกรรมเกิดชนกับสถานการณ์บ้านเมืองโดยรวม ข้าถึงกับคิดว่าการจับตัวฆาตกรไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้นแล้ว”
“เคยคิดแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“เป็นความคิดชั่ววูบ แต่เมื่อเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่แล้วล่ะ”
หยวนชิงหลิงพูดว่า: “เจ้าห้า ไปเถอะ ไปทำตามสิ่งที่เจ๋อหลานพูดไว้!”
แววตาของหยู่เหวินเห้าค่อย ๆ เปล่งประกายเจิดจ้า “ข้าจะลองดู ว่าตัวเองจะสามารถค้นหาความรู้สึกเดิมที่เคยเป็นกลับคืนมาได้หรือไม่”