บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2103 นักล่าค่าหัว
บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 2103 นักล่าค่าหัว
พวกเด็ก ๆ อยู่ที่นี่หลายวันแล้วก็กลับไป เจ้าห้าครุ่นคิดเรื่องในอนาคตของตัวเองอย่างจริงจัง
ชีวิตนี้ของเขา ได้ปีนขึ้นไปยังจุดสูงสุดที่ใครหลายคนไม่มีวันเอื้อมถึง
แต่ตำแหน่งสถานะ ไม่ใช่เกณฑ์ที่ใช้วัดคุณค่าของชีวิตได้แม่นยำเสมอไป
เขาเริ่มถามตัวเองว่าเมื่อเจ้าเกิดมาเป็นตัวเป็นตน เรื่องที่อยากทำ เจ้าได้ทำมาหมดแล้วหรือยัง?
พวกความคิดไร้สาระที่เคยมีในวัยเด็กเหล่านั้น ได้ลองลงมือทำแล้วหรือยัง?
เจ้าคิดว่า เจ้าอยากหลงเหลือรอยเท้าแบบไหนไว้บนโลกใบนี้?
ดังนั้นในวันต่อมา เขาจึงเข้าสู่ระบบเว็บไซต์แห่งหนึ่ง บนเว็บนั้นมีการตั้งรางวัลมากมายสำหรับการจับอาชญากรที่ทางการต้องการตัว
เขาทอยลูกเต๋า ทอยได้หนึ่งแต้ม เขาจึงเลือกคนแรก เป็นคนร้ายฆ่าคนตายที่หลบหนีคดีมาแปดปี
ข้อมูลในการประกาศรางวัลไม่ถึงกับสมบูรณ์ เขาจึงโทรไปถามที่สำนักการทาง ทางสำนักการทางจึงส่งข้อมูลไปยังวีแชทของเขาอย่างรวดเร็ว
ตอนอายุสามสิบห้า คนร้ายทะเลาะวิวาทกับเพื่อนบ้านด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยความโกรธจึงลงมือฆ่าสมาชิกในครอบครัวของเพื่อนบ้านหมดทั้งห้าคนเพื่อระบายความโกรธ แม้แต่เด็กทารกอายุไม่กี่เดือนก็ยังไม่ละเว้น
หลังจากฆ่าคนแล้ว เขาก็ขับรถหนี ไปชนโดนเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลคนหนึ่ง ลูกชายของเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลคนนั้นเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้
ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่า หลังจากเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลถูกชน เขายังไม่ตาย ยังสามารถคลานไปหาโทรศัพท์มือถือได้ แต่ฆาตกรตั้งใจขับรถทับเขา ยางรถทับเข้าที่คอของเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลคนนั้น แล้วฆาตรกรก็เร่งความเร็วหนีไป
เมื่อสำนักการทางรู้ว่าเขาจะเป็นนักล่าค่าหัว ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ในโลกใบนี้ มีคนชั่วร้ายอำมหิตมากมายเหลือเกิน ผุดขึ้นมาไม่รู้จักหมดจักสิ้น พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากคนที่รักความยุติธรรม
ในคืนเดือนมืด สายฝนโปรยปรายเหมือนดั่งสวรรค์ตั้งใจ
ฤดูร้อนของเมืองก่วง เขาพร้อมเข้าสู่โหมดพร้อมล่าอย่างเป็นทางการ
ฤดูกาลที่อากาศเป็นแบบนี้ สำหรับหยู่เหวินเห้าแล้วเป็นอะไรที่สะดวกสบายดีทีเดียว
เม็ดฝนทั้งหมด เหมือนจะสามารถกลายเป็นดวงตาให้เขาได้
ฆาตกรที่เอาแต่ซ่อนตัวมาตลอดนั่น รอดพ้นจากดวงตาของสวรรค์ แต่ไม่อาจรอดพ้นจากน้ำฝนได้
เขาซ่อนตัวอยู่ที่แถบเทือกเขาทางตะวันตกของกวางตุ้ง ที่นั่นมีญาติของเขาอาศัยอยู่
เขารับจ้างถางป่าแห่งหนึ่งผ่านญาติของเขา เพื่อทำการปลูกเสาวรส
แปดปีมานี้ ฟาร์มผลไม้ของเขาขยายขึ้นจนมีขนาดค่อนข้างใหญ่ สะสมทรัพย์สินไว้ได้ไม่น้อย
ตอนที่ฆ่าคนเขาอายุสามสิบห้า ตอนนี้ผ่านไปแล้วแปดปี เขามีอายุได้สี่สิบสามแล้ว
เขาไม่ได้แต่งงาน แต่มีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตน
บางทีอาจเป็นเพราะเขาใช้ชีวิตแบบไม่มีตัวตนมานานจนเกินพอแล้ว เขาจึงมีความคิดจะลักลอบหลบหนีออกไปอยู่ต่างประเทศ
ไปอยู่ประเทศที่ไม่นับว่ามีความพัฒนามากมายนัก ซื้อตัวตนซักสถานะ ทำธุรกิจ แล้วใช้ชีวิตแบบนั้นไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เลว
เขาวางแผนว่าจะไปเวียดนาม เพราะเขาอยู่ในธุรกิจเสาวรสมานานหลายปี รู้ว่าที่เวียดนามมีพ่อค้าเร่จำนวนมากลักลอบขายเสาวรสไปที่อำเภอตงซิ่ง เขาคิดจะใช้วิธีนี้นานแล้ว ทั้งยังซื้อเส้นสายความสัมพันธ์พวกนี้เอาไว้ด้วย
วันนี้ที่ออกเดินทาง ฝนตกหนักมาก
แม้ว่าจะไม่เอื้อต่อการเดินทาง แต่เขากลับรู้สึกปลอดภัยอย่างอธิบายไม่ถูก
เขานั่งยอง ๆ รออยู่ที่จุดนัดหมายใกล้ชายแดนตั้งแต่เช้าตรู่ รอให้รถบรรทุกใหญ่มาถึง เขาก็แค่ขึ้นรถบรรทุกใหญ่นั่นไป รอจนขึ้นรถบรรทุกนั่นไปแล้ว เขาก็จะมีตัวตนใหม่
เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไป
ขอแค่ข้ามแม่น้ำสายนั้นไปได้ เขาก็เท่ากับได้เกิดใหม่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไป
เขาจะสามารถแต่งงานอย่างเปิดเผย มีลูก หรือแม้แต่ไปอยู่ประเทศอื่นที่ดีกว่าได้
ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นยินดีในใจได้ นั่งยอง ๆ อยู่ใต้กันสาดพลางจุดบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นสูบ ในช่วงที่ฝนตกหนัก มีรถยนต์ขับผ่านไป ล้อเหยียบน้ำฝนที่ขังบนถนนกระเด็นใส่เขาจนเปียกทั้งตัว แต่เขากลับไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุด ก็ได้ยินเสียงบีบแตรยาวสามครั้งสั้นหนึ่งครั้ง ไกลจากตรงจุดนั้น มีรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นเข้ามาอย่างช้า ๆ
เขาดูดบุหรี่แรง ๆ เฮือกหนึ่ง ภายใต้แสงสีขาวของไฟหน้ารถ เขายกยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันสีเหลือง
แต่ในชั่วขณะนี้เอง มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาคว้าข้อมือของเขาไว้ ได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่ดังจนกลบเสียงฝนแว่วมา ชัดเจนเต็มสองหูว่า “พี่ชาย มีไฟไหม?”
เขาสะบัดมือทันที “ไปให้พ้น!”
เมื่อรถบรรทุกคันนั้นมาถึง เขาก็ชูแถบผ้าสีแดงในมือ รถบรรทุกหยุดลงข้างๆ เขา
เขาโยนก้นบุหรี่ทิ้งอย่างตื่นเต้น กำลังจะวิ่งออกไปขึ้นรถ แต่มือข้างนั้นกลับยื่นออกมาอีกครั้ง คว้าหมับเข้าที่หัวไหล่ของเขาแล้วลากไปข้างหลัง
เขาไม่ทันตั้งตัว ถูกเหวี่ยงจนล้มลงไปกับพื้น เมื่อเงยหน้ามองด้วยความตกตะลึง ก็เห็นเพียงชายที่ในมือกำลังถือร่มคนหนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้เขา
ในคืนที่ฝนตกแบบนี้ ได้มาเจอรอยยิ้มแบบนี้ มักทำให้พวกที่หลบหนีความผิดต้องหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงกอยู่เสมอ
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างพันรอบมือของเขา ยังไม่ทันเห็นชัดว่ามันคืออะไร ก็ถูกยกขึ้นมา รถบรรทุกคันนั้นเห็นท่าไม่ดี คนขับก็รีบขับรถหนีไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าเพิ่งไปสิ อย่าเพิ่งไป…..” เขาตะโกนเสียงดังลั่น คิดจะลุกขึ้นวิ่งไล่ตามรถบรรทุกคันนั้นไป แต่กลับมีคนเหยียบเข้าที่หน้าอก เขาเจ็บซะจนเกือบหายใจไม่ออก
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นต่างหาก ที่ทำให้เขาหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ
ชายหนุ่มภูมิฐานที่ถือร่มอยู่ตรงหน้าก้าวขาเดินออกไป เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาไม่ได้ดึงหรือลากเลย แต่ร่างกายตนเองกลับถูกลากตามไป เขายกสองมือขึ้นดู ข้อมือของเขาก็ไม่ได้ถูกมัดด้วยเชือกใด ๆ เหมือนกัน มีเพียงน้ำฝนที่พันเกี่ยวอยู่บนข้อมือของเขา แรงนั้นลากดึงตัวเขาไปข้างหน้าไม่หยุด
จากนั้น ก็ได้ยินชายหนุ่มตรงหน้าพูดขึ้นว่า “ข้าฝ่ากฎเสียแล้วล่ะ คงต้องขึ้นทางด่วนแล้ว”
แรงนั้นผลักเขาออกไป จนตัวกระเด็นไปที่รถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างหน้า ประตูเปิดรออยู่ แล้วเขาก็ถูกเหวี่ยงเข้าไปตรง ๆ
จากนั้นประตูรถก็ปิด
เสียงรถสตาร์ทดังขึ้น คนขับก็คือผู้ชายคนนั้น เขาผิวปากอย่างผ่อนคลาย รถแล่นข้ามแอ่งน้ำ เจอหลุมขรุขระแห่งหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะกระโดดข้ามไป เสียงผิวปากนั้นเริ่มจะฟังดูกระเซ้าเย้าแหย่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
เสียงผิวปากหยุดลง น้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพก็ดังขึ้น “คุณลูกค้า นั่งให้ดี ๆ ล่ะ พวกเราไปดื่มชาร้อน ๆ ที่สถานีตำรวจกันสักแก้ว!”
ฆาตกรถึงกับเป็นลมด้วยความตกใจสุดขีด
ฆาตกรตามหมายจับระดับ A ก็มีอันถูกส่งไปสถานีตำรวจในลักษณะนี้เอง
เงินรางวัลครั้งนี้ เป็นจำนวนห้าแสนเหรียญ
พวกที่มีค่าหัวระดับ A เงินรางวัลเริ่มต้นคือห้าหมื่นขึ้นไป ไม่มีการกำหนดวงเงินจำกัด
อีกทั้งฆาตกรรายนี้ได้ก่ออาชญากรรมที่ชั่วร้ายเอาไว้มากมาย ฆ่าคนหลายคนติดต่อกัน มาตอนนี้ถูกจับกลับมาได้ ก็ถือว่าเป็นการปลอบโยนเหยื่อและคนในครอบครัวเหยื่อได้บ้าง
ในวันที่สองหลังการจับกุม สำนักการทางก็โทรหาหยู่เหวินเห้าด้วยตัวเอง บอกว่าไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอะไร ฆาตกรก็สารภาพจนหมดเปลือกแล้ว
สาเหตุที่ฆ่าเพื่อนบ้าน เป็นเพราะตอนกลางคืนลูกของเพื่อนบ้านมักร้องไห้งอแง ตอนนั้นเขาเพิ่งเสียพนันเงินไปก้อนใหญ่ รู้สึกหงุดหงิดแทบคลั่ง เด็กทารกยังมาร้องไห้กลางดึกกลางดื่นอีก เขาโมโหจนขาดสติ คว้ามีดไปเคาะประตูบ้านอีกฝ่าย
นี่คือสาเหตุที่เขาฆ่าเพื่อนบ้านจนหมดทั้งครอบครัว
หลังจากฆ่าคนแล้ว ค่อยมารู้ว่าตัวเองทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ จึงรีบเก็บข้าวของเตรียมหลบหนี แต่กลับขับรถไปชนใส่เจ้าหน้าที่สุขาภิบาล เขาเห็นว่าเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลยังมีแรงเอื้อมเก็บโทรศัพท์มือถือไหว เลยกลัวว่าอีกฝ่ายจะแจ้งตำรวจ เลยตัดสินใจว่าพอชนไปแล้วก็ต้องชนให้ตาย
หลังจากที่หยู่เหวินเห้าได้รับโทรศัพท์จากสำนักการทาง เขาก็ไปหาลูกชายของเจ้าหน้าที่สุขาภิบาล
เวลานั้นลูกชายของเขาเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย หลังจากพ่อเสียชีวิตก็ต้องทนรับแรงโจมตีครั้งใหญ่ บวกกับที่บ้านน้องสาวก็ยังเรียนอยู่ชั้นประถม ส่วนแม่ก็พิการ สุดท้ายเขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยต้องออกมาหางานทำ
เขาเรียนไม่จบปีหนึ่งด้วยซ้ำ เลยหางานดี ๆ ทำไม่ได้ เขาเริ่มจากไปทำงานในโรงงานก่อน ต่อมาไปสอบได้ใบขับขี่ จึงมาทำงานเป็นพนักงานขับรถส่งของในโรงงาน ทำหน้าที่รับส่งและขนย้ายสินค้า
สามปีต่อมา โรงงานล้มละลาย เขาไปหางานเกี่ยวกับการขายสินค้า แต่อาชีพพนักงานขายไม่มีการการันตีเงินเดือนที่แน่นอน สุดท้ายเขาจึงทำต่อไปไม่ได้
ต่อจากนั้น ก็ไปทำงานส่งพัสดุไปรษณีย์ ทำมาจนถึงปัจจุบัน
ชายหนุ่มวัยยี่สิบหกปี ถูกภาระอันหนักอึ้งกดทับจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้หายใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนล้าอิดโรย
งานส่งพัสดุด่วนมีรายได้ประจำที่แน่นอน แต่เขาต้องแบกภาระในครอบครัวที่หนักหนา แม่พิการรวมถึงเป็นโรคเรื้อรัง จำเป็นต้องกินยาตลอดหลายปี ส่วนน้องสาวก็เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย
เขาแบกรับคนเดียวไม่ไหว แต่จะไม่แบกต่อไปก็ไม่ได้
สาเหตุที่แบกรับไม่ไหวไม่ใช่เพราะเหนื่อย เด็กที่มาจากครอบครัวยากจนไม่เคยกลัวความเหนื่อย
แต่เขาแค่ทำใจยอมรับไม่ได้ว่า ตลอดแปดปีที่ผ่านมา ฆาตกรที่ฆ่าพ่อเขายังไม่เคยถูกหาตัวพบ
ในตอนแรกที่เขาดูกล้องวงจรปิด ก็เห็นว่าพ่อของเขาถูกชนถึงสองครั้ง นั่นเป็นเจตนาฆ่าคนชัด ๆ
พ่อของเขาถูกฆ่าตาย