บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 233 ทำร้ายอ๋องจี้
เจ้าพระยากู้รีบเข้าวัง ไปร้องห่มร้องไห้ ร้องขอให้ฮ่องเต้เมตตา ให้ตรวจเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้วค่อยลงโทษ หากตรวจสอบแล้วเป็นความผิดของกู้ซือ คนที่เป็นพ่ออย่างเขาจะฆ่าเขาด้วยมือตัวเอง
เจ้าพระยากู้กับฮ่องเต้ก็เป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก เห็นเพื่อนตัวเองร้องไห้เสียใจขนาดนี้ ต่อให้ฮ่องเต้หมิงหยวนจะเกรี้ยวยังไง ก็ใจอ่อน
หยู่เหวินเห้ารอจนกระทั่งท่านเจ้าพระยาจากไปแล้วจึงเข้าวังไปรายงานฮ่องเต้ บอกว่ากู้ซือไม่ยอมพูดแม้แต่คำเดียว ดูเหมือนว่ามีคนหรือสถานการณ์ที่ต้องการจะปกปิด
ฮ่องเต้ได้ฟังคำพูดนี้ แม้ว่าจะโกรธมากแต่ก็คิดถึงเจ้าพระยากู้ ก็เลยให้เขารีบไปตรวจสอบ ดูสิว่าเขานั้นปกป้องใคร
อ๋องจี้ที่ฟังอยู่ด้านข้าง ก็กล่าวอย่างเรียบเฉย “กู้ซือเป็นผู้บัญชาการมหาดเล็กของฮ่องเต้ หน้าที่ของเขาก็คือปกป้องฮ่องเต้ ในสายตาของคนในเมืองหลวง คนที่สนิทกับเขามากที่สุดก็คือน้องห้าแล้ว หากเจ้าบอกว่าเขายอมตายเพื่อปกป้องคนอื่น มีเพียงเสด็จพ่อกับน้องห้าที่มีค่าให้เขาทำเช่นนี้”
หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างเย็นชา “ท่านพี่ใหญ่ คำพูดของท่านบังอาจไปแล้ว กู้ซือต้องปกป้องฮ่องเต้อะไร? หรือว่าท่านสงสัยว่าเสด็จพ่อเป็นคนทำร้ายน้องแปด? พูดไม่ใช้สมองเลย”
อ๋องจี้หัวเราะเสียงดัง “น้องห้า ในเมื่อเจ้าเข้าใจความหมายของข้าผิด ข้าก็จนปัญญา”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองเขาสองคนด้วยสายตาที่หม่นหมอง “ไปทำเรื่องที่เป็นชิ้นเป็นอันหน่อย ยังดีกว่ามาเถียงกันที่นี่ ไสหัวออกไป!”
อ๋องจี้ปรับสีหน้า แล้วกล่าว “เสด็จพ่อ กระหม่อมยังมีเรื่องจะพูด”
“ว่ามา!” ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดอย่างเคืองๆ มีเรื่องไม่จบไม่สิ้น?
อ๋องจี้เดินไปข้างหน้า “เสด็จพ่อ ในตำหนักหมิงหัว ขันทีตายไปไม่น้อย น้องแปดก็บาดเจ็บ กู้ซือถือกระบี่ที่มีเลือดหยด แล้วน้องห้าก็เข้าไปจับกู้ซือเอาไว้ นั่นก็หมายความว่า ตอนที่น้องแปดบาดเจ็บ มีเพียงน้องห้ากับกู้ซือที่อยู่ตรงนั้น ไม่มีบุคคลที่สาม ดังนั้นฆาตกรจะมีเพียงสามคน ไม่ใช่กู้ซือ ก็คือน้องเห้า หรือไม่ก็เป็นน้องแปดทีเอากระบี่แทงตัวเอง แล้วค่อยใช้ฝ่ามือทำลายเส้นเลือดหัวใจ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองเขา “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าในตำหนักหมิงหัวมีเพียงแค่เขาสามคน? เจ้าอยู่ในเหตุการณ์เหรอ?”
อ๋องจี้สัมผัสกับแววตาที่เย็นชาของฮ่องเต้หมิงหยวน สะดุ้งไปหนึ่งที แล้วกล่าวอย่างรีบร้อน “กระหม่อมเพียงแค่วิเคราะห์”
“ไม่สู้เจ้าลองมาวิเคราะห์ดูว่าคดีในเมืองถิงเจียงจะสอบสวนเสร็จเมื่อไหร่?” ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวอย่างโกรธเคือง
ได้ยินเรื่องคดีของเมืองถิงเจียง อ๋องจี้ก็ไม่กล้าที่จะหายใจแรง กล่าวด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง “กระหม่อมพูดไปเรื่อย”
หยู่เหวินเห้าได้ยินเขาถูกตำหนิ ในใจจึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าที่จะอยู่นาน ยกมือคารวะแล้วทูลลาออกไป
อ๋องจี้ก็ทูลลาออกไป
ตรงด้านนอกเขาเรียกตัวหยู่เหวินเห้าเอาไว้ กล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่ดี “กู้ซือกับน้องห้าเป็นเพื่อนรักกัน ครั้งนี้ที่กู้ซือเกิดเรื่อง เกรงว่าน้องห้าคงจะเข้าข้างเขาอย่างเต็มที่กระมัง? กล้าใช้แม้กระทั่งข้ออ้างที่ว่าปกป้องคนอื่นหรือมีเงื่อนงำอย่างอื่นมาอ้าง คงไม่ใช่สุดท้ายแล้วมากอ้างว่านางสุนัขจิ้งจอกเป็นคนฆ่าคน และกู้ซือถูกนางจิ้งจอกทำให้ลุ่มหลงจนทำเรื่องเช่นนี้? มันคงจะทำให้คนอื่นหัวเราะกันไปใหญ่”
“ท่านพี่ใหญ่!” หยู่เหวินเห้ามองเขาอย่างเคร่งขรึม ยกกำหมัดของตัวเองขึ้น “ท่านดูสิว่านี่มันคืออะไร?”
อ๋องจี้ยิ้มเยาะ “ทำไม? เจ้าคิดจะทำร้ายข้า? ชกสิ ชกให้เต็มที่เลย เสด็จพ่ออยู่ข้างใน………..”
กำปั้นใหญ่ประมาณหม้อตุ๋น ถูกชกไปที่สันจมูกของอ๋องจี้ อ๋องจี้ที่ยังไม่ทันระวัง หัวของเขาเหมือนถูกค้อนกระแทกไปหนึ่งที เจ็บจนหูอื้อไปหมด
ในขณะอ๋องจี้กำลังเจ็บ เท้าของหยู่เหวินเห้าก็ถีบออกมา ไปถีบที่หน้าแข้งของเขาโดยตรง เจ็บจนอ๋องจี้ต้องกุมขากระโดดหมุน
คนข้างกายต่างตกตะลึงกันไปหมด ตอนที่รู้ตัวก็รีบวิ่งเข้าไปดึงตัวหยู่เหวินเห้าออก หยู่เหวินเห้าถูกล็อกแขนทั้งสองข้าง เขาก็ไม่ต่อต้าน ก็มองอ๋องจี้กระโดดจนเสร็จ แล้วชกกลับมาที่เขาหนึ่งหมัด
เขาโดนหมัดนี้ไปเต็มๆ
จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่เกรี้ยวกราดของฮ่องเต้หมิงหยวนดังขึ้น “พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่?”
อ๋องจี้สั่นสะท้านด้วยความตกใจ หันกลับไปคุกเข่าลงอย่างน่าสงสาร “เสด็จพ่อ ไม่รู้ว่าน้องห้าเกิดบ้าอะไร ชกกระหม่อมโดยไม่มีเหตุมีผล”
หยู่เหวินเห้าก็คุกเข่าลง กล่าวอย่างรู้สึกผิด “เสด็จพ่อ กระหม่อมไม่กล้าชกต่อยกับท่านพี่ใหญ่”
อ๋องจี้กล่าวด้วยความโกรธ “เป็นเจ้าที่ชกข้า ข้าไม่ได้ชกต่อยกับเจ้า”
หมัดที่อ๋องจี้ชกเข้ามานั้น ค่อนข้างที่จะแรงมาก ใบหน้าของหยู่เหวินเห้าก็บวมขึ้นมาโดยตรง
แต่ว่าเขานั้นชกอ๋องจี้ ที่สันจมูก ศีรษะ ยังมีขา ล้วนใช้กำลังภายใน เวลาเพียงชั่วครู่ยังไม่มีรอยอะไร
ดังนั้น เมื่อมองภายนอก เขาดูน่าสงสารกว่าอ๋องจี้
สิ่งที่สำคัญคือ ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นอ๋องจี้ชกคนกับตา
เมื่อสายตาที่หม่นหมองของฮ่องเต้หมิงหยวนมาหยุดอยู่บนใบหน้าของอ๋องจี้ หยู่เหวินเห้ารีบโขกหัวคำนับไปหนึ่งที “เสด็จพ่อ เป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมจะรีบไปตรวจสอบคดีของน้องแปด รอให้คดีมีความกระจ่างแล้วค่อยมาขอโทษท่านพี่ใหญ่!”
“เจ้า………” ใบหน้าของอ๋องจี้กลายเป็นสีม่วงทันที ไฟโกรธลามไปทั่ว “เจ้ากล้าทำทำไมไม่กล้ารับ?”
หยู่เหวินเห้ายกมือคารวะ “ท่านพี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรโต้ตอบ ข้าขอโทษท่านพี่”
อ๋องจี้คิดไม่ถึงว่าหยู่เหวินเห้าจะตีสองหน้า ไม่ใช่นิสัยของเขาอย่างแน่นอน เมื่อก่อนเขาเป็นคนซื่อตรง ไม่เคยเจ้าเล่ห์แบบนี้
เพียงครู่เดียว ก็ทำเอาอ๋องจี้โกรธจนพูดไม่ออก ท่าทางการยอมรับผิดของเขานั้นดีมาก บอกว่าจะขอโทษวันหลัง ตอนนี้กลับขอโทษทันที เห็นได้ชัดว่าเหมือนตัวเองนั้นไร้เหตุผลจงใจตอแยน้อง
ฮ่องเต้หมิงหยวนทำหน้าเข้มกล่าวกับหยู่เหวินเห้า “เจ้ายังมาคุกเข่าอยู่ทำไม? ยังไม่รีบไปสืบคดีอีก?”
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้น “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา!”
อ๋องจี้ทั้งอับอายและโกรธ “เสด็จพ่อ พระองค์ไม่ควรเชื่อเขา………”
“หุบปาก” ฮ่องเต้หมิงหยวนโกรธจนหน้าดำคร่ำเครียด “คุกเข่าอยู่ตรงนี้ ไม่มีคำสั่งข้า ห้าลุกขึ้นเด็ดขาด!”
อ๋องจี้แทบไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง มองดูเสด็จพ่อจากไปอย่างตาละห้อย เป็นเวลาครู่ใหญ่ตัวเองยังนึกคำแก้ต่างไม่ได้
เขาหันหลังไปทันที ทำได้เพียงมองหยู่เหวินเห้าที่เดินไปอย่างองอาจ เหมือนกับไม่มีใครสู้เขาได้
เขากัดฟันอย่างมืดมน ได้ ข้าจะดูว่าเจ้าจะช่วยกู้ซือยังไง ครั้งนี้ต่อให้ไม่สามารถจัดการเจ้าได้ ทำให้เจ้าเสียหมาไปหนึ่งตัวก็ยังดี
ที่หยู่เหวินเห้าชกเขา นั้นไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ
มันไม่สามารถที่จะทนได้อีกแล้วจริงๆ
สิ่งที่สำคัญคือ ตอนนี้ภรรยาของเขากำลังช่วยเจ้าแปดอยู่ และเขาก็ต้องสืบคดี ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ฮ่องเต้ไม่มีทางที่จะลงโทษเขา แต่ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงการถูกคิดบัญชีย้อนหลังได้ แต่เมื่อผ่านไปสองสามวัน ฮ่องเต้ก็หายโมโหพอสมควรแล้ว มากสุดก็ลงโทษโดยการคุกเข่า ต่อให้คุกเข่าสามวัน แล้วได้ชกคนต่ำช้าสักครั้ง ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
หยู่เหวินเห้าไปที่ตำหนักของเสียนเฟย
เมื่อวานตอนที่เขาออกมา หลี่กงกงบอกเขาว่าท่านแม่ของเขาไม่สบาย ดังนั้นเขาจึงไปที่ตำหนักของท่านแม่ แต่ว่าการไปตำหนักของท่านแม่นั้น ต้องผ่านตำหนักหมิงหัว
เขารู้สึกว่าที่กู้ซือมาปรากฏตัวที่ตำหนักหมิงหัว เป็นเรื่องบังเอิญ น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง
หากตอนนั้นกู้ซือไม่อยู่ แล้วเขาวิ่งเข้าไป สถานที่เกิดเหตุตอนนั้นเหลือเพียงเขากับน้องแปด และขันทีที่ตายไปแล้ว
ต่อให้มีร้อยปากก็แก้ตัวไม่ขึ้นแล้ว
เพราะตอนที่เขาเข้าไปอุ้มน้องแปดออกมานั้น ทหารรักษาพระองค์ก็ได้มาถึงแล้ว มาได้เร็วมาก
เขาสามารถสรุปได้ว่า เป้าหมายของพวกมันก็คือเขา ไม่ใช่กู้ซือและไม่ใช่น้องแปดอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่น่าโมโหก็คือเพราะเรื่องนี้ต้องทำให้น้องแปดเป็นตายไร้ดีก็ไม่รู้
เสียนเฟยเห็นลูกชายมา ก็อดถามไม่ได้ “เสด็จพ่อเจ้าได้มอบหมายงานให้เจ้าแล้วไม่ใช่รึ? เจ้าทำไมยังมาหาแม่อีก? รีบไปทำงานเถอะ หยู่เหวินเห้าก้าวเดินไปข้างหน้า กล่าวอย่างห่วงใย ท่านแม่ไม่สบาย ลูกก็ต้องมาเยี่ยมท่านอยู่แล้ว”