บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 244 ฮ่องเต้หมายความว่ายังไง
มู่หรงกงกงพาคนเข้ามา จับตัวสนมซูขึ้นไป สนมซูกรีดร้อง ต่อต้านอย่างเต็มกำลัง ไหนเลยจะสู้แรงของทหารรักษาพระองค์ที่บึกบึนสองคนได้?
นางถูกแขวนขึ้นไป เสียงติดอยู่ในลำคอ เปล่งเสียงไม่ออก ขาสองข้างของนางดิ้นอย่างต่อเนื่อง
หยวนชิงหลิงไม่ได้เงยหน้ามอง เห็นเพียงรองเท้าปักลายดอกสีขาวคู่หนึ่งขยับไปมาอย่างรุนแรงตรงหน้านาง
เหมือนกับว่ามันเป็นเวลานานมาก และก็เหมือนกับว่าเป็นเพียงแค่หนึ่งนาที ขาคู่นั้น ก็หยุดดิ้นรน ทิ้งตัวลงมา
หยวนชิงหลิงก้มตัว อาเจียนออกมาทันที
นางทรมานมาก ไม่ว่าสนมซูจะสมควรตายหรือไม่ ชีวิตหนึ่งชีวิตมาหายไปต่อหน้านาง นางไม่สามารถที่จะทำเป็นไม่รู้สึก
แม่นมสี่เข้ามาพยุงนางออกไป หลังจากที่นางออกไป นั่งอยู่บนบันไดหิน ก็อาเจียนอย่างรุนแรง รู้สึกว่าหัวใจถูกบีบด้วยมือขนาดใหญ่ ทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออก
แม่นมสี่ลูบหลังให้นาง “พระชายาไม่ต้องไปเสียใจแทนนาง นางตายยังชดใช้ความผิดไม่พอเลย”
หยวนชิงหลิงสังเกตเห็นนิ้วมือของตัวเองยังสั่น “ข้าไม่ได้เสียใจแทนนาง ข้าเพียงแต่รู้สึกว่า……..ที่แท้การทำเรื่องที่ผิด ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้”
“ไปเถอะ ได้เวลาไปกราบทูลผลพร้อมกับเต๋อเฟยแล้ว” แม่นมสี่เข้าใจความคิดของนาง แต่ว่า มู่หรงกงกงรออยู่ข้างนอกนานแล้ว ต้องไปกราบทูลพร้อมกัน
หยวนชิงหลิงลุกขึ้น เท้าเหมือนจะลอยๆ
นอกตำหนักได้เตรียมเก้าอี้หามเอาไว้แล้ว นางกับเต๋อเฟยนั่งเก้าอี้หาม ถูกหามไปที่ตำหนักชิงหัว
ฮ่องเต้หมิงหยวนพบนางกับเต๋อเฟย ยังมีมู่หรงกงกงที่ตำหนักชิงหัว
เหลิ่งจิ้งเหยียนก็อยู่
เหลิ่งจิ้งเหยียนได้ไปหาหยู่เหวินเห้าที่ตำหนักฉินคุนมาแล้ว คดีถูกหยู่เหวินเห้าสืบไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว เขาเพียงแค่ไปตรวจสอบที่กองทหารรักษาพระองค์อีกครั้ง แล้วสอบปากคำเพิ่มอีกสองสามปาก ก็เข้าใจทุกอย่าง ก่อนที่หยวนชิงหลิงจะมารายงานผล เขาได้รายงานสถานการณ์ของคดีไปเรียบร้อยแล้ว
เต๋อเฟยได้พูดคำพูดที่สนมซูพูดก่อนตายออกมา มู่หรงกงกงกับหยวนชิงหลิงเป็นพยานว่าเต๋อเฟยพูดความจริง
คำให้การของสนมซูกับสิ่งที่เหลิ่งจิ้งเหยียนรายงานนั้นไม่ต่างกันนัก เพียงแต่ ตอนที่จะไปจับหลี่กงกงนั้น หลี่กงกงก็ได้แขวนคอฆ่าตัวตายไปแล้ว
มีราชโองการไปที่คุกมืด อู๋ซูฮั่วทำร้ายองค์ชาย ถูกสั่งประหารชีวิต!
คดีจบลงไปอย่างเงียบๆ ไม่จำเป็นต้องให้องค์แปดมาเป็นพยาน
กู้ซือเลอะเลือนละทิ้งหน้าที่ ถูกลดตำแหน่งไว้ใช้งาน
หยู่เหวินเห้าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ว่าฮ่องเต้หมิงหยวนก็ไม่ได้ชดเชยอะไรกับเขา ถึงขนาดโดนว่ากล่าวตักเตือนไปชุดใหญ่ บอกว่าเขาทำงานไม่ได้เรื่อง คดีที่ง่ายแบบนี้ ก็ไม่สามารถตรวจสอบให้ชัดเจน ยังทำให้ตัวเองติดร่างแหไปด้วย
เรื่องคดีไปถึงหูของฮองเฮา ฮองเฮาคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ อู๋ซูฮั่วคนนั้นกินหัวใจหมีหรือดีเสือเข้าไปหรือไง? ถึงได้กล้าทำร้ายองค์ชายของราชวงศ์? อีกอย่าง และสนมซูนั้นล่วงเกินพระชายาฉู่จึงถูกประทานความตาย ฐานะของพระชายาฉู่สูงส่งขนาดนั้นเลยเหรอ? แค่ล่วงเกินนิดหน่อยถึงกับต้องตาย ยังมีคนที่คอยปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้อย่างหลี่กงกง……….
ฮองเฮาไม่กล้าถาม เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่ามีเงื่อนงำ ขอเพียงเรื่องที่ใช้ข้ออ้างเพื่อกลบความจริงล้วนเป็นเรื่องที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้ ฮองเฮานั้นรู้ข้อห้ามของราชวงศ์ดี ก็ไม่มีทางที่จะถามอยู่แล้ว เรื่องที่พูดไม่ได้ งั้นก็ให้ปล่อยให้มันเลือนหายไปดีกว่า
อาการบาดเจ็บขององค์ชายแปด เป็นไปในทางที่ดีขึ้น จนถึงตอนนี้ เป็นคำปลอบใจที่ดีที่สุด
หยวนชิงหลิงเฝ้าอยู่ข้างกายองค์ชายแปด
ฮ่องเต้หมิงหยวนรับสั่งให้อ๋องชินลุ่ยเข้าวัง กับเหลิ่งจิ้งเหยียนสามคนคุยกันที่ห้องทรงพระอักษรเป็นเวลานาน
กลางดึก มีราชโองการ ไปที่จวนอ๋องจี้ ใกล้ถึงวันคล้ายวันเกิดไทเฮา สั่งให้อ๋องจี้ไปที่วัดฮู่กว๋อไปขอพรเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถือศีลอด และสวดมนต์
ราชโองการนี้ ทำให้คนเดาจุดประสงค์ของฮ่องเต้ไม่ออก
เมื่อก่อนก็มีการขอพรก่อนวันคล้ายวันเกิดของไทเฮา เพียงแต่ เรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพระชายาของอ๋องหรือพระสนมเป็นคนไปทำ เวลาก็ไม่เกินสามวัน บัดนี้กลับให้อ๋องจี้ไป อีกทั้งยังเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม
มันทำให้คนอยากรู้
ก่อนที่เหลิ่งจิ้งเหยียนจะออกจากวัง ก็ไปที่ตำหนักฉินคุนเยี่ยมหยู่เหวินเห้า
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดถึงเรื่องการลงโทษของฮ่องเต้ สำหรับเรื่องก่อนหน้านั้น หยู่เหวินเห้าไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่ว่าให้อ๋องจี้ไปอธิษฐานขอพรที่วัดฮู่กว๋อ มันทำให้เขาค่อนข้างที่จะแปลกใจ
“เสด็จพ่อหมายความว่าอย่างไง? เรื่องนี้สืบถึงอ๋องจี๋แล้วเหรอ?” หยู่เหวินเห้าถาม
“ยังสืบไม่ถึง ทั้งหมดถูกหลี่กงกงรับไปหมดแล้ว ไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงอ๋องจี้เลยแม้แต่นิดเดียว อีกอย่าง หลี่กงกงก็ได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว” เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าว
หยู่เหวินเห้ากล่าว “แบบนี้มันก็แปลกแล้ว หากยังไม่ได้เชื่อมโยงถึงอ๋องจี้ การกระทำขอเสด็จพ่อก็ไม่ใช่การลงโทษ?”
“ไม่ใช่การลงโทษ?” เหลิ่งจิ้งเหยียนยิ้มๆ ใบหน้าที่เรียบเฉยมาโดยตลอดก็มีรอยยิ้มที่เย้ยหยันขึ้นมา “วัดฮู่กว๋อเป็นพระอารามหลวง เจ้าอาวาสฮุ่ยเต๋อคืออ๋องอู๋เฒ่า น้องชายร่วมสายเลือดของไท่ซ่างหวง กับเซียวเหยากงก็เป็นเพื่อนที่รู้ใจ เซียวเหยากงไม่ชอบอ๋องจี๋ เป็นที่รู้ๆกัน ฮ่องเต้ให้เขาไปที่วัดฮู่กว๋อ ไม่ใช่ลงโทษหรือคิดว่าเขานั้นมีใจใฝ่ธรรมะจริงๆเหรอ? ให้เขาไปฝึกจิตใจให้สงบ?”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “เจ้าพูดถูก แต่ว่าการทำเช่นนี้ก็ต้องมีเหตุผลนะ เรื่องนี้ดูภายนอกไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา เสด็จพ่อโกรธเขาเรื่องอะไร?”
“ไม่มีหลักฐาน ไม่ได้หมายความว่าฮ่องเต้จะไม่รู้อะไรเลย หลี่กงกงเป็นข้ารับใช้ต่อหน้าพระพักตร์ เขาเข้าข้างอ๋องคนไหน ในใจฮ่องเต้จะไม่รู้เลยเหรอ? โดยปกติพูดมาแค่หนึ่งประโยค ฮ่องเต้ก็สามารถฟังความหมายนั้นออก หลี่กงกงกับอ๋องจี้มีสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น เขามีเรือนอยู่ที่นอกวังหนึ่งหลัง พระชายาจี้เป็นคนมอบให้เขา ยังช่วยเขาซื้อข้ารับใช้ที่หน้าตาสะสวยไว้หลายคน เรื่องนี้รัดกุมมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าฮ่องเต้จะไม่รู้ ไม่เกิดเรื่อง ฮ่องเต้ยังพอทนได้ หากเกิดเรื่อง จะยอมง่ายๆแบบนี้ๆได้เหรอ?”
หยู่เหวินเห้าอดไม่ได้ที่จะเศร้าใจ “หากเสด็จพ่อรู้อยู่แก่ใจ รู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือพี่ใหญ่ น้องแปดเกือบตายเพราะเรื่องนี้ แต่กลับให้เขาไปถือศลีอดที่วัดฮู่กว๋อเป็นเวลาหนึ่งเดือน นี่จะนับเป็นการลงโทษได้อย่างไร?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าวปลอบ “ฮ่องเต้รู้ว่าต้องทำยังไง เจ้าก็อย่าไปคาดเดาให้มันมากนัก เป็นเจ้ากรมการพระนครของเจ้าดีๆก็พอ อยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เรื่องน้อยย่อมดีกว่าเรื่องเยอะ คนที่ยิ่งโอหัง ก็จะถูกฮ่องเต้สังเกตจับตาดูเป็นพิเศษ ที่เรียกว่าการปกครองประเทศต้องอยู่บนผลประโยชน์ของราษฎร”
หยู่เหวินเห้าพิจารณาคำพูดของเขาอย่างละเอียด ในเวลาอันสั้น ก็ไม่เข้าใจ เงยหน้ามองเขา “เจ้าพูดให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยได้มั้ย?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนอึ้งไปครู่หนึ่ง “เจ้าไม่มีความรู้เหรอ? ตัวเองทำความเข้าใจหน่อยก็พอแล้ว ยังต้องให้พูดชัดขนาดไหนเหรอ?”
“ไม่อยากเข้าใจ ข้าเจ็บก้น หยู่เหวินเห้าโมโห” เรื่องนี้ทำให้อารมณ์หงุดหงิดเป็นบ้า ยังจะให้ข้าทำความใจอะไรอีก? มีอะไรก็พูดมาตรงๆ
เหลิ่งจิ้งเหยียนขมวดคิ้ว ทำหน้ารังเกียจ ในฐานะที่เป็นจี้จิ่ว เขาคิดว่าตัวเองเพื่อที่จะสื่อสารกับท่านอ๋องที่เป็นนักบุ๊ ได้ลดระดับความรู้ของตัวเองลงมาอย่างมากแล้ว ถึงขั้นลดแล้วลดอีก ถึงขนาดไม่กล้าใช้คำพูดที่มันลึกซึ้งเพราะเกรงว่าหัวสมองลาอย่างเขาจะไม่เข้าใจ คิดไม่ถึงคำพูดนัยๆที่ง่ายๆแบบนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจ
เหลิ่งจิ้งเหยียน “เจ้าในฐานะเจ้ากรมการพระนคร ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยของเมืองหลวง ลงโทษผู้กระทำความผิด ดูแลความเป็นอยู่ของราษฎร ดูแลเมืองหลวงและบ้านเรือนประชาชน แบ่งที่นาตามสัดส่วนของจำนวนคนในครอบครัว ที่นาส่วนบุคคล ที่นาพระราชทาน เข้าถึงราษฎรอย่างแท้จริง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ก็จะมีเชื่อเสียงเอง มีชื่อเสียงด้านช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าใครจะคิดร้ายต่อเจ้า ฮ่องเต้ก็ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน นี่เป็นหลักประกันข้อหนึ่ง ข้อสอง…….ไม่พูดละ นี่ยังเป็นเรื่องที่ไม่มีความหมาย ยังไงเจ้าก็ไปพิจารณาเองละกัน ข้าไปก่อนละ”
เหลิ่งจิ้งเหยียนถือพัดเดินออกไป
หยู่เหวินเห้ามองตามแผ่นหลังของเขา นี่มันฤดูหนาว ยังจะพัดอะไรอีก?