บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 247 จงใจกลั่นแกล้ง
อ๋องฉีที่หน้าดำคร่ำเครียดแต่ก็มองฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนอย่างหลังเย็นวาบ ในมือฮูหยินใหญ่ถือไม้เท้าหัวเสือ โดยมีกองทหารหญิงอยู่ด้านหลัง ทุกคนล้วนถือหอกไว้ในมือ นี่คืออาวุธของตระกูลหยวน มันคือหอก ที่ใช้สู้รบสนามรบ
“ฮูหยินใหญ่ ท่านหมายความว่าอย่างไร? พาคนมาข่มขู่ข้าและมายุ่งเรื่องภายในครอบครัวของข้าเหรอ?” อ๋องฉีละอายใจ แต่ว่า จะเสียหน้าไม่ได้
ฮูหยินใหญ่พูดเพียงแค่ประโยคเดียว “ก็เห็นอยู่ว่ามาข่มขู่และมายุ่ง ไม่อย่างนั้นจะเอาอาวุธมาทำไม? อ๋องฉียังต้องถามอีกเหรอ?”
อ๋องฉีถลึงตาตกใจจนพูดไม่ออก
หากพูดถึงเรื่องวางอำนาจ ไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด กับผู้หญิงที่เคยผ่านสนามรบมาแล้ว เขาก็ไม่กล้าที่จะเบ่ง
“พวกเจ้า……..พวกเจ้าอย่าให้มันเกินไปนะ ทำไมต้องเข้าข้างหยวนหย่งอี้? นางไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตาเลย ข้าแค่ให้นางเรียนรู้เรื่องกฎระเบียบ ไม่ได้จงใจทำให้นางลำบากสักหน่อย” คำพูดของอ๋องฉี เห็นได้ชัดว่าขาดพลัง
มันทำให้ฉู่หมิงชุ่ยนั้นดูแย่
ถ้าพูดถึงฐานะแล้ว อ๋องฉีสามารถกดคนของตระกูลหยวนอยู่แล้ว
ต่อให้ตระกูลหยวนจะใจกล้ามาแค่ไหน ก็ไม่ได้กล้าที่จะมาทำร้ายอ๋องในจวนของอ๋องฉี คนตระกูลหยวนดูแล้วเหมือนปูดุร้าย อันที่จริงพวกเขานั้นเคารพกฎระเบียบมาก
เขากลับขี้ขลาดขึ้นมาจริงๆ
ฉู่หมิงชุ่ยเดินไปข้างหน้าอย่างเรียบเฉย ความโกลาหลเมื่อกี้ ทำให้ผมของนางยุ่งเหยิง แขนเสื้อถูกกระชากจนเป็นรอย แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังคงรักษามาดของพระชายาเอาไว้ แต่ก็ยังดูสังเวชอยู่ดี
“ฮูหยินใหญ่ ให้ชายารองหยวนเรียนรู้กฎระเบียบ เป็นความหมายของข้า ท่านมีปัญหาอะไรก็มาหาข้า ไม่เกี่ยวกับท่านอ๋อง อย่ามาทำให้ท่านอ๋องลำบากใจ”
ฮูหยินหยวนแม่ของหยวนหย่งอี้ก็กล่าวอย่างเรียบเฉย “พูดจาต่อจากคำพูดของพระชายาต้องระมัดระวังให้ดี หากไม่ระวัง ก็อาจจะได้รับโทษที่ทำให้ท่านอ๋องลำบากใจ ตระกูลหยวนนั้นคงรับไม่ไหว พระชายาฉี ตระกูลหยวนของเรารับไม่ไหวหรอก แต่ว่า ก็ไม่มีทางที่จะให้ลูกสาวของตระกูล ต้องถูกคนอื่นรังแกอยู่ข้างนอก”
อ๋องฉีขมวดคิ้วถาม “ใครรังแกนางเหรอ? ก็บอกว่าสอนกฎระเบียบ ก็เพราะหวังดีต่อนาง ”
“ไม่รบกวนอ๋องฉีและพระชายา คนของตระกูลหยวน เราสอนเองได้ ช่วยส่งมอบเสี่ยวอี้ออกมา พวกเราจะพานางกลับตระกูลหยวน ฮูหยินใหญ่กล่าว”
อ๋องฉีได้ยินว่าจะพาหยวนหย่งอี้กลับไป ก็ดีใจอย่างมาก รีบสั่งให้คนพาหยวนหย่งอี้ออกมา
หยวนหย่งอี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็แค่เมื่อกี้ตอนที่ต่อสู้กับทหารนั้นน่าสังเวชหน่อย เป็นเพราะนางไม่ทันระวังเลยถูกจับตัวเอาไว้ ช่างซวยจริงๆ
เห็นคนตั้งมากมายมาออกหน้าแทนนาง นางละอายใจมาก เพราะทหารเหล่านี้ของจวนอ๋องฉี นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนพวกเขา
“ไปช่วยคุณหนูเก็บของ พวกเราไป!” ฮูหยินใหญ่ออกคำสั่ง
หยวนหย่งอี้ส่ายหัว “ไม่ ท่านย่า ข้าไม่ไป”
เรื่องนี้ยังไม่ได้พูดกันให้ชัดเจน นางยังไปไม่ได้
“ไม่ไป?” ฮูหยินใหญ่ขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินว่าเจ้าใช้สองกระบวนท่าก็ทำอ๋องฉีกองอยู่ตรงพื้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่วีรบุรุษที่เก่งกล้าอย่างที่โสวฝู่ฉู่พูด”
หลานเขยคนนี้ ตอนนี้นางไม่พอใจอย่างมาก จะไปคิดบัญชีกับโสวฝู่ฉู่
วรยุทธ์ไม่สูงไม่เป็นไร แต่ต้องเป็นคนที่มีความเก่งความสามารถ เหมือนอย่างเช่นพระชายาฉู่ นางไม่รู้เรื่องวรยุทธ์ แต่ว่านางจิตใจดีมีเมตตารู้ทักษะการแพทย์ ก็สมควรแก่การเคารพนับถือ
อ๋องฉีสองสามีภรรยา ไม่มีความสามารถ ไม่มีคุณธรรม ไม่ใจกว้าง ไม่มีทั้งสามอย่างอย่างที่คนอื่นยกย่องเลย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อ๋องฉีนั้นรังแกคนเกินไป เรื่องในเรือนของผู้หญิงเขาเข้ามาแทรกและช่วยพระชายาฉี คนผู้นี้ช่างงี่เง่าน่าเบื่อไม่รู้เรื่อง ทำให้คนอื่นไม่รู้จะพูดยังไง
ฮูหยินใหญ่รู้ว่าหลานเขยคนนี้เลอะเลือน เดิมอยากจะพาหลานสาวกลับไป เพื่อสร้างความกดดันให้เขา ใครจะไปรู้ว่า ยัยหนูคนนี้กลับไม่ยอมไป
หยวนหย่งอี้เดินไปตรงหน้าของฉู่หมิงชุ่ย กล่าวอย่างเย็นชา “อยากจะไล่ข้าไป? ฝันไปเถอะ!”
ฉู่หมิงชุ่ยขมวดคิ้ว “ไม่มีใครอยากจะไล่เจ้าไป เพียงแต่อยากให้เจ้าเรียนรู้กฎ”
หยวนหย่งอี้ยิ้มเยาะ “เรียนรู้กฎ? เจ้านั้นแกล้งข้า วันนี้เจ้าบอกว่าข้าไม่เคารพเจ้า พูดจาเย้ยหยันเจ้า เจ้าพูดมา คำพูดคำไหนของข้าเยาะเย้ยเจ้า? คำพูดคำไหนที่ไม่เคารพเจ้า? เจ้าพูดมันออกมาได้เลย ข้าหยวนหย่งอี้จะคุกเข่าโขกหัวรับผิดต่อเจ้า”
ฉู่หมิงชุ่ยมองนาง กล่าวอย่างเรียบเฉย “เรื่องนี้มันได้ผ่านไปแล้ว ข้าไม่โทษเจ้า และไม่ต้องการให้เจ้าโขกหัวรับผิดกับข้า ต่อไปไม่ทำก็พอแล้ว”
“ชุ่ยเอ๋อ ไม่ควรที่จะอภัยง่ายๆแบบนี้” อ๋องฉีขมวดคิ้ว
หยวนหย่งอี้กวาดสายตาไปทันที เจ้าจะไปรู้อะไร? เจ้าอยู่ในเหตุการณ์เหรอ? เจ้ามันบัณฑิตไก่อ่อน เชื่อฟังโดยไม่พิจารณา โชคดีที่เจ้าไม่ได้เป็นรัชทายาท ไม่เช่นนั้น เป่ยถังคงจะถูกฝังอยู่ในความเลอะเลือนของเจ้า
“เจ้า………หยวนหย่งอี้ เจ้าช่างใจกล้านัก อ๋องฉีโมโหสุดขีด หยวนหย่งอี้คนนี้เขาไม่สามารถที่จะทนนางได้อีกแล้ว นิสัยไม่ดียังพอทน ตายก็ยังไม่ยอมรับผิด “แม้แต่กับข้า เจ้ายังกล้าพูดจาโอหัง สามารถจินตนาการว่าเจ้านั้นจะโอหังกับพระชายาแค่ไหน ยังไงเจ้าก็ยังไม่ยอมรับผิด ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ น่าขยะแขยงอย่างมาก”
“เจ้ามันช่างเลอะเลือน เลอะเลือนอย่างมาก” หยวนหย่งอี้ก็กระทืบเท้า “เจ้ากินยาพิษของนางเข้าไปเหรอ? อะไรก็เชื่อนางไปหมด วันนี้ข้าคำนับนางอย่างมีมารยาท สาวใช้ข้างกายข้าก็เห็น ทหารที่เดินตรวจยามอยู่ระเบียงก็เห็น เป็นนางที่จงใจแกล้งข้าก่อน ไม่พูดไม่จาก็จะให้ข้าคุกเข่าลง บอกว่าข้าหยาบกระด้างไร้มารยาท เดินชนนาง ฉู่หมิงชุ่ย เป็นคนต้องเปิดเผยจริงใจ ข้าหยวนหย่งอี้แม้จะหยาบกระด้าง แต่ว่าเป็นคนที่มีเหตุผล วันนี้ใช่เจ้าหรือเปล่าที่กลั่นแกล้งข้าก่อน? ใช่เจ้าหรือเปล่าที่ให้ข้าคุกเข่าให้เจ้า?”
ตระกูลหยวนที่พาผู้หญิงกลุ่มใหญ่มาช่วยข่มขู่ อันที่จริงก็เหมือนมารังแกคนอยู่นิดหน่อย อย่างไรเสีย เด็กของบ้านตัวเองตัวเองนั้นรู้ดีที่สุด นางเป็นคนที่หยาบกระด้างจริงๆ
แต่ว่า บัดนี้ได้ยินสิ่งที่นางพูด คำพูดของนางล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น
คนของตระกูลหยวน แต่ละคนยืดตัวตรง จ้องมองอ๋องฉีอย่างดุดัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถามทหารที่เฝ้ายามก็ได้แล้ว”
ระเบียงทางเดินมีทหารยามเดินผ่าน หยวนหย่งอี้มองเห็น ฉู่หมิงชุ่ยมองไม่เห็น เพราะระยะค่อนข้างห่าง คนที่ฝึกวรยุทธ์ หูตาว่องไว รอบข้างมีใครเดินผ่านบ้าง หยวนหย่งอี้นั้นมองเห็นชัดเจน
อ๋องฉีแม้จะผิดหวังกับการกระทำก่อนหน้านี้ของฉู่หมิงชุ่ย แต่ก็ยังคิดว่านางคงไม่จงใจแกล้งหยวนหย่งอี้ ก็สั่งการลงไป เรียกทหารยามที่เข้าเวรวันนี้มา สอบถามทหารยามที่เดินตรวจระเบียงทางเดินสามคน
“ทูลท่านอ๋อง ตอนที่ข้าน้อยสามคนเดินตรวจนั้น ได้เห็นชายารองหยวนคำนับทักทายพระชายาจริงๆ”
“คำนับอย่างจริงใจหรือเย้ยหยัน?” อ๋องฉีถาม
ทหารยามนิ่งไปครู่หนึ่ง “อันนี้ เย้ยหยันหรือไม่ ข้าน้อยฟังไม่ออก ข้าน้อยเห็นเพียงชายารองหยวนย่อตัวเคารพ แล้วพูดว่าคำนับพระชายา อันนี้นับว่าเย้ยหยันหรือไม่ แยกแยะไม่ออกจริงๆ”
คำตอบของทหารยาม ทำให้อ๋องฉีนั้นตกใจเล็กน้อย
คำนับพระชายาห้าตัวอักษรนี้ บวกกับท่าย่อตัว ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถจะกลายเป็นความเย้ยหยันไปได้
อย่างไรเสีย รองชายาเจอพระชายา มารยาทนี้ถือว่าเพียงพอแล้ว
เขามองดูฉู่หมิงชุ่ย “เป็นเช่นนี้?”
ฉู่หมิงชุ่ยกล่าวอย่างเรียบเฉย “ท่านอ๋องบอกว่าใช่ก็คือใช่มั้ง”
แววตาของนางมีความลำบากใจ ใบหน้าเหมือนไม่ยินดีที่จะแก้ตัว
“มีเงื่อนงำอะไรหรือไม่?” อ๋องฉีมองสีหน้าของนางออก
หยวนหย่งอี้กล่าวอย่างโมโห “เงื่อนงำ? มีสิ เงื่อนงำก็คือหลังจากที่ข้าทำความเคารพแล้ว นางก็พูดว่าท่าย่อตัวของข้าไม่ถูกต้อง ให้ข้าคุกเข่าลง แล้วบอกว่าจะให้ข้าฝึกกฎระเบียบ ข้าไม่ยอมอยู่แล้ว ท่าของข้าไม่ถูกต้องตรงไหน? นางรู้ว่าข้าเป็นคนใจร้อน จงใจแกล้งข้า ข้าทนไม่ได้ก็ต้องทะเลาะกับนาง ท่านอ๋องก็มา ไม่ถามต้นสายปลายเหตุ ก็บอกว่าข้าทำผิด ยังให้ทหารจับตัวข้าไว้พวกเจ้าสองคนต่างเป็นคนไม่ดี จงใจกลั่นแกล้งข้า”
หยวนหย่งอี้ด่าอย่างโมโห มีความลำบากใจที่พูดไม่ออก โดยเฉพาะคำพูดประโยคสุดท้าย แฝงไว้ด้วยเสียงร้องไห้
มันทำให้อ๋องฉีหวั่นไหว