บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 255 ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลังจากถามแม่นมสี่แล้ว หยู่เหวินเห้าก็กลับไปดึงแขนหยวนชิงหลิงออกไปเดินเล่นด้วยกันในสวน
เห็นได้ชัดว่าหยวนชิงหลิงยังคงอารมณ์ไม่ดี หยู่เหวินเห้าจูงมือนางเดิน นางกลับมีท่าทีเหมือนไม่ค่อยอยากเดินเท่าไหร่
“เหนื่อยมากรึ?” หยู่เหวินเห้าช่วยประคองนางไปนั่งในศาลา ลมค่อนข้างแรง เขาถอดเสื้อคลุมออกมาคลุมไหล่นางพลางกอดเอาไว้แน่น “อยากกลับไปพักหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า ดึงเขาให้นั่งลง จากนั้นจึงนำกล่องยาออกมาจากแขนเสื้อ กล่องยาขยายขนาดใหญ่ขึ้นทันที นางเปิดมันแล้วผลักไปให้หยู่เหวินเห้า “เจ้าดูนี่สิ”
หยู่เหวินเห้าโน้มตัวเข้ามามองดู “ดูอะไรรึ?”
เรื่องเหล่านี้ เขาเองก็แทบจะไม่รู้อะไรเลย แม้แต่ตัวอักษรที่อยู่บนกล่องยา เขาก็ยังอ่านได้เข้าใจน้อยมาก มันดูหงิก ๆ งอ ๆ เหมือนลำไส้ไก่สิ้นดี
หยวนชิงหลิงหยิบยาออกมาทีละกล่อง ๆ ยิ่งหยิบออกมาก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ นางจำแนกยาออกเป็นหลายชนิด จนสุดท้าย ตาของนางก็ไปจับจ้องอยู่ที่กล่องแว่น เมื่อหยิบกล่องแว่นขึ้นมา ก็พบว่ามีชั้นบรรจุข้าวของต่าง ๆ อยู่อีกชั้น แต่บรรดาของที่อยู่ในชั้นนี้กลับถูกล็อกอยู่
หยู่เหวินเห้าตกตะลึงจนตาค้างไปแล้ว
“เจ้า…. กล่องใบนี้ของเจ้าก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่เหตุใดจึงสามารถใส่ของไว้ได้มากมายถึงเพียงนี้ล่ะ?”
เมื่อหยวนชิงหลิงถูกเขาพูดเตือนสติ ถึงค่อยมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยยา ด้วยความประหลาดใจ ยาในกล่องนี้ถึงกับมีจำนวนมากจนวางได้เต็มโต๊ะเลยทีเดียว
นางก้มมองในกล่องยาของตัวเองอีกครั้ง พบว่ายังหยิบยาออกมาได้ไม่ถึงครึ่งกล่องเลยด้วยซ้ำ
นางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ปากก็บ่นพึมพำไปว่า “นี่มันบ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วจริงๆ!”
หยู่เหวินเห้ายื่นมือออกไปช่วยนางหยิบยาออกมา ยิ่งหยิบออกมาก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้าย ยังมีชั้นที่ใส่ของต่างๆ อยู่ข้างใต้อีกชั้นหนึ่งด้วย ” ทำไมถึงได้มีมีดด้วยล่ะ ? แล้วนี่อะไรกัน ? แหนบ ? คีม ?”
หยวนชิงหลิงโน้มตัวลงมองดู จู่ ๆ ก็มีอาการหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกขึ้นมาโดยพลัน นี่ยังมีแม้กระทั่งเครื่องมือผ่าตัดเลยด้วย!
ที่ข้างใต้กล่องมีของบางอย่าง ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ถูกปิดผนึกด้วยชั้นฟิล์มสีขาว นางไม่มีความกล้าจะไปฉีกฟิล์มสีขาวนั่นออกมาดู
หยู่เหวินเห้ามองนางด้วยสายตาตกตะลึง “เจ้าหยวน ดูท่าว่าเจ้าสมควรจะต้องตรวจสอบที่มาของกล่องยาใบนี้ ว่ามันมาจากไหนอย่างจริงจังได้แล้วนะ”
หยวนชิงหลิงพูดด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วมุ่น หันไปมองนาง “เจ้าคงไม่ได้ไปพบเข้ากับเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่หรืออะไรเทือก ๆ นั้นเข้าหรอกนะ? พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านเจ้าอาวาสวัดฮู่กว๋อ”
“อย่าเลย อ๋องจี้อยู่ที่วัดฮู่กว๋อ ของสิ่งนี้…ไม่ได้มีที่ไปที่มาที่ลึกลับอะไรหรอก” หยวนชิงหลิงพูดอย่างคลุมเครือ
หยู่เหวินเห้าพูดบ้างว่า “นี่ยังไม่นับว่ามีที่มาลึกลับอีกหรือ? ว่ากันโดยปกติแล้ว กล่องของเจ้ามันสามารถใส่ของได้มากมายถึงเพียงนี้เชียว?”
หยวนชิงหลิงกัดฟันพูดออกไปว่า: “แน่นอนว่าย่อมเป็นไปได้อยู่แล้ว เจ้าดูสิ มันไม่ใช่ว่าใส่เข้าไปได้หมดหรอกรึ บางครั้งดวงตาก็หลอกเราได้มากที่สุดนะ มันมักจะทำให้สมองของเราเกิดความสับสนได้ง่าย ไม่! ไม่! เป็นสมองของคนเราต่างหากที่ผิดพลาด เพราะสมองส่งข้อมูลผิด ทำให้เราเชื่อว่าสิ่งที่ดวงตาเรามองเห็นนั้นไม่ใช่ของจริง…..”
นางมองดูเขาอย่างจนใจ เอาเถอะ ถึงอย่างไรสุดท้ายนางก็ปิดเขาไม่ได้อยู่แล้ว
หยู่เหวินเห้า จ้องมองเข้าไปในดวงตาที่คอยหลบเลี่ยงของนาง “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่? แท้ที่จริงแล้วเจ้ารู้ที่มาของกล่องนี้ แล้วมันก็ไม่ใช่เป็นเพราะเหตุผลบ้าบอ ฟังไม่รู้ความที่เจ้าพูดมาตั้งแต่แรกนั่นด้วยใช่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ว่า: “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ สิ่งนี้อยู่นอกเหนือขอบเขตความเข้าใจของข้า แล้วข้าก็ไม่เคยได้เรียนเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนจริงๆ”
นางไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่ควบคุมกล่องยาใบนี้ ในยุคนี้ที่ไม่มีกระทั่งคอมพิวเตอร์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ใหญ่
นางยิ้มอย่างขมขื่น กล่องยาไม่สามารถเปลี่ยนขนาดเป็นใหญ่บ้าง เล็กบ้างเหมือนอย่างยอดมนุษย์ Ant-Man อีกต่อไปแล้ว มันยังถึงขั้นมีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเอง สามารถเติมยาเข้ามาได้ด้วยตัวเอง ที่สำคัญที่สุดคือ กล่องยาใบนี้มีจิตสำนึกที่เชื่อมต่อกับใครกันแน่? หรือมันเชื่อมต่อกับสมองของใครอยู่กันแน่?
ในฐานะที่นางเป็นผู้ที่ศึกษา ในเรื่องพัฒนาการทางสมองมาอย่างยาวนาน นางจึงงงงันกับสิ่งนี้ไม่หาย
หยู่เหวินเห้าตัดสินใจในที่สุดว่า “ไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปวัดฮู่กว๋อ”
หยวนชิงหลิงหันไปมองเขา คนที่แต่ไหนแต่ไรมา ก็มีความเชื่อมั่นหนักแน่นอย่างเขา กลับรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง จนต้องไปอธิษฐานขอพรกับพระกับเจ้า กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยเชียวรึ?
ทั้งสองคนช่วยกันบรรจุของกลับเข้าไปใหม่อย่างช้า ๆ และเจ้ากล่องยาใบเล็ก ๆ นั่น ก็กลืนทุกอย่างลงไปในท้องของมันเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็น ต่างก็ต้องรู้สึกเหลือเชื่อ
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า บางทีการเรียงลำดับอะตอมของกล่องยาอาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ก็ยังต้องมีการควบคุม แล้วใครกันล่ะ คือคนที่คอยควบคุมกล่องยาใบนี้อยู่?
คนที่ผุดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกคนแรกเลย ก็คือตัวนางเอง?
แต่นี่กลับทำให้นางตกใจมาก นี่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นนางจริงๆล่ะก็ นางแสนจะไม่อยากช่วยพระชายาจี้ มันจึงเป็นไปไม่ได้ ที่นางจะจัดยาออกมาจำนวนมากขนาดนี้จากจิตใต้สำนึกของตัวเอง
นอกจากนี้ ยาที่เคยปรากฏในกล่อง ตอนที่นางใช้ช่วยองค์ชายแปดก่อนหน้านี้ ภายหลังยาเหล่านั้นกลับไม่ปรากฏให้เห็นในกล่องยาอีกเลย
ดังนั้นนางจึงเชื่อว่า ไม่ใช่ตัวนางเองแน่ ๆ ที่เป็นคนควบคุมกล่องยา
ตอนนี้ นางอยากจะฝันให้ตัวเองได้กลับไปที่ห้องทดลองอีกสักครั้ง เพื่อจะได้ศึกษาว่าทำไมกล่องยาถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
แต่ช่วงนี้นางนอนหลับสบายมาก และไม่ฝันอะไรเลยทั้งสิ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาไปที่จวนอ๋องหวยกันก่อนครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงนั่งรถม้าไปวัดฮู่กว๋อ
“เมื่อคืน ข้าได้เอายาให้เจ้าดูแล้ว ยาบางชนิดในนั้น เป็นยาที่ใช้รักษาโรคของอ๋องหวย” หลังจากคิดพิจารณาอยู่นาน หยวนชิงหลิงก็อดใจไม่ได้จนต้องพูดออกมา
“อื้ม” หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “มียาตั้งมากมายขนาดนี้ คงเพียงพอให้เขาใช้แล้วกระมัง?”
หยวนชิงหลิงพูดอย่างคลุมเครือ: “ใช่ กระทั่งพระชายาจี้ก็ยังมีให้นางใช้จนพอเลยด้วยซ้ำ”
หยู่เหวินเห้ามองนางด้วยความประหลาดใจ “อะไรนะ?”
หยวนชิงมองเขาอย่างขลาดๆ “ข้ารับประกันได้ ข้าไม่ได้มีความตั้งใจที่จะรักษาอาการป่วยของนาง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ กล่องยาถึงได้มียามากมายขนาดนั้น”
“ไม่ว่าจะมีมากมายอีกสักเพียงใด ก็อย่าได้ไปรักษานางเป็นอันขาด นี่ไม่ใช่เพราะความคับแค้นใจส่วนตัวหรือด้วยเหตุผลอื่นใดทั้งสิ้น แต่เพราะเนื้อแท้นางเป็นดั่งงูพิษ วันไหนที่นางหายดีขึ้นมา นางต้องหาทางแว้งกัดเจ้าแน่นอน” หยู่เหวินเห้าพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ข้ารู้ดีว่านางเป็นคนแบบนี้ หากข้าไปรักษานาง ข้าอาจได้รับอันตรายก็เป็นได้”
นางไม่กล้าเสี่ยงจริงๆ จวนอ๋องจี้เป็นดั่งถ้ำเสือรังหมาป่า ไม่สามารถเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงได้ง่ายๆ
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ตอนนี้มียาเยอะขึ้นมากแล้ว เจ้าก็อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เข้าล่ะ อย่างไรก็ให้เจ้าหกเท่าที่เจ้าจะต้องให้ก็พอ ส่วนที่เหลือ ก็เก็บซ่อนเอาไว้ให้มิดชิดก่อนค่อยว่ากัน”
“เข้าใจแล้ว” หยวนชิงหลิงตอบรับเบาๆ
อันที่จริง นางเองรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างเล็กน้อย
ตอนที่ไม่มียา นางยังรู้สึกสบายใจกว่านี้
แต่เมื่อตอนนี้มียาแล้ว กลับดูเหมือนว่านางจะรู้สึกผิดมากขึ้นมาซะแล้ว
เดิมที นับเป็นเรื่องธรรมดามาก ที่นางจะไม่รักษาพระชายาจี้ มันเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และไม่มีใครมีสิทธิ์มาบังคับนางโดยการอ้างเรื่องทางศีลธรรมด้วย เพราะในความเป็นจริง พระชายาจี้เคยทำร้ายนาง ถึงขั้นที่เกือบจะฆ่านางได้สำเร็จอยู่แล้วด้วย แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือของอ๋องจี้ แต่พระชายาจี้จะสามารถสลัดพ้นจากข้อหาผู้สมรู้ร่วมคิดได้อย่างนั้นหรือ?
เดาได้เลยว่า นางเองก็คงรับประกันไม่ได้หรอก ว่านางจะไม่มีจิตคิดร้ายในขณะที่มาหานางที่จวน เพื่อจะขอยาไปรักษาโรคให้ตัวเอง
แต่ในฐานะหมอคนหนึ่ง ในใจของนางกลับรู้สึกไม่อาจก้าวผ่านมันไปได้ ราวกับมีแส้เส้นหนึ่งฟาดโบยเข้าที่กลางหัวใจของนางตลอดเวลา คอยย้ำเตือนให้นางเฝ้าดูชีวิตหนึ่งที่ค่อย ๆ จบสิ้นลงไปต่อหน้าต่อตาตัวเอง
นางสามารถช่วยได้ แต่นางเลือกที่จะไม่ช่วย
จิตด้านดีกับด้านร้ายตีจนวุ่นวายในสมองของนางไม่หยุด
พระชายาฉู่กับหยวนชิงหลิงคนเดิม กำลังทำสงครามจิตฝ่ายดี กับจิตฝ่ายร้ายกันอย่างดุเดือด
พระชายาฉู่ยังคงเกลี้ยกล่อมตัวเองว่า ตอนนี้นางไม่ใช่หมอฝ่ายปฏิบัติการรักษาจริง ๆ ต่อให้เป็นชีวิตในชาติที่แล้ว นางก็เป็นเพียงนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่หมอ แค่เรียนมาทางนี้ก็เท่านั้น
เมื่อหยู่เหวินเห้าเห็นว่านางหน้าม่อยคอตก คล้ายมีความหนักใจบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้ หยู่เหวินเห้าก็พูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าหยวน เรามาคุยเรื่องนี้กันหน่อยเถอะ”
“อะไรรึ?” หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจังอย่างยิ่ง
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าอย่าออกไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว ต่อให้เป็นการไปดูแลเจ้าหกก็อย่าได้ไปเป็นอันขาด ให้เจ้าหกย้ายมารักษาตัวที่จวนเราแทน” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเด็ดขาด