บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 260 ไม่ได้บอบบางอย่างที่ท่านพูดหรอก
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 260 ไม่ได้บอบบางอย่างที่ท่านพูดหรอก
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “เจ้าก็คิดเสียว่าใช่หน่อยสิ หากเจ้าเป็นข้า เจ้าจะช่วยพระชายาจี้หรือไม่?”
อาซี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “ช่วย!”
หยวนชิงหลิงประหลาดใจ “ทำไมล่ะ?”
อาซี่ยิ้ม “ถ้าพระชายาจี้ตายแล้ว ฉู่หมิงหยางก็จะได้เป็นพระชายาเอก หากเทียบกันกับพระชายาจี้แล้ว ข้ายิ่งไม่ชอบฉู่หมิงหยางมากกว่า”
“ข้าก็ไม่ชอบฉู่หมิงหยางเหมือนกัน แต่ฉู่หมิงหยางไม่เคยมาข่มขู่ คุกคามจะเอาชีวิตข้าโดยตรงแบบพระชายาจี้นะ”
ดังนั้นตัวเลือกนี้ คือเลือกมาจากความชอบไม่ชอบอย่างนั้นรึ?
“ถ้าวันหน้าฉู่หมิงหยางได้เป็นพระชายาจี้ นางก็จะทำแบบเดียวกับพระชายาจี้คนปัจจุบันแน่ ยิ่งไปกว่านั้น นางอาจทำอะไรได้ต่ำช้าไร้ยางอายยิ่งกว่า คนอย่างพระชายาจี้เป็นพวกร้ายลึก ชอบวางแผนการแยบยล แม้ว่าจะน่ากลัวเหมือนงูพิษ แต่ฉู่หมิงหยางนั่นก็เป็นเหมือนหมาในที่บ้าคลั่งตัวหนึ่ง เวลาหมาในกัด มันจะกัดให้ถึงตาย แต่งูพิษน่ะอย่างน้อยก็ยังพอจะแก้พิษได้อยู่นะ”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า อันที่จริงนางเองก็คิดถึงจุดนี้ด้วยจริงๆ พระชายาจี้นั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉู่หมิงหยางหรอก เพียงแต่ฉู่หมิงหยางจะตรงไปตรงมา และโหดร้ายบ้าคลั่งกว่าก็เท่านั้น
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่า ทำไมนางถึงอยากช่วยพระชายาจี้โดยไม่รู้ตัวก็ได้
ในเวลาเดียวกัน เมื่อคิดไปคิดมา ก็เหมือนจะมีเหตุผลอื่นอีกประการหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุผลที่หยวนชิงหลิงเองก็ไม่ค่อยเต็มใจอยากจะยอมรับนัก
เป็นคำพูดที่พระชายาจี้ได้มาพูดกับนางในวันนั้น
พระชายาจี้เอ่ยปากเองว่า นางสามารถช่วยให้เจ้าห้าเป็นองค์ชายรัชทายาทได้ นางไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพระชายาจี้ แต่ถ้าคนในปกครองของถงอัน พี่ชายของพระชายาจี้ไม่ค่อยสนับสนุนอ๋องจี้อีกต่อไป ก็เท่ากับตัดสิทธิ์ลิดรอนอำนาจของอ๋องจี้ไปได้มาก เรียกได้ว่าตัดแขนซ้ายไปข้างหนึ่งหรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
อำนาจของอ๋องจี้อ่อนแอลง บวกกับครั้งนี้ที่เขาถูกฮ่องเต้ลงโทษ แน่นอนว่าเขาต้องหลบซ่อนตัวเองไว้ ใช้ชีวิตแบบทำตัวให้ต่ำต้อย ก้มหัวลงให้ต่ำ คอยสะสมขุมพลังอย่างลับๆ ต้องใช้กระบวนการฟื้นฟูอีกนาน ทั้งยังต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่เทียบเท่ากับการสับเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่
“อาซี่ ถ้ายึดตามที่เจ้าพูด ฉู่หมิงหยางน่ารังเกียจกว่าหน่อย ทั้งยังดุร้ายบ้าคลั่งกว่าอีกหน่อยด้วย ถ้าพระชายาจี้ยังมีชีวิตอยู่ ก็อาจจะไม่ใช่คู่มือของนางก็ได้นะ?”
อาซี่ยิ้ม “ไม่ ท่านเป็นคน พระชายา มันง่ายที่หมาในจะกัดท่าน แต่หมาในมันไม่อาจกัดงูพิษได้ เพราะงูพิษจะสามารถแว้งกัดหมาในได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่า หากพระชายาสามารถควบคุมให้งูพิษมันไปกัดกับหมาใน สุดท้ายพวกนางก็จะสูญเสียพ่ายแพ้กันทั้งคู่ ผู้ชนะคนสุดท้ายจะเป็นใครได้นอกจากท่าน”
หยวนชิงหลิงหันไปมองอาซี่ที่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปอยู่ด้านมืดขึ้นมาแบบกะทันหัน นางยังเผลอคิดมาตลอดเลยว่า อาซี่เป็นพวกประมาทเลินเล่อเหมือนกับสวีอีซะอีก
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ อาซี่มีความมองอะไรได้ทะลุปรุโปร่งกว่าสวีอีมาก นางแค่ไม่มีประสบการณ์ในชีวิต จากการได้รับความรักใคร่ใส่ใจจากใครมาก่อนก็เท่านั้น
หยวนชิงหลิงไตร่ตรองคำพูดนั้นอีกครู่ “ดังนั้น ความหมายของเจ้าคือ สมควรจะต้องช่วยพระชายาจี้สินะ?”
“ท่านอ๋องไม่มีวันอนุญาตแน่” อาซี่พูดขึ้นมาในเวลาที่เหมาะเหม็งเลยทีเดียว
หยวนชิงหลิงพยักหน้าพลางถอนหายใจ: “ใช่ เขาขี้ขลาด ไม่กล้าไปมีเรื่องอะไรกับพวกนั้นหรอก”
อาซี่มองนาง อดพูดแก้ตัวให้ท่านอ๋องไม่ได้ “ย่าของข้าเคยเล่าว่า ท่านอ๋องเป็นนักรบผู้กล้าหาญของเป่ยถัง เขาไม่ได้ขี้ขลาด แต่เขาแค่กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน ข้ายังเคยได้ยินสวีอีพูดให้ฟังมาก่อนหน้านี้ว่า ท่านเคยต้องตกระกำลำบาก ระหว่างที่ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของพระชายาจี้ อีกทั้งท่านอ๋องเองก็ไม่อาจอยู่กับท่านได้ตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยของท่าน เขาก็แค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดไว้ก่อนก็เท่านั้น”
หยวนชิงหลิงยิ้มพลางพูดว่า: “ข้ารู้ ข้าเองก็ไม่ได้จะติติงอะไรเขา แค่จะบอกว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกลี้ยกล่อมให้เขายอมให้ข้าช่วยพระชายาจี้”
“แต่ท่านไม่ควรไปโดยปิดบังท่านอ๋อง” อาซี่รีบชิงเตือนก่อน
หยวนชิงหลิงพูดว่า: “ข้าจะไม่ปิดบังเขาหรอก”
แค่ต้องใคร่ครวญให้ดีก่อน ว่าจะโน้มน้าวใจเขาอย่างไร
หยู่เหวินเห้าไปคุยกับเจ้าอาวาส ลองถามหยั่งเชิงไปว่า: “จริงสิ วันนี้พระชายามาพบท่าน นางก็มีท่าทางตื่นตระหนกไม่น้อยตอนกลับไป นางบอกว่าท่านเล่าเรื่องผีให้นางฟังกระนั้นรึ?”
เจ้าอาวาสยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องที่เล่ามานั้น ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องผีเรื่องหนึ่งจริงๆ”
นักบวชย่อมไม่มุสา หยู่เหวินเห้าเชื่อเขา
“พระชายามีเรื่องกังวลบางอย่างในใจ ท่านอ๋องรู้หรือไม่?” เจ้าอาวาสถาม
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “ท่านมหา ดวงตาท่านช่างรู้แจ้งในทุกสิ่ง ที่จริงแล้ว ข้าเองก็คิดว่านางมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ปิดบังข้าไว้”
“เรื่องที่พระชายามาคุยให้อาตมาฟังวันนี้ ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจาก การรักษาอาการป่วยให้พระชายาจี้” เจ้าอาวาสกล่าวขึ้น
“ในประเด็นนี้ พวกเรามีความเห็นตรงกันว่า เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่จะรักษาพระชายาจี้ ท่านมหา ตอนนี้พี่ใหญ่มาอยู่ที่นี่ เขาเป็นคนแบบไหน ย่อมไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นตัวตนจากพระโพธิสัตว์ไปได้ นั่นคือหมาป่าที่แท้จริง หมาป่าจะสำนึกในบุญคุณของคนที่ช่วยเหลือรึ? ไม่เลย! คนที่ช่วยชีวิตเขา สุดท้ายก็จะถูกเขากลืนลงไปเป็นอาหารอันโอชะเช่นกัน”
เจ้าอาวาสยิ้ม “ท่านอ๋อง ความกังวลใจของท่านใช่ว่าจะไม่สมเหตุสมผล แต่หากท่านไล่ต้อนหมานั้นเข้าไปในตรอกจนเข้าตาจน หมาก็จะต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเฉพาะหมาป่าเท่านั้นก็ยังได้”
“ไม่ใช่ข้าเป็นคนไล่ต้อนพวกเขาเข้าไปสักหน่อย” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างไม่พอใจ
เจ้าอาวาสกล่าวว่า “ไม่ผิด หาใช่ท่านไม่ แต่นางรู้ว่าพระชายามีวิธีที่จะช่วยนางได้ หากพระชายาเฝ้าดูอย่างนิ่งดูดาย หมาป่าชั่วร้ายตัวนี้จะไม่กัดนางเข้าสักคำเชียวหรือ?”
“หากว่าตามที่ท่านพูด ช่วยนางก็โดนกัด ไม่ช่วยก็โดนกัด แล้วจะสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงช่วยนางไปทำไมกันล่ะ? ก็แค่ฆ่าไปตรง ๆ เสียก็สิ้นเรื่อง”
การพูดคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้า ช่างเป็นอะไรที่ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย เหล่านักบวชนี้ล้วนมีจิตใจเมตตากรุณากันทั้งสิ้น
เจ้าอาวาสหยิบกระดานหมากรุกออกมา วางหมากบนกระดาน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ชีวิตนี้เปรียบเสมือนการเล่นหมากรุก ย่อมต้องเจอคู่ต่อสู้รุกไล่เป็นธรรมดา แต่หากกลัวแพ้แล้วไม่คิดสู้ เกมนี้จะไม่น่าเบื่อหรอกหรือ?”
หยู่เหวินเห้าตั้งใจแน่วแน่ “ข้าเข้าใจความหมายที่ท่านมหา ต้องการจะสื่อ แต่ข้าจะไม่ยอมเสี่ยงเด็ดขาด”
เจ้าอาวาสมองมาที่เขาและพูดอย่างมีนัยว่า “อ๋องจี้มาอยู่ที่นี่ก็หลายวันแล้ว ทางพระชายาจี้ไม่เคยสั่งให้ใครส่งค่าใช้จ่ายมาให้เขาเลย”
“หืม แล้วมันอย่างไรล่ะ?” หยู่เหวินเห้าช่วยวางหมากลงบนกระดาน
“ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับท่านอ๋อง ไม่ใช่พระชายาจี้ แต่เป็นอ๋องจี้”
หยู่เหวินเห้ายิ้ม “พระชายาจี้ก็ไม่ใช่คนดีมีเมตตาอะไรเช่นกัน”
“ชีวิตของนางอยู่ในมือของพระชายา ยิ่งไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้ง่ายขึ้นเท่านั้น หากใช้งานอย่างเหมาะสมเป็น นั่นจะกลายเป็นกำแพงที่ช่วยกีดขวางอุปสรรคให้ ใครที่คิดจะมาหาเรื่องพระชายา ย่อมต้องผ่านด่านนางไปก่อน”
หยู่เหวินเห้าถึงกับร้อง เอ๋ ขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ท่านมหา ทำไมคำพูดของท่านถึงฟังดูผิดแปลกเช่นนี้นะ? คำพูดนี้ของท่านไม่มีจิตเมตตาแม้แต่น้อยไม่เหมาะกับวิสัยยามปกติของท่านเลย”
เจ้าอาวาสถอนหายใจ “มีทางใดอีกหรือไม่ล่ะ? ผู้ที่มีความสามารถ ไม่ออกไปต่อสู้แย่งชิง ผู้ไร้ความสามารถ กลับต่อสู้กันจนเลือดตกยางออก อาตมาทำงาน คิดวางแผนการต่าง ๆ ก็ล้วนเพื่อประเทศชาติ นี่ก็คือความหมายของเซียวเหยากงเช่นกัน และเซียวเหยากง ก็คือความต้องการของเสด็จปู่ของท่านเช่นกัน”
หยู่เหวินเห้าฟังจนตกตะลึงไปแล้ว “เป็นความต้องการของเสด็จปู่? นั่นมันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เสด็จปู่คือผู้ที่ไม่ชอบดูพี่น้องเรา ต้องมาทะเลาะห้ำหั่นกันเองเป็นที่สุดแล้ว”
“แค่เขาไม่ชอบ พวกท่านทุกคนก็จะหยุดทะเลาะกันเช่นนั้นรึ?” เจ้าอาวาสหัวเราะ “จะทะเลาะก็ดี จะปรองดองกันก็ดี ย่อมไม่สำคัญไปกว่าเหล่าพสกนิกรในใต้หล้า”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองไปที่เจ้าอาวาส ขมวดคิ้วช้า ๆ และเริ่มครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง “ท่านเจ้าอาวาส ความหมายของท่านคือ ท่านต้องการจะบอกข้าตรง ๆ ว่าเสด็จปู่ตั้งใจจะให้ข้าเป็นรัชทายาท?”
เจ้าอาวาสถอนหายใจ “แต่แสงจากพระจันทร์ จะส่องสว่างบนคูน้ำได้นานสักเพียงไรกันหนอ!”
หยู่เหวินเห้าโบกมือ “อย่าพูดสิ่งเหล่านี้เพื่อจะกระตุ้นข้าหน่อยเลย นี่ไม่ใช่เรื่องของพระจันทร์กับคูน้ำอะไรทั้งสิ้น ข้าไม่ใช่คนที่ไม่มีความทะเยอทะยาน แต่เวลานี้มันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่สุดต่างหาก”
“ท่านกังวลว่าพระชายาจะถูกดึงเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง อาตมาเข้าใจดี แต่พระชายาไม่ได้บอบบางอย่างที่ท่านคิดหรอกนะ ท่านประเมินนางต่ำเกินไปแล้ว”
หยู่เหวินเห้ายกมือขึ้นเพื่อเล่นหมากรุก “ไม่ว่านางจะทรหดอดทนได้อีกสักแค่ไหน ข้าก็จะต้องปกป้องนาง ต้องสร้างกำแพงกั้นชั้นแล้วชั้นเล่าให้นางอย่างดี ด้วยวิธีนี้ ไม่ต้องพูดว่ามีคนจะทำร้าย แม้แต่จะเข้าใกล้นางก็ไม่ได้ทั้งนั้น!”
เจ้าอาวาสหัวเราะพลางส่ายหน้า เดินหมากไปเงียบๆไม่พูดอะไรอีก
หยู่เหวินเห้าบีบตัวหมากรุกแน่น ทว่าในใจจริง ๆ แล้ว เขาเองก็ยังลังเลไม่แน่ใจ ไม่ได้รู้สึกหนักแน่นมั่นคงอย่างที่พูดออกไปเมื่อครู่สักเท่าไหร่
สิ่งที่ทำให้ใจเขาเกิดความสั่นไหว คือคำพูดของท่านเจ้าอาวาสประโยคนั้น ที่ว่าพระชายาจี้ไม่ใช่คนดี แต่ถ้าจับนางไว้ในกำมือได้จริงๆ นางจะเป็นกำแพงชั้นดีที่ช่วยกันอุปสรรคได้มาก
การเอาแต่หลีกเลี่ยงหมาบ้าที่ใกล้ตายตัวหนึ่งอยู่ตลอด ไม่สู้ยื่นมือออกไปอนุเคราะห์มันมาช่วยเฝ้าประตูให้จะไม่ดีกว่าหรอกหรือ?
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องหาเชือกสักเส้นหนึ่ง มาพันรอบคอนางให้แน่นหนาเสียหน่อย
“รอพรุ่งนี้ตอนที่ท่านอ๋องจะกลับ ท่านอาจจะไปเยี่ยมชมวัดเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างภูเขาด้านหลังด้วยก็ได้นะ” เจ้าอาวาสกล่าว