บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 271 ขับไล่หมันเอ่อ
ตอนที่ 271 ขับไล่หมันเอ่อ
โสวฝู่ฉู่รู้สึกว่าตัวเองกำลังได้รับเคราะห์อย่างหนัก จึงสั่งให้คนนำสุรามาแล้วนั่งดื่มกับเซียวเหยากงบนเตียงอรหันต์
“เจ้าห้า เด็กคนนี้นี่ขี้งกไปหน่อยนะ” เซียวเหยากงหัวเราะออกมา “เจ้าอย่าได้ไปใส่ใจเลย”
โสวฝู่ฉู่กล่าวขึ้นมาอย่างเฉยชา: “ขี้งก?เกรงว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น แต่เป็นเพราะกลัวภริยาเสียมากกว่า”
เซียวเหยากงหัวเราะออกมาแล้วยกจอกสุราขึ้นมาชนกับเขา “คำพูดของเจ้าข้าไม่คัดค้านเลย เพราะว่าเป็นเช่นนั้นจริง เพื่อสตรีเพียงคนเดียวเขาถึงกับใจร้อนจนไม่เกรงกลัวว่าจะมีความบาดหมางกับเจ้าเลย”
โสวฝู่ฉู่ถลึงตาใส่เขา “เขาเป็นถึงราชวงศ์ บาดหมางกับข้าแล้วจะเป็นอันใด ?เขาจะขัดแย้งกับข้าไม่ได้เลยหรือ?คนอื่นพูดก็เพียงเท่านั้น แต่เจ้ากับข้าเป็นอะไรกัน ?แล้วเจ้ายังจะกล่าวเช่นนี้อีก ข้าไม่น่าให้เจ้าได้ดื่มสุราชั้นเลิศของข้าเลย”
กล่าวจบ เขาก็เอื้อมมือออกไปแย่ง
เซียวเหยากงปัดมือเขาออก พร้อมกับทำปากขมุบขมิบ “พอเลยๆ ตอนนี้ขี้เหนียวขึ้นมาแล้วหรือไร?ว่าให้คำสองคำก็ฟังไม่ได้แล้ว หลายปีมานี้ตระกูลฉู่ของเจ้ายังเรืองอำนาจไม่เพียงพออีกงั้นหรือ?เจ้าควรจะดูแลคนใต้อำนาจเจ้าด้วย ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้าหาญมาจากไหน ?ถึงได้ทะเยอทะยานถึงเพียงนี้ เป็นเพียงแค่หญิงสาวแต่กล้าตะคอกใส่เจ้าอ๋องให้เขาอภิเษกด้วยให้ได้”
เขาตบหน้าตัวเองเบา “ยางอายล่ะ? ยังมีอยู่ไหม? ข้ายังตระหนกแทนเจ้าเลย”
โสวฝู่ฉู่ตอบกลับอย่างเฉยชา: “จัดการ?ไม่มีเวลาเข้าไปยุ่งนักหรอก กิจข้าเยอะนักเจ้าเองก็ทราบดี เรื่องในจวนได้มอบให้พี่ใหญ่เป็นผู้ดูแล เพราะเขาเป็นคนนิสัยค่อนข้างเรียบง่าย เอาเถอะ เอาเถอะ ถ้าหากถึงคราวหมดลมหายใจ ก็นับว่าหมดบุญวาสนาต่อกันแล้ว ตัวข้าตอนนี้ก็พอจะได้กลิ่นโลงศพแล้ว จะให้ไปยุ่มย่ามอะไรกับพวกเขานักหนา ?ถึงคราวต้องตายก็ละทิ้งเสีย จะได้ไม่ต้องทุกข์ใจ!”
“เกรงเพียงว่าเจ้าจะไม่ได้ตายอย่างสงบ ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องขุดเจ้าออกมาจากหลุมศพ” เซียวเหยากงพูดไปพลันหยิบเมล็ดถั่วปรุงรสขึ้นมากิน
โสวฝู่ฉู่สะบัดมือ “ไม่พูดเรื่องเช่นนี้แล้ว เจ้าว่าอ๋องฉู่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าพูดไปแล้วว่าขี้งก!” เซียวเหยากงครุ่นคิด “ทั้งยังต้องฝึกฝนอีกสักหน่อย ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำวันนี้กล้าอาละวาดเช่นนี้ นับว่าไม่ไว้หน้าเจ้าเลย”
โสวฝู่ฉู่ตอบกลับ : “ข้าเพียงรู้สึกว่าเขามีความใจกล้าเท่านั้น เจ้าว่าวันนี้เขาบ้าบิ่นเกินไปหรือไม่?ก็ต้องมีบ้าง ในช่วงวัยหนุ่มมีผู้ใดบ้างที่ไม่ประมาท ?รอให้ได้เรียนรู้ให้มากกว่านี้ ได้ฝึกฝนมากกว่านี้ ก็จะเข้าใจที่จะรู้จักเก็บคมดาบไปเองโดยธรรมชาติ เมื่อนึกถึงในตอนนั้นที่พวกเราติดตามไท่ซ่างหวง พวกเราเองก็มีความบ้าบิ่นอย่างเด็กหนุ่มเช่นนี้เหมือนกัน และยังคงมุทะลุมาจนถึงวันนี้ไม่ใช่หรือ?”
เซียวเหยากงยิ้ม “ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว นอกจากเจ้ายังไม่ถือสาว่าความ ทั้งยังชื่นชอบในตัวเขาอีก?”
“เป็นเพียงการวิเคราะห์ ไม่ใช่ความชื่นชอบใดๆ” โสวฝู่ฉู่ดื่มสุราเข้าไปพลางตวัดลิ้น “สุรานี้นับว่าเป็นสุราชั้นเลิศ ข้าจึงได้เก็บบ่มมันเอาไว้เสียนานกว่าจะนำออกมาดื่ม ถ้าหากเมื่อก่อนรีบนำออกมาดื่มก็คงจะไม่ได้รสชาติเช่นนี้ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
“อย่ามากลบเกลื่อนกับข้า มีอะไรก็พูดกล่าวออกมา เจ้าชื่นชอบก็คือชื่นชอบ พูดตามตรงไท่ซ่างหวงเองก็โปรดปรานในตัวเขาเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีความคิดเช่นเดียวกับเจ้าคือต้องฝึกฝนให้มาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝ่าบาทนั้นจะคิดอย่างไรเท่านั้น” เซียวเหยากงกล่าวขึ้น
โสวฝู่ฉู่ไม่ตอบกลับใดๆ
“เจ้ารู้งั้นหรือ?” แววตาของเซียวเหยากงประกายออกมา “บอกให้ข้าฟังหน่อยสิ”
โสวฝู่ฉู่ส่ายหน้า “ไม่รู้หรอก หลายปีมานี้ข้าไม่ได้ไปทดสอบแลกเปลี่ยนความคิดกับฝ่าบาทแล้ว”
“ไม่ได้ทดสอบ แต่ใจของเจ้าก็รู้ดี” เซียวเหยากงพยายามคะยั้นคะยอ
โสวฝู่ฉู่วางจอกสุราลง แล้วกล่าวอย่างจริงจัง : “ในใจของฝ่าบาทชื่นชอบผู้ใด ตัวข้านั้นไม่รู้หรอก แต่สำหรับเขาแล้วส่วนมากจะว่าตามไท่ซ่างหวง ถ้าหากจะบอกถึงความคิดส่วนตัวของเขานั้น ข้าเดาว่าไม่ก็บุตรคนโต หรือไม่ก็บุตรที่ถูกธรรมเนียม”
“คนโตไร้คุณธรรม ลูกเมียหลวงกลับไร้ความสามารถ” เซียวเหยากงกล่าว
“ฝ่าบาทรู้ดี” โสวฝู่ฉู่หมุนจอกสุราแล้วกล่าวอย่างมีนายแฝง: “เขากำลังมอบโอกาสสุดท้ายให้กับอ๋องจี้ ถ้าหากอ๋องจี้ไม่รู้จักไขว่คว้ามันเอาไว้ เขาจะต้องเสียใจ”
“อ๋องจี้พิฆาตพี่น้อง หลักฐานก็เป็นข้าเองที่เป็นคนถวายขึ้นไป ถ้าหากฝ่าบาทยังพิจารณาในตัวอ๋องจี้ เช่นนั้นก็น่าผิดหวังเกินไปแล้ว” เซียวเหยากงหันไปมองเขา “เจ้าบอกว่าฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่ตัวเจ้านั้นไม่อาจรู้ได้ ?นี่ก็เห็นชัดแล้วไม่ใช่หรือ?แม้แต่เขาคิดจะมอบโอกาสสุดท้ายแก่อ๋องจี้เจ้ายังรู้เลย”
โสวฝู่ฉู่ดื่มสุราลงไป ฉายแววตาที่เย็นยะเยือก “นั่นคือโอกาสแห่งความเป็นความตาย”
เซียวเหยากงตกใจ พลางหายใจอย่างเข้าด้วยความตะลึง
จะดำเนินหัวข้อนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
หลังจากที่เซียวเหยากงจากไป โสวฝู่ฉู่ก็ได้สั่งให้นำตัวหมันเอ่อไปทรมานยังโรงฟืน แล้วทำการสอบปากคำอย่างเข้มงวด จนได้รู้ว่าหมันเอ่อเป็นคนหนานเจียง และเคยเป็นวณิพกผู้ตกอับอยู่ในเมืองหลวง แต่เพราะมีตัวตนเป็นคนหนานเจียงจึงถูกผู้คนขับไสไล่ส่ง ส่วนฉู่หมิงหยางที่มีนิสัยเจ้าเล่ห์โหดร้าย เพียงเพราะเห็นว่านางเป็นคนมีความสามารถ
และด้วยความที่คนหนานเจียงเป็นคนมีความกตัญญูต่อบุญคุณ ในเมื่อคุณหนูรองแห่งตระกูลฉู่เก็บนางมาเลี้ยงไว้ จึงต้องตอบแทนบุญคุณนั้นด้วยความภักดี
โสวฝู่ฉู่ที่รู้ว่าแผนการที่เกิดขึ้นที่ที่ทำการปกครองเมืองหลวงไม่ใช่ฝีมือของนาง จึงได้ทำการตีนางก่อนจะขับไล่ออกจากตระกูลฉู่ไป
หลังจากที่หมันเอ่อเก็บสัมภาระเรียบร้อยก็ได้เข้าไปหาฉู่หมิงหยางเพื่อบอกลา
ฉู่หมิงหยางถูกโบยจนนอนติดอยู่บนเตียงไม่อาจลุกขึ้นได้ และเมื่อได้ยินว่านางถูกขับไล่จึงรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียในเมื่อเจ้าจะต้องออกไป ข้าอยากจะขอให้เจ้าช่วยข้าอีกสักเรื่อง”
“คุณหนูรองโปรดพูด” หมันเอ่อตอบ
“เจ้าเป็นคนหนานเจียง เจ้ามีความรู้เรื่องพิษกู่ ฉะนั้นจงไปสังหารหยวนชิงหลิงซะ” ฉู่หมิงหยางกัดฟันพูด
หมันเอ่อตกใจ “เรื่อง……สังหารผู้อื่น ข้าน้อยไม่สามารถทำได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าทำไม่ได้?” ฉู่หมิงหยางจ้องนาง
“ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว แต่จะให้ข้าสังหารคนที่ไม่ได้มีความแค้นด้วยได้อย่างไรเจ้าคะ ?ข้าน้อยไม่ได้มีความคับข้องใจกับพระชายาฉู่เจ้าค่ะ” หมันเอ่อตอบกลับ
ฉู่หมิงหยางถึงกับตะคอกด่าออกมา “เจ้ามันคนไร้ประโยชน์ ให้เจ้าทำสิ่งใดเจ้าก็เอาแต่หาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงตลอด ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจ้าถอดหน้ากากออก คนจากกรมการพระนครคงจะตรวจหามาถึงที่นี่ไม่ได้ ข้ายังไม่ได้ต่อว่าเจ้าเลยที่ทำให้เรื่องดีๆ ของข้าต้องพังทลายไป”
หมันเอ่อกล่าวตอบ : “คุณหนูรองเจ้าคะ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องถอดหน้ากากเลย ที่ข้าน้อยปลอมตัวเป็นฝู่ฉู่ก็เพื่อที่จะให้พวกเราเข้าไปได้อย่างราบรื่น ในเมื่อแผนการพังทลายลง ข้าน้อยก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปลอมตัวอีก”
นางชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองฉู่หมิงหยาง “อีกทั้ง คุณหนูรองเจ้าเองก็โกหกข้าน้อย ที่จริงแล้วอ๋องฉู่ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ กับคุณหนูรองเลยแม้แต่น้อย”
ฉู่หมิงหยางอับอายจนกลายเป็นความโกรธ “เจ้ายังกล้าพูดอีกหรือ?ตอนแรกเป็นเจ้าเองที่มั่นอกมั่นใจว่าหยู่เหวินเห้าจะไม่มีทางจำความได้ พอถึงตอนนั้นข้าพูดสิ่งใดก็จะเชื่อฟัง แต่เพราะเหตุใดเขาถึงจำความขึ้นมาได้เล่า?ที่จริงความสามารถของเจ้าก็ไม่เก่งกาจอะไรถ้าวันนั้นข้าไม่ได้พบเจ้าแสดงฝีมือ มีหรือที่ข้าจะยอมเปลืองข้าวสุกรับคนหนานเจียงชั้นล่างอย่างเจ้ามาเลี้ยงไว้ ทั้งล้าหลังราวกับขอทานก็ไม่ปาน พวกเจ้าคนหนานเจียงไม่มีอะไรดีเลยสักคน ไสหัวออกไป ไปหาข้าวของเจ้าไป”
ตอนนี้หมันเอ่อราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางใจ หลังจากที่ตัดสินใจก้าวเท้าเข้ามาในจวนตระกูลฉู่ ก็พยายามให้การปรนนิบัติอย่างเต็มที่ ถึงจะมีแต่คนบอกว่าคุณหนูรองมักจะทำร้ายเหล่าสาวใช้ แต่ตัวเองก็คิดว่านางเป็นเพียงคนมีนิสัยใจร้อน ที่จริงแล้วนางเป็นคนมีจิตใจดี ไม่เช่นนั้นจะรับนางมาเลี้ยงไว้ได้อย่างไร?
แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ใจของนางถึงกับเย็นเยือกอยู่นาน พอคิดถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำไปเปรียบเทียบกับบุญคุณของเขาที่รับเลี้ยงตนไว้นั้น ตนเองก็ได้ตอบแทนเพียงพอมากแล้ว
นางไม่พูดกล่าวสิ่งใดต่อพลางพยุงร่างกายที่บาดเจ็บเดินจากไป
นางที่ถูกขับไล่ออกมา นอกจากตัวเองก็ไม่มีสิ่งใดเลย ไร้ซึ่งหนทางที่จะไป พลางเดินอย่างว่างเปล่า และเมื่อนึกถึงคำพูดของฉู่หมิงหยาง นางก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาอย่างมาก
นางเป็นคนหนานเจียง เหตุใดคนในเมืองหลวงถึงต่างคิดว่าคนหนานเจียงไม่ใช่คนดีกัน?
แต่พอนึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำเพื่อคุณหนูรองแล้ว ก็ไม่ต่างกับสิ่งที่คนชั่วทำกันเลย ทั้งที่จริงแล้วในวันนั้นที่ที่ทำการกรมปกครองเมืองหลวงก็รู้แล้วว่าอ๋องฉู่ไม่ได้มีความชื่นชอบในตัวฉู่หมิงหยางเลย ทั้งหมดเป็นเพียงความคิดของฉู่หมิงหยางเพียงฝ่ายเดียว
แต่นางก็ยังยินยอมที่จะช่วยเหลือ จนกระทั่งวันนี้ที่จวนนางก็ยังพยายามที่จะสั่นกระดิ่งเพื่อสะกดจิตอ๋องฉู่เพื่อช่วยเหลือคุณหนูรองอีกครั้ง
ไม่แปลกเลยที่นางจะไม่ชอบคนหนานเจียง แม้แต่ตัวนางเองยังรู้สึกถึงความอัปยศอดสู
นางกอดถุงสัมภาระแล้วนั่งลงยังเนินบนถนนพลางร้องไห้ออกมา
ขอทานหนุ่มขาพิการเดินเข้ามาแล้วกล่าวอย่างเฉยชา : “เจ้าไปร้องไห้ที่อื่นเถอะ เจ้านั่งบนบ้านของข้าแล้ว”