บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 274 ช่องว่างในใจของพระชายาจี้
ตอนที่ 274 ช่องว่างในใจของพระชายาจี้
สวีอีจ้องอะซี่ “แปลกคนเสียจริง ก็เคยเห็นหน้ามาก่อนมันหน้าไม่อายตรงไหนเล่า?”
“ก็เป็นเพราะว่าเห็นว่าคนเขาหน้าตาไม่เลวถึงได้พูดว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนไงเล่า คนมักมากตัณหาแบบเจ้าข้าเจอมามากพอแล้ว” อะซี่หันตัวจะเดินจากไป
สวีอีถึงกับตะลึงงัน พลางดึงตัวอะซี่ผลักเข้าไปตรงกำแพง พร้อมกับพาดมืออีกข้างไว้กับกำแพงให้อะซี่อยู่ภายใต้ร่างอันทรงพลังของตัวเอง แล้วพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง : “เจ้าพูดมาให้ชัดเจน ใครเป็นคนมักมากตัณหากัน?”
อะซี่ตกใจจนฟาดมือออกไปผลักหน้าเขาอย่างรวดเร็ว “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ฝ่ามือของนางฟาดออกไปทำให้นิ้วมือเข้าไปจิ้มตาของสวีอีทันที สวีอีที่เห็นดังนั้นจึงรีบยกมือขึ้นมาปัดออก อะซี่ขยับมือเข้าไปตบตี ท้ายที่สุดทั้งสองคนก็ต่อสู้กันขึ้นมาเสียอย่างนั้น
สวีอีคำราม “เจ้าช่างไร้เหตุผลเสียจริง อย่าคิดว่าข้าจะกลัวตระกูลหยวนของเจ้า ทุกครั้งที่เจ้าเอาแต่บอกว่าข้าไม่เอาไหน ข้ายังไม่ได้สะสางกับเจ้าเลย ตอนนี้ยังจะมาบอกว่าข้าเป็นคนมักมากตัณหาแล้วยังจิ้มตาข้าอีก”
อะซี่ตอกกลับด้วยความโกรธ: “ข้าแค่เพียงหยอกเจ้าเล่นเท่านั้น คนสมองนิ่มอย่างเจ้าไม่เข้าใจหรือไร ?”
“ข้าไม่สมองนิ่ม”
“เจ้าไม่สมองนิ่มแล้วจะเป็นใครอีกเล่า?” อะซี่ยึดอกเดินไปข้างหน้าแล้วพูดด้วยความโมโห
สวีอีที่เห็นว่านางกำลังจะอาละวาด จึงยกมือขึ้นแล้วผลักนาง “เจ้าไสหัว……”
สมองของอะซี่ระเบิดตุ้มออกมา นางก้มลงมองบริเวณที่มือของเขากำลังสัมผัสอยู่ ใบหน้าของนางก็แดงก่ำขึ้นมาทันที ก่อนจะคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล “สวีอี เจ้ามันคนวิปลาส กล้าดียังไงถึงได้มาลวนลามข้า?”
นางสะดุ้งโหยงพลางฟาดฝ่ามือลงไปบนหน้าสวีอีทันที
สวีอีถึงกับต้องกุมหน้าที่โดนตบ ก่อนจะค่อยๆ ดึงมือกลับมาแล้วมองดูฝ่ามือตัวเองด้วยความตกใจ จากนั้นก็มองไปยังหน้าอกของนางด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นหวาดกลัว “สวรรค์ เจ้าคือผู้หญิง”
“นี่เจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้หญิงงั้นหรือ?” อะซี่ตะคอกด้วยความเดือด
สวีอีถึงกับหดคอลงด้วยความน้อยใจเล็กน้อย “เจ้าเอาแต่ทำตัวกร่างๆ ใครจะคิดว่าเจ้าเป็นผู้หญิงกันเล่า?”
“เจ้ารนหาที่ตายซะแล้ว!” อะซี่เหวี่ยงหมัดออกไป ทางด้านสวีอีที่รู้สึกถึงความผิดปกติจึงสะบัดก้นหนีเอาชีวิตออกไปทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้สวีอีลืมแผ่นหลังที่คุ้นตานั้นไปโดยปริยาย
วันถัดมาแม่นมสี่และอะซี่ก็ยังคงออกไปรับสมัครคนดังเดิม แต่เป็นอย่างที่แม่นมสี่ได้กล่าวไว้ การจะหาหญิงสาวที่รู้วิชาการต่อสู้ทั้งยังต้องผ่านการปราบมือกับอะซี่อีก ไม่สามารถที่จะหาได้เลย
ถ้าหากจะหาสาวใช้ไว้สำหรับปรนนิบัติในเรื่องทั่วไป เช่นนั้นไม่จำเป็นที่ต้องหาจากด้านนอก เพราะจะดีกว่าถ้าให้แม่นมสี่เข้าวังไปทูลขอจากไท่ซ่างหวงแล้วเลือกเอานางในที่รู้กฎระเบียบมาสักสองสามคน
จากนั้นแม่นมสี่ก็มาให้ความสำคัญกับการสอนหมันเอ่อให้นางสามารถไปดูแลปรนนิบัติพระชายาได้ในเร็ววัน
แม่นมสี่กล่าว: “ถึงจะบอกว่าเจ้าเคยอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลฉู่มาก่อน แต่ว่าตระกูลฉู่ก็มีกฎระเบียบของตัวเอง จวนอ๋องฉู่ก็มีกฎระเบียบของจวนอ๋องฉู่ ซึ่งมันไม่ ……”
หมันเอ่อขัดคำพูดของแม่นมสี่พลางลูกตาแทบถลนออกมา “เจ้าพูดว่าอะไรนะเจ้าคะ?ที่นี่คือจวนอ๋องฉู่หรือเจ้าคะ?”
แม่นมสี่มองนางอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้หรอกหรือ?มีเขียนอยู่ในใบสัญญา”
“ข้า……” หมันเอ่อหน้าซีดเผือด “ข้าไม่รู้หนังสือ”
แม่นมสี่สังเกตนาง “มีปัญหางั้นหรือ?จวนอ๋องฉู่เป็นอะไรหรือ?”
หมันเอ่อที่นึกถึงความยากลำบากกว่าจะมีคนรับตนเองไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะจับพลับจับพลูเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องฉู่ได้ เห้อ หากรู้แต่แรกว่าที่นี่คือจวนอ๋องฉู่นางก็ไม่มีทางมาหรอก นางเคยปราบมือกับอ๋องฉู่ แน่นอนว่าอ๋องฉู่
จะต้องจำนางได้เป็นแน่ และอ๋องฉู่คงไม่มีทางปล่อยนางไว้เช่นกัน
“หมันเอ่อ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” แม่นมสี่มองนางอย่างสงสัย
หมันเอ่อส่ายหน้า “ไม่ๆ เจ้าค่ะข้าเพียงเกรงว่ากฎระเบียบของจวนอ๋องฉู่จะเคร่งครัด จนข้าอาจทำผิดพลาดได้เท่านั้น”
“เช่นนั้นข้าจึงต้องฝึกกฎระเบียบให้แก่เจ้า เจ้าเพียงจำเอาไว้ก็พอแล้ว” แม่นมสี่กล่าว
หมันเอ่อตอบเข้าใจอย่างเหม่อลอย
ในทุกๆ วันพระชายาจี้จะเดินทางมาที่จวนพร้อมกับร่างกายที่กำลังป่วยหนัก โดยที่หยวนชิงหลิงก็จะให้การรักษานางหลังจากนั้นหยวนชิงหลิงจึงจะเดินทางไปยังจวนอ๋องหวย
กระทั่งหลายวันมานี้นางไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังจวนอ๋องหวยอีก เพียงแค่ตั้งใจรักษาอาการป่วยของพระชายาจี้ก็เพียงพอแล้ว
ส่วนทางด้านหยู่เหวินเห้า ตอนนี้คดีก็ได้รับการตัดสินเรียบร้อยแล้ว ในส่วนของเมืองถิงเจียงได้มีการลงโทษเหล่าข้าราชการ โดยมีการตัดหัวไปสามคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือโม่เหวินญาติผู้น้องของพระชายาจี้
ดังนั้นในช่วงนี้ที่พระชายาจี้เดินทางมายังจวนก็มักจะมีอาการสั่นกลัวอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่มารับการรักษาได้หลายวันพระชายาจี้มักจะไม่พูดอะไรมากมายเลย นอกจากถามไถ่เรื่องอาการป่วยเท่านั้น
ส่วนหยวนชิงหลิงเองก็ไม่ได้พูดคุยอะไรอย่างอื่นเลยเช่นกัน หลังจากที่เจาะเข็มให้ยาก็จะกลับไปพักผ่อนทันที รอจนยาที่ให้หยดลงมาจนหมดถึงจะกลับมา การสนทนาของทั้งสองนอกจากไถ่ถามอาการป่วยแล้วก็ไม่ได้มีการพูดคุยกันเลย
แต่วันนี้ หลังจากที่เจาะเข็มให้ยาเสร็จ พระชายาจี้กลับยื้อหยวนชิงหลิงเอาไว้: “ขอข้าพูดคุยกับเจ้าหน่อยได้หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างจากนางออกไป “รู้สึกไม่สบายตรงไหนงั้นหรือ?”
“เปล่าหรอก!” พระชายาจี้สวมผ้าปิดปากเอาไว้สองชั้นจึงทำให้เวลาพูดมีน้ำเสียงที่อู้อี้เล็กน้อย “อาการป่วยกำลังไปในทางที่ดี ดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก”
“เช่นนั้นมีสิ่งใดที่อยากกล่าวงั้นหรือ?” หยวนชิงหลิงถาม
พระชายาจี้แหงนหน้ามองแม่นมสี่และอะซี่ “ให้พวกนางออกไปได้หรือไม่?”
“พระชายาจี้เจ้ามีสิ่งใดก็พูดมาเถอะเจ้าค่ะ” แม่นมสี่กล่าวแย้ง
พระชายาจี้ยิ้มฝืด “กลัวว่าข้าจะทำร้ายนางงั้นหรือ?ตอนนี้ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นหรอก ชีวิตของข้าอยู่ในกำมือนางแล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าเพียงแค่ต้องการคุยกับใครบางคนเท่านั้น”
หยวนชิงหลิงหันไปพยักหน้ากับแม่นมสี่และอะซี่ ส่งสัญญาณให้พวกนางออกไป
อย่างไรเสียวันนี้ก็ไม่ได้มีธุระอะไร เช่นนั้นก็พูดคุยเป็นเพื่อนนางเสียหน่อยแล้วกัน
หลังจากที่แม่นมสี่และอะซี่เดินออกไป พระชายาจี้พลันถอนหายใจออกมาแล้วมองไปยังนาง “วันนั้นที่เจ้าบอกว่ายาของข้ามีปัญหา ข้าได้ไปทำการตรวจสอบแล้ว เป็นเพราะตำรายาสมุนไพรที่ข้าใช้และยาที่หมอหลวงมอบให้นั้นมีความขัดแย้งกันในตัวยา จึงทำให้อาการป่วยของข้าที่นอกจากจะไม่มีความทุเลาลงเลยกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก”
“อืม ตรวจสอบออกมาได้ก็ดีแล้ว” หยวนชิงหลิงตอบ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดมอบยาสมุนไพรนั้นแก่ข้า?” พระชายาจี้ถาม
“อ๋องจี้?” หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมอง
พระชายาจี้ยิ้มอย่างเศร้าสร้อยออกมา “เจ้ารู้ได้ทันทีว่าเป็นเขาโดยที่ไม่ต้องคิดเลยหรือ?”
หยวนชิงหลิงไม่พูดไม่กล่าวสิ่งใด เพราะมันไม่จำเป็นต้องคิดเลย คนที่สามารถทำให้พระชายาจี้ที่มักจะคิดเยอะยอมรับตำรายาสมุนไพรได้ ไม่มีทางเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไหนส่งมอบให้แน่นอน
พระชายาจี้พูดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ตอนที่ข้ามีอายุเพียงสิบหกปีก็อภิเษกกับเขา หลังจากที่เข้าจวน ในใจและสายตาของข้าก็มีเพียงเขาเท่านั้น ยามที่ได้รู้ถึงความทะเยอทะยานที่เขามี ข้าก็จะคอยวางแผนเพื่อเขา ยามที่ได้รู้ถึงความชื่นชอบของเขา ข้าก็จะจัดหามาให้เขา ไม่ว่าจะเป็นใจหรือเงินทองข้าก็ไม่เคยตระหนี่เลยสักนิด สิบกว่าปีมานี้ตระกูลของข้าได้มอบเงินให้เขาไปมากกว่าหลายหมื่นตำลึงเงิน เพื่อแลกมาซึ่งอำนาจและเส้นสายของเขาในทุกวันนี้”
“เขามีความทะเยอทะยาน แล้วเจ้าไม่มีหรือ?แทนที่เจ้าจะเติมเต็มให้เขาสมบูรณ์แบบ สู้เจ้าไปลงทุนอย่างอื่นเสียจะไม่ดีกว่าหรือ?” หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างเฉยเมย
“ทะเยอทะยาน?ลงทุน?” พระชายาจี้หัวเราะขึ้นมา รอยย่นตีนกาของนางปรากฏขึ้นมาราวกับหญิงสาวอายุราวสี่สิบกว่าปี ทั้งที่ความจริงแล้วนางยังอายุไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ
“เจ้าสาววัยสิบหกปี ในใจเต็มไปด้วยความกังวลและความปีติยินดี เมื่อมองดูเจ้าบ่าวของตัวเอง ในหัวก็จะเพ้อฝันเห็นแต่วันเวลาที่แสนงดงาม ได้คอยปรนนิบัติเขา ได้กำเนิดบุตรแก่เขา ได้แก่ชราไปพร้อมๆ กับเขา และนั่นก็คือความทะเยอทะยานในใจของข้า แต่สิ่งที่ข้าได้พยายามมอบให้ไปกลับค่อยๆ มองไม่เห็นถึงสิ่งตอบแทน และแล้วความพยายามของข้าก็กลายเป็นเพียงความคุ้นเคยสำหรับเขา เขาเคยชินกับการสูบเลือดเนื้อของข้า คุ้นเคยกับความทุ่มเทที่ข้ามอบให้ ข้ามองไม่เห็นความกตัญญูแม้แต่น้อยในสายตาของเขาเลย ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิด สิ่งที่ข้าเห็นมีเพียงการคำนวณ การเปรียบเทียบ ความเย็นชา และความรักจอมปลอมที่เขาพยายามสร้างมันขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ายังจะต้องทำยอมอยู่อย่างใจเย็นต่อไปได้อีกงั้นหรือ?ข้าพยายามปลอบประโลมตัวเองว่าข้าจะต้องมีความทะเยอทะยาน ข้าจะต้องมีข้อแม้ ข้าจะต้องเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต ถึงจะเติมเต็มความพยายามหลายปีมานี้ที่ข้าได้ทำลงไป”