บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 276 ร้องขอต่อแม่นมสี่
หลังจากอดอาหารมาสามวัน ทนหิวมาสามวัน นางที่นอกจากดื่มน้ำแล้ว ก็ไม่กินอะไรเลย
ตลอดชีวิตนี้นางไม่เคยลองดิ้นรนเช่นนี้เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการมาก่อน
แม้ในตอนที่หยู่เหวินเห้าจะผูกนางไว้กับเสาบ้านอย่างแน่นหนาจนนางแทบจะขาดอากาศหายใจ หรือในตอนที่นางได้รับโทษสามสิบไม้โบย ความรักที่มีต่อเขากลับไม่น้อยลงเลยทั้งยังเพิ่มพูนมากขึ้นอีกต่างหาก
เพราะว่าในตอนที่เขาโมโหนั้นทำให้ชีวิตของนางตกอยู่ในความเสี่ยง แต่นั่นทำให้นางรู้สึกราวกับได้เห็นตัวเองในเวลาที่ตนนั้นจับแส้ฟาดเหล่าสาวใช้ นางจึงคิดว่าแท้จริงแล้วพวกเขาก็มีนิสัยเช่นเดียวกัน
ฮูหยินใหญ่ฉู่นั่งลงข้างเตียง พูดทั้งน้ำตา : “เหตุใดเจ้าถึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้?หยู่เหวินเห้าคนนั้นมีอะไรดีนักหนา?เจ้าถึงได้อยากอภิเษกกับเขาเพื่อยั่วโมโหเสด็จปู่ของเจ้าด้วย อภิเษกกับอ๋องจี้ไม่ดีกว่าหรือไร ?พระชายาจี้ดูเป็นคนอายุสั้น เจ้าอภิเษกเข้าไปไม่นานคงได้ขึ้นเป็นพระชายา เหตุใดถึงอยากไปทนรับความโกรธของอ๋องฉู่นั่นด้วยเล่า ?ตอนนี้หยวนชิงหลิงก็ตั้งครรภ์แล้ว และหากให้กำเนิดเป็นบุตรชาย เช่นนั้นตำแหน่งของนางก็จะยิ่งแข็งแกร่งดุจขุนเขา เจ้าไปทำร้ายไม่ได้หรอก”
สามวันมานี้ ทั้งเกลี้ยกล่อมก็แล้ว ทั้งด่าทอก็แล้ว แต่ยังไงก็ไม่เข้าหูนางเลย และนั่นยิ่งทำให้ฮูหยินใหญ่ฉู่ยิ่งเจ็บใจมากขึ้น
โดยเฉพาะในตอนที่ได้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล ถึงจะโกรธแต่ก็ยังรู้สึกสงสารจับใจ
ฉู่หมิงหยางนอนอยู่อย่างไร้ชีวิตชีวา ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
ฮูหยินใหญ่ฉู่หันไปมองคุณหนูใหญ่อย่างฉู่หมิงชุ่ยที่นั่งอยู่ไม่ไกล “เจ้ามาเกลี้ยกล่อมน้องสาวเจ้าหน่อยเถอะ อย่าเอาแต่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น”
ที่จริงฉู่หมิงชุ่ยไม่คิดที่จะกลับมาที่นี่อีกแล้ว ถ้าหากไม่ใช่ว่าเพราะว่าเจ้าแม่ให้คนไปส่งจดหมายแก่นางถึงสามครั้ง นางก็ไม่มีทางที่จะเข้ามาเหยียบในห้องของฉู่หมิงหยางแม้แต่ครึ่งก้าวเด็ดขาด
เมื่อได้ยินเจ้าแม่พูดเช่นนี้นางได้แต่ตอบกลับอย่างเฉยเมย : “ข้าจะเกลี้ยกล่อมอะไรได้เล่าเจ้าคะ?หลายวันมานี้เจ้าก็พูดไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?นางฟังหรือ นางไม่ฟัง แล้วพูดไปจะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ?”
“งั้นเจ้าก็ไปซะ” ฉู่หมิงหยางพึมพำออกมา เสียงแม้จะไม่ได้ดังมากนัก แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
ฉู่หมิงชุ่ยมองไปยังนางแล้วตอกกลับนางด้วยความเรียบเฉย: “ข้าก็ไม่ได้อยากกลับมานักหรอก หากไม่ใช่ว่าเห็นแก่เจ้าแม่ เจ้าคิดหรือว่าตอนนี้ข้าจะสนใจ ?เจ้าเองก็พอจะรู้จักตนเองดี แล้วเหตุใดเขาถึงต้องอภิเษกกับเจ้า?เหตุใดเขาจะต้องชอบเจ้า?เพราะว่าเจ้ายอมอดอาหารด้วยความไร้ยางอายหรือ?ข้าว่าเจ้าควรจะตัดใจเสีย ตอนนี้อ๋องจี้ยังไม่ทราบเรื่องนี้ จงเร่งจัดการเรื่องอภิเษกให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นหากข่าวแพร่ออกไปแล้วแม้แต่อ๋องจี้เองก็จะไม่เอาเจ้าด้วยเช่นกัน”
“หุบปาก แล้วไสหัวออกไปซะ!” ฉู่หมิงหยางเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยความบูดบึ้ง
ฉู่หมิงชุ่ยลุกขึ้นยืนแล้วมองด้วยสายตาที่เย้ยหยัน “ข้าไปแน่ แต่ข้าจะบอกกับเจ้าเอาไว้ ถึงต่อให้เจ้าจะอดตายอยู่บนเตียงนี้ เสด็จปู่ก็ไม่มีทางให้เจ้าอภิเษกเข้าไปอยู่จวนอ๋องฉู่หรอก แม่นมสี่ได้เข้ามาพบเสด็จปู่แล้วและยังบอกอีกว่าลูกสาวแห่งตระกูลฉู่ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปเหยียบจวนอ๋องฉู่เด็ดขาด ซึ่งนี่ก็เป็นคำมั่นที่เสด็จปู่มอบให้แก่แม่นมสี่ แต่ทว่าเจ้ายังมีโอกาส เจ้าลองไปวิงวอนต่อแม่นมสี่สิ เพียงนางพูดคำเดียว เสด็จปู่จะต้องยินยอมแน่นอน”
ฉู่หมิงชุ่ยกล่าวจบก็หันหลังจากไปด้วยความเย็นชาทันที
ฉู่หมิงหยางประหลาดใจพลางหันไปถามฮูหยินใหญ่ฉู่ : “เจ้าแม่ ที่นางพูดเป็นเรื่องจริงหรือ?เสด็จปู่ให้คำมั่นแก่แม่นมสี่คนนั้นหรือ?”
ฮูหยินใหญ่ฉู่โมโหขึ้นมา: “ใครจะรู้กัน?แต่ว่าแม่นมสี่คนนั้นเคยมาพบเสด็จปู่ของเจ้าจริง หลังจากที่นางเข้ามา เสด็จปู่ของเจ้าก็ยอมประนีประนอมไม่พูดถึงเรื่องอภิเษกของเจ้าและอ๋องฉู่อีกเลย แต่กลับวางตัวเป็นอ๋องจี้แทน เรื่องนี้เจ้าไม่รู้หรอกหรือ ?”
ฉู่หมิงหยางตอบอย่างเย็นชา: “ข้าคิดว่าที่เสด็จปู่ให้ข้าอภิเษกกับอ๋องจี้ เพราะเขาต้องการที่จะค้ำชูอ๋องจี้”
ฮูหยินใหญ่จู่ตอบกลับ : “ความคิดของเสด็จปู่ของเจ้า ใครก็ไม่อาจรับรู้ได้ แต่ต่อให้เขาจะไม่ช่วยอ๋องจี้ อ๋องจี้ก็มีความหวังที่มากกว่า เหตุใดเจ้าถึงได้อยากจะอภิเษกกับหยู่เหวินเห้าด้วย ?”
ฉู่หมิงหยางคร่ำครวญออกมาอย่างเศร้าสร้อย “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ยิ่งเขาปฏิเสธข้า ข้าก็ยิ่งอยากที่จะอภิเษกกับเขา ข้ารู้ว่าตัวเองเอาแต่ใจยิ่งนัก แต่ข้าอยากอภิเษกกับเขา เดิมทีข้าคิดว่าตัวเองตัดใจจากเขาแล้ว แต่วันนั้นที่ได้จุมพิตกับเขา ข้าก็รู้ได้ทันทีเลยว่าทั้งชีวิตนี้ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถเข้ามาอยู่ในใจของข้านอกจากเขาแล้ว เจ้าแม่ เจ้าช่วยข้าหน่อยเถอะ ลูกขอร้องเจ้าค่ะ”
หลายวันมานี้ฉู่หมิงหยางแสดงความแข็งกร้าวอยู่ตลอด แต่ตอนนี้นางกลับเผยให้เห็นถึงความอ่อนแอของตัวเองออกมา จึงทำให้ฮูหยินใหญ่ฉู่ไม่รู้จะทำเช่นไรดี “แม่จะไปทำสิ่งใดได้เล่า?ต่อให้แม่ไปคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าเสด็จปู่ของเจ้า เขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดได้หรอก”
“เจ้าไปร้องขอแม่นมสี่คนนั้น จะให้เงินก็ได้ หรือจะต้องข่มขู่ก็ได้ ขอเพียงนางมาพูดกับเสด็จปู่ เช่นนั้นความต้องการของข้าก็จะสำเร็จแล้ว”ฉู่หมิงหยางร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร “เจ้าแม่ เจ้าไม่ควรที่จะมามองดูข้าตายไปแบบนี้ เจ้าต้องช่วยข้า”
ฮูหยินใหญ่ฉู่ตอบกลับ “เจ้าย่าของเจ้าเคยกล่าวเอาไว้ว่าแม่นมสี่คนนั้นห้ามไปยุ่งด้วยเด็ดขาด”
“ก็แค่ขี้ข้าคนเดียว มีดีอะไรนักหนา?” ฉู่หมิงหยางกล่าวด้วยความโกรธเกลียด “เพื่อขี้ข้าเพียงคนเดียวเสด็จปู่ถึงกับยอมทำลายความสุขทั้งชีวิตของข้า เช่นนี้เจ้ายังทนได้อีกหรือ ?เจ้าไม่เห็นใจลูกบ้างเลยหรือ?”
ฮูหยินใหญ่ฉู่กล่าวปลอบใจ : “ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าทานอะไรเสียหน่อย แล้วข้าจะไปหานาง”
“ไม่ เจ้าไปหานางก่อน ไปมาแล้ว ข้าจะทานทันที” ฉู่หมิงหยางกล่าวพลางน้ำตาซึม
ฮูหยินใหญ่ฉู่รู้สึกลำบากใจอย่างมาก
เพราะแม่มสี่เป็นคนของวังหลวง เคยถวายการปรนนิบัติแก่ไท่ซ่างหวง ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนกับเจ้าพ่อตาอีก การไปเจอตัวนางจะเหมาะสมหรือ?
จะให้ข่มขู่นางนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่การมอบเงินซื้อตัวนาง ให้นางมาพูดคงจะไม่ยากเกินไปหรอกมั้ง ?
แม่นมสี่ที่ได้รับหนังสือเชิญจากฮูหยินใหญ่ฉู่ รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ฮูหยินใหญ่ฉู่นัดเชิญให้ไปพบที่ร้านอาหารใจกลางเมืองหลวงเพื่อดื่มชา โดยที่ไม่ได้แจ้งว่ามีเรื่องอะไรเพิ่มเติม เพียงแต่บอกให้นางเตรียมตัวออกไปพบเท่านั้น
แม่นมสี่จึงได้แจ้งเรื่องนี้ให้แก่หยวนชิงหลิงฟัง
หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจได้ในทันทีแล้วพลางยิ้มขึ้นมาทันที : “คงจะเป็นเพราะมาขอร้องเจ้าเรื่องของฉู่หมองหยาง”
แม่นมสี่ถึงกับคิ้วขมวด “งั้นข้าไม่ไปดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!” หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“พวกเราไม่จำเป็นต้องไปสู้รบครั้งนี้ เจ้าอ๋องไม่มีทางอภิเษกกับฉู่หมิงหยาง” แม่นมสี่กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “พระชายาเจ้าอย่าได้กังวลเรื่องนี้เลย”
“สำหรับอ๋องฉู่ข้านั้นวางใจ แต่สำหรับตระกูลฉู่ข้ายังไม่มั่นใจ ข้าอยากรู้ว่าพวกนางคิดอย่างไร ในเมื่อฮูหยินใหญ่ฉู่ สามารถมาหาเจ้าได้แน่นอนว่ามีเรื่องที่อยากพูดด้วย” หยวนชิงหลิงตอบกลับ
แม่นมสี่ที่รู้สึกว่าที่นางพูดนั้นมีเหตุผล “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ไปพบเสียหน่อยจะเป็นไรไป”
“เจ้าพาอะซี่ตามไปด้วยเถอะ อย่างไรเสียการระมัดระวังตัวก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ตระกูลฉู่……” หยวนชิงหลิงชะงักเพื่อพิจารณาคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง “นอกจากโสวฝู่ฉู่แล้ว ข้ารู้สึกว่าคนอื่นมักจะทำเรื่องที่ค่อนข้างไร้ความยุติธรรม”
แม่นมสี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสบายใจอย่างมาก “ใช่แล้ว ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่มีความเข้าใจผู้คน”
หยวนชิงหลิงยิ้ม ที่จริงแล้วแม่นมสี่ยังคงมีหัวใจของเด็กสาวอยู่ในตัว และชอบฟังคนอื่นพูดชื่นชมชายผู้เป็นที่รักของตน
แต่ก็อดที่จะสงสารพวกเขาไม่ได้ ถ้าหากว่าฮูหยินใหญ่ของตระกูลฉู่คือแม่นมสี่ เรื่องราวในตอนนี้ของตระกูลฉู่คงจะถูกเขียนใหม่
จากนั้นแม่นมสี่ก็พาอะซี่ออกไปข้างนอก
อะซี่ที่ได้ยินว่าเป็นคนจากตระกูลฉู่ก็รู้สึกไม่พึงพอใจยิ่งนัก แต่ทว่าในเมื่อเป็นคำสั่งของพระชายา นางจึงยอมติดตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเดินทางมาถึงหอน้ำชาหย่าย่วน อะซี่ก็เริ่มเตรียมใจสำหรับรับมือทันที เพราะว่าด้านนอกมีชายฉกรรจ์หลายคนยืนเฝ้าอยู่ ซึ่งดูแล้วพวกเขาล้วนดูมีวิชาการต่อสู้ทั้งนั้น แต่ว่าแค่ออกมาพบแม่นมสี่เหตุใดต้องพาคนมาเยอะถึงเพียงนี้?
เมื่อเข้าไปในห้อง ผ้าม่านประตูก็ถูกยกขึ้น โดยมีฮูหยินใหญ่ฉู่ที่ลุกขึ้นยืนให้การต้อนรับ “แม่นม ขอบคุณที่มาพบ ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”
แม่นมสี่โน้มตัว “ถวายบังคมฮูหยินใหญ่ฉู่”
ฮูหยินใหญ่ฉู่เดินเข้าไปหาพลางกุมมือของนางแล้วพูดด้วยความอ่อนโยน : “แม่นมไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง รีบนั่งเถอะ”