บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 278 ไม่รีบฉีกหน้าทันที
แม่นมสี่โกรธหนักจนริมฝีปากสั่น แล้วพูดออกมาด้วยความโมโห : “ตระกูลฉู่เหตุใดถึงได้มีคนเช่นเจ้า?นี่เจ้าเรียกว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้งั้นหรือ?ข้าใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ยังไม่เคยพบเคยเห็นคนอย่างตระกูลเจ้า ที่ทำตัวไร้ยางอายอดอาหารเพื่อไล่ตามผู้ชาย ทั้งยังเริ่มหลอกล่ออย่างเบามือ จากนั้นค่อยกดดันด้วยความรุนแรง ตอนนี้กลับใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็งเพื่อบีบบังคับข้า แล้วอย่างไรเล่า?คิดหรือว่าหากได้อภิเษกเข้าจวนอ๋องฉู่แล้วจะไปขึ้นสวรรค์จริงๆ ?เช่นนั้นเจ้าก็จงไปป่าวประกาศเถอะ ข้าไม่มีสิ่งใดที่ต้องกลัว ข้าอายุขนาดนี้พอจะได้กลิ่นโลงศพแล้ว ไม่มีชื่อเสียงคุณงามความดีอะไรให้ทำลายแล้ว”
แม่นมสี่พูดจบก็หันหลังเดินออกไปทันที
อะซี่ที่รออยู่ด้านนอกเมื่อแม่นมสี่เดินพุ่งออกมาด้วยความโกรธ ก็รู้ได้ทันทีเลยว่านางถูกยั่วโมโหมา จึงรีบเข้าไปประคองพลางกล่าวถาม : “เป็นอย่างไรบ้าง?อยากให้ข้าตีใครหรือไม่?”
แม่นมสี่ตอบกลับด้วยความโกรธ : “พวกเรากลับกัน!”
อะซี่หันไปจ้องฮูหยินใหญ่ฉู่ตาเขม่งด้วยความเดือดดาล ฮูหยินใหญ่ฉู่ที่กำลังกำถ้วยชาแน่นด้วยความโกรธอย่างหนัก เดิมทีนางคิดว่าแม่นมสี่ที่อยู่ในวังหลวงมาเป็นเวลานานคงจะเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่านางจะแข็งกร้าวและเย็นชาเช่นนี้
นางลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวก่อน!”
อะซี่หันหลังตอบด้วยความเดือด : “เจ้ายังคิดจะทำสิ่งใดอีก?”
ฮูหยินใหญ่ฉู่หันไปมองแม่นมสี่ “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ายินยอมหรือไม่?”
แม่นมสี่ไม่ตอบคำถามนาง แล้วลากตัวอะซี่กลับทันที
ฮูหยินใหญ่ฉู่โยนถ้วยชาลงพื้นอย่างรุนแรง วันนี้ที่นางมาโดยที่ไม่ได้คิดอยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะสำเร็จ แต่นางคิดไม่ถึงว่าแม่นมสี่จะใช้ท่าทีเช่นนี้ต่อกรกับนาง เป็นอย่างที่หยางเอ่อได้พูดไว้ เป็นแค่เพียงขี้ข้า เหตุใดถึงมีความหยิ่งผยองเช่นนี้ได้?
ดูท่าแล้วหากไม่ให้บทเรียนแก่นางสักหน่อย นางคงจะไม่มีทางรู้ถึงความสามารถของตระกูลฉู่เสียแล้ว
แม่นมสี่ที่กลับมาถึงจวนก็เข้าไปรายงานแก่หยวนชิงหลิงทันที
หยวนชิงหลิงที่ได้ยินแม่นมสี่เล่าเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตาค้างด้วยความตกใจ “อะไรนะ?นางถึงขั้นข่มขู่เจ้า?ตระกูลฉู่คิดจะทะยานสู่สวรรค์แล้วหรือไรกัน?”
“พวกนางคุ้นชินกับความสูงส่ง คงคิดว่าข้าจะรับกระดาษเงินพวกนั้น แต่ข้าไม่รับ มีหรือที่นางจะไม่โกรธเคือง ?แน่นอนว่าต้องใช้วิธีข่มขู่ข้า” แม่นมสี่ตอบอย่างเย็นชา
“แล้วนางจะไม่เอาไปป่าวประกาศจริงๆ หรือ?” หยวนชิงหลิงกล่าวถาม นางรู้ว่าผู้หญิงในยุคสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นเด็กสาวหรือหญิงชราต่างก็ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตนเองอย่างมาก โดยเฉพาะชื่อเสียงในเรื่องพวกนี้ ถ้าหากมีการป่าวประกาศสู่ด้านนอกจริงๆ แล้วยังไม่รู้เลยว่าจะย่ำแย่ขนาดไหน
แม่นมสี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “คงจะไม่คุ้มค่าที่จะโอหังเช่นนี้ เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับใต้เท้าฉู่ เท่าที่คิดแล้วพวกนางคงไม่กล้าที่จะป่าวประกาศออกไปอย่างสุ่มสี่ห้าหรอกเจ้าค่ะ”
“ก็ใช่ โสวฝู่ฉู่คงจะยับยั้งพวกนางเอาไว้ได้” หยวนชิงหลิงคิดว่าตาเฒ่าคนนั้นเป็นคนที่ดุร้ายอย่างมาก ในยามที่เขายืนแม้จะไม่ได้มีรูปร่างที่สูงใหญ่มากแต่กลับเผยให้เห็นถึงความสุขุมน่าเกรงขาม ไม่เดือดดาลแต่สง่าผ่าเผย และเขาเป็นถึงผู้กุมอำนาจของตระกูลฉู่ คงไม่มีใครกล้าที่จะพูดจาใส่ความเขาหรอก ?
อะซี่ที่ได้ยินว่ามีการข่มขู่แม่นมสี่ นางก็โกรธจนฟึดฟัด “หากรู้แต่แรกข้าคงจะตบนางสักที ข้าล่ะยิ่งไม่ชอบท่าทียโสโอหังเช่นนั้น ทำท่านั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีมีจิตใจดีงาม แต่แท้จริงก็เป็นพวกหยิ่งทะนงตนราวกับมีตาที่สามงอกออกมาตรงหน้าผาก จะมักมากไปถึงไหนกัน?คิดว่าจะข้ามหัวพระชายาของเราได้งั้นหรือ?ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธจนอยากจะฟาดหมัดใส่หน้าของนางให้จมูกเบี้ยวไปเลย”
“อะซี่เจ้าอย่าได้รุนแรงขนาดนั้นเลย” หยวนชิงหลิงยิ้ม “เอาเถอะ แม่นมของเจ้าได้รับความไม่ยุติธรรม แน่นอนว่าต้องมีคนที่จะระบายความโกรธนั้นแทนนาง ไม่จำเป็นที่เจ้าต้องลงมือเองหรอก”
“ใครเจ้าคะ?” อะซี่กล่าวถาม
แม่นมสี่มองอะซี่ด้วยสายตาที่ไม่พึงพอใจ “เอาล่ะ แม่หญิง เจ้าไปจัดการงานของเจ้าเถอะ อย่าได้เท้าความให้มากเลย”
อะซี่รู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก อีกนิดเดียวก็พอจะรู้ความเพิ่มขึ้นแล้ว แต่อย่างว่านางไม่ใช่คนที่ชอบสอบถามยุ่งเรื่องของคนอื่นเหมือนเจ้าย่า นางจึงผิวปากออกมาแล้วเดินออกไป โดยมีตอเป่าวิ่งตามไปด้วย
คนกับสุนัขพากันวิ่งเล่นอยู่ในลาน หญิงสาววิ่งปราดปลิวราวสายลมกับสุนัขที่วิ่งตามอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายปรากฏว่าหญิงสาววิ่งไปชนเข้ากับร่างของใครบางคนเข้าอย่างจัง ก่อนจะล้มทับลงไปราวกับภูเขาที่ถล่มลงมา
สวีอีถูกทับอยู่ข้างล่างถึงกับร้องครวญออกมา “อะซี่ตาของเจ้าไปงอกอยู่หลังศีรษะหรือไร?ถึงได้ไม่เห็นว่าข้าเดินมา?”
ตอนนี้หลังของเขาแทบจะหักไปแล้ว
อะซี่รีบผลักตัวเองลุกออกจากร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยายามดึงเขาให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล “ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ข้ามัวแต่วิ่งเล่นกับตอเป่าเลยไม่ทันได้เห็นเจ้า เจ้าเตี้ยเกินไปเลยไม่ได้อยู่ในระยะสายตาของข้า”
สวีอีร้องออกมาด้วยความเคือง : “เจ้าสิเตี้ย ไอ้ยา……อย่าดึงๆ เจ้าเบาๆ หน่อย หลังข้าหักหมดแล้ว ต้องหักแล้วแน่ๆ ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”
เขาสูดหายใจเข้า ใบหน้ายู่ยี่ย่นเข้าหากัน ดวงตาชั้นเดียวหรี่ลงมาจนเห็นเป็นเพียงรูปสระอิ
อะซี่พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ : “ข้าหนักขนาดนี้เลยหรือ?ยังจะบอกว่าหลังหักแล้วอีก?เจ้ารีบลุกขึ้นมา อย่ามาแสร้งทำเป็นจะตาย”
“เจ็บจริง!” สวีอีจับมือข้างหนึ่งของนางเอาไว้แล้วลองขยับอย่างช้าๆ แต่รู้สึกเจ็บจนหูตาจมูกปากบีดเข้าหากันไปหมด “อย่าขยับ ข้าจัดการเอง”
อะซี่ที่เห็นว่าเขาไม่ได้เสแสร้งก็อดไม่ได้จะคิ้วขมวดแน่น “หลังหักแล้วจริงหรือ?”
สวีอีใช้มือข้างหนึ่งพยุงหลังตัวเองเพื่อผ่อนแรงแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางที่น้ำตาแทบจะรินไหลออกมา พลางตะคอกกลับด้วยความโกรธ : “เจ้าลองให้ข้าวิ่งพุ่งมาชนแล้วล้มทับเจ้าอีกทีดูสิว่าเจ้าจะหลังหักหรือไม่? ”
อะซี่เข้าไปช่วยพยุงเขา ในขณะที่ปากยอมรับผิด “ข้าผิดเอง ข้าผิดไปแล้ว อย่าโกรธเลย ข้าจะพยุงเจ้ากลับไปแล้วค่อยเอายาดองสมุนไพรทาให้กับเจ้า”
“ช้าหน่อย เจ้าค่อยๆ หน่อย !” สวีอีเจ็บจนไม่สามารถยืดหลังให้ตรงได้แล้ว
อะซี่พูดด้วยความตลก : “ดูเจ้าสิเอาแต่บอกว่าข้าตาบอดเจ้าเองก็ตาบอดด้วยไม่ใช่หรือไร?เจ้าไม่เห็นว่าข้ากำลังวิ่งเข้าไปหาหรือ?เจ้าควรจะหลีกทางให้ข้าสิ”
สวีอีกล่าวอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย : “ก็ข้าแค่กำลังมองดูว่าสาวใช้ที่เพิ่งเข้ามาคนนั้นอยู่เปล่า ?ก็เลยเอาแต่มองซ้ายมองขวาจึงไม่เห็นว่าเจ้ากำลังวิ่งเข้ามาชน”
“สมน้ำหน้า !” อะซี่ตอกกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “เรียกตัวเจ้ามาทีหนึ่งเจ้าก็แอบไปมองหญิงเสียอย่างนั้น”
“ข้ารู้สึกว่าเคยเจอนางจริงๆ ” สวีอีโต้เถียง
อะซี่ตอบ : “ก่อนหน้านี้นางเคยทำงานอยู่ที่จวนตระกูลฉู่ เจ้าจะเคยพบนางได้อย่างไร ?เจ้าเคยไปที่จวนตระกูลฉู่หรือไรกัน?”
สวีอีชะงักฝีเท้าแล้วหันไปมองอะซี่ทันทีโดยไม่สนว่ากำลังว่าเจ็บหลังอยู่ แล้วเขาก็พูดออกมาด้วยความตกใจ : “ข้านึกออกแล้ว นางก็คือยายชราคนนั้นที่เดินทางไปยังที่ทำการปกครองกับคุณหนูรองแห่งตระกูลฉู่ในวันนั้น ในตอนที่ข้าไปจวนตระกูลฉู่กับเจ้าอ๋อง นางยังเคยปราบมือกับเจ้าอ๋องอีกด้วย”
อะซี่ปล่อยมือจากเขาแล้วพูดด้วยความตกตะลึง : “เจ้ามองไม่ผิดแน่ใช่หรือไม่?นางคือคนที่รับใช้ฉู่หมิงหยางงั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว ข้าจำไม่ผิดแน่ ต้องเป็นนางแน่นอน หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามเจ้าอ๋องดู วันนั้นเจ้าอ๋องเคยปราบมือกับนาง และวิชาการต่อสู้ของนางก็สุดยอดมากด้วย เจ้าอ๋องได้ต่อสู้กับนางถึงสองครั้งเชียว” สวีอีสะเท้าเอวแล้วพูดด้วยสีหน้าดุเดือด
สีหน้าของอะซี่เปลี่ยนไปทันที “แม่เจ้า ข้าอุตส่าห์เลือกคนเป็นพันเป็นหมื่น กลับเลือกได้ไส้ศึกอย่างนั้นหรือ ?นางต้องเป็นไส้ศึกที่ฉู่หมิงหยางส่งตัวมาแน่นอน ข้าจะไปนำตัวนางออกมาเดี๋ยวนี้”
สวีอีเริ่มสงบอารมณ์ : “เจ้าอย่าเพิ่งไปทำให้นางรู้ตัว รีบกลับไปแจ้งแก่พระชายาก่อน แล้วให้พระชายาตัดสินใจ”
อะซี่หันหลังกลับเข้าไปทันที “เจ้ากลับไปเอายาดองสมุนไพรทาตัวเองก่อนเถอะ ข้าจะไปคุยกับพระชายา”
เมื่อเข้าไปด้านในนางก็แจ้งเรื่องทันที โดยที่แม่นมสี่เองก็อยู่ด้วยเช่นกัน : “พระชายา แม่นมสี่ หมันเอ่อที่พวกเรารับเข้ามาในวันนั้นก็คือสาวใช้ของจวนตระกูลฉู่,”
แม่นมสี่แย้ง : “เรื่องนี้รู้แล้ว วันนั้นพูดไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่านางรับใช้ผู้ใด?สวีอีบอกว่านางคือคนที่รับใช้ฉู่หมิงหยาง นางก็คือคนที่ติดตามฉู่หมิงหยางไปเล่นงานเจ้าอ๋องของพวกเราที่ที่ทำการปกครองในตอนนั้น และเจ้าอ๋องยังเคยต่อสู้กับนางด้วย ถึงว่าเหตุใดบนหน้าผากของนางถึงได้มีรอยแส้ คาดว่าคงจะเป็นรอยแผลที่เจ้าอ๋องฝากเอาไว้”
แม่นมสี่พูดอย่างโมโห “เช่นนั้นจะชักช้าอยู่ใย?เรียกตัวนางมาเดี๋ยวนี้!”
แต่หยวนชิงหลิงกลับสงบอารมณ์ไว้ก่อน “อย่ารีบร้อน”