บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 281 และนี่ก็คือสาเหตุ
หยวนชิงหลิงหันหน้าหนีแล้วตอบด้วยความเย็นชา : “หากเจ้าคิดเช่นนั้นก็เป็นเช่นนั้น”
แม่นมสี่ถอนหายใจ “เอาเถอะ อย่าทะเลาะกัน จะเรื่องใหญ่อะไรกันเจ้าคะ?หมันเอ่อไม่น่าเชื่อถือ แค่ขับไล่นางออกไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”
หมันเอ่อเพิ่งจะรู้ตัวว่าหญิงสาวที่กำลังโต้แย้งเพื่อนางที่แท้คือพระชายาฉู่ ทันใดนั้นสมองของนางสับสนขึ้นมา แล้วนางก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที “เจ้าอ๋อง พระชายา ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยจะออกไปเดี๋ยวนี้!”
นางกระแทกหัวลงกับพื้นสามครั้งพลางลุกขึ้นยืนจะเดินออกไป
หยู่เหวินเห้าที่มีความโกรธเคืองอยู่ในใจ ตอนที่หมันเอ่อไม่ส่งเสียงใดๆ ก็ยังพอว่า แต่พอนางส่งเสียงเท่านั้น ความโกรธของเขาก็ปะทุออกมาจนเขาพูดกับหมันเอ่อด้วยความเดือดดาล: “คิดว่าทำแค่นี้ก็จะไปได้แล้วหรือ?ตอนอยู่ที่จวนตระกูลฉู่ข้าอยากที่จะสั่งสอนเจ้าอยู่พอดี มา จงไปให้ข้าจัดการขี้ข้าอย่างเจ้าเสีย ลากนางออกไปโบยห้าสิบไม้แล้วค่อยโยนออกไป”
องครักษ์เดินเข้ามา หยวนชิงหลิงก็ลุกขึ้นยืนแล้วจ้องหยู่เหวินเห้าพลางพูดอย่างหนักแน่น : “ห้ามโบย ปล่อยนางออกไป”
“โบย!” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างโมโห คิดจะช่วยจริงๆ สินะ?ทั้งยังเป็นปฏิปักษ์กับเขาอีก
“ห้ามโบย!” หยวนชิงหลิงโมโหขึ้นมาแล้วเช่นกัน
องครักษ์ถึงกับสับสน สรุปแล้วจะให้โบยหรือไม่ให้โบย?
อะซี่และแม่นมสี่ต่างมองหน้ากัน แม่นมสี่จึงหันไปเกลี้ยกล่อมหยู่เหวินเห้า “เจ้าอ๋อง ในเมื่อจะขับไสออกไปอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ให้นางออกไปเถอะ ฟังพระชายาสักครั้งเถอะเจ้าค่ะ”
หยู่เหวินเห้ายังคงดื้อรั้นแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น : “จะต้องโบย พวกเจ้าสองคนเชื่อฟังผู้ใดกันแน่ ?สิ่งที่ข้าสั่งพวกเจ้าไม่ได้ยินหรือไร?”
องครักษ์จึงค่อยๆ เดินตรงไปข้างหน้า แต่หยวนชิงหลิงกลับเดินเร็วกว่าก้าวหนึ่ง นางดึงปิ่นปักผมออกมาแล้วจ่อลงบนคอของหมันเอ่อ “ไป!”
หมันเอ่อมองนางอย่างตกใจ “พระชายา……”
“หยวนชิงหลิง เจ้ามันคนเสียสติ!” หยู่เหวินเห้าคำรามออกมาด้วยความโกรธ เขาไม่คิดจะเชื่อเลยว่านางจะกล้าไปเข้าใกล้หมันเอ่อ ตอนนี้เขาโมโหจนตัวสั่นไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่กล้าขยับ ได้แต่จ้องมองหมันเอ่อ เพราะถ้าเกิดเขาขยับ นางอาจจะมีการเคลื่อนไหวทำสิ่งอื่นเป็นแน่
“ห้าสิบไม้โบย หากเจ้าไม่อยากตายก็รีบไปซะ!” หยวนชิงหลิงบอกอย่างเย็นชา
หมันเอ่อรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย ห้าสิบไม้โบยสามารถเอาชีวิตนางได้เลย
“ไป ยังจะลังเลอะไรอีก?” หยวนชิงหลิงยังคงใช้ปิ่นปักผมจี้คอของนางเอาไว้ โดยใช้อีกมือหนึ่งดึงข้อมือของนาง “ไป!”
หมันเอ่อจึงจำต้องเดินออกไปด้านนอก แต่ว่ามีสิ่งนี้ที่ไม่คล้อยตามร่างกายของนางไปนั้นก็คือคอ ตอนที่เดินออกไปด้วยรัศมีการก้าวที่ยาวเกินไป จึงทำให้ปิ่นปักผมแทงลงบนคอของนางจนเลือดไหลออกมา
นางไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดพระชายาถึงได้ปกป้องนาง ทั้งยังไม่มีความลังเลที่จะต้องแตกร้าวกับเจ้าอ๋องเพียงเพราะนาง
หยู่เหวินเห้าและอะซี่ค่อยๆ เดินตามไป โดยที่ทั้งสองจะคอยระมัดระวังอยู่ตลอด เพราะกลัวว่าหมันเอ่อจะทำร้ายหยวนชิงหลิง
แต่ทว่าจนกระทั่งพวกเขาเดินไปถึงประตูใหญ่ หยวนชิงหลิงผลักหมันเอ่อลงบนพื้น หมันเอ่อก็ยังไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น นางเพียงแต่คุกเข่าลงกับพื้น: “ขอบพระทัยพระชายา!”
“ไปซะ!” หยวนชิงหลิงตะโกน โดยใช้มือดึงรั้นหยู่เหวินเห้าที่ตามออกมาด้วยเอาไว้อย่างแน่น
หยู่เหวินเห้าไม่กล้าที่จะสะบัดนางออกไป เพราะกลัวว่าจะทำให้นางล้มไปได้ จึงทำได้เพียงจ้องมองหมันเอ่อที่ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
หยวนชิงหลิงรอจนกระทั่งหมันเอ่อวิ่งไปจนไม่เห็นเงาแล้วถึงปล่อยมือจากหยู่เหวินเห้า
แววตาของหยู่เหวินเห้าจ้องมองหยวนชิงหลิงดั่งมีดคมที่กรีดลงบนหน้าของนาง ก่อนจะพูดออกมาอย่างโหดร้าย: “หยวนชิงหลิง เจ้าไปตายซะเถอะ ต่อให้เจ้าตายไป ข้าก็จะไม่โศกเศร้าเสียใจเลย”
พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินกลับเข้าไป
ตอนนี้เขาโมโหจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว นางคิดว่าตนเองฉลาดหลักแหลมนัก คิดว่าใช้แค่ปิ่นปักผมอันเดียวก็สามารถควบคุมคนที่รู้วิชาต่อสู้ได้งั้นหรือ? เพียงแค่นางบิดหน้าไปอีกทาง ก็สามารถใช้มือหักคอนางได้แล้ว นางคิดว่าคิดว่าตัวเองเป็นอะไรกัน?
คนที่ไม่สนชีวิตความเป็นตายอย่างนาง ยังจะให้ไปสนใจอีกทำไม?
หยวนชิงหลิงยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
แม้จะรู้ดีว่าที่เขาพูดออกมาเพราะความโกรธ แต่คำพูดนี้มันช่างทิ่มแทงใจเหลือเกิน
นางคิดว่าไม่ว่าเขาจะทำเรื่องอันใด นางจะไม่มีทางบอกให้เขาไปตายเด็ดขาด
และแล้วน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองของนาง
อะซี่เดินเข้าไปประคองแล้วกล่าวถามอย่างกลัดกลุ้มใจ : “พระชายา เจ้าเป็นอันใดไปเจ้าคะ?”
เมื่อสักครู่นี้แม่นมสี่เองตกใจไม่น้อยเลย แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าอ๋องพูดจาทำร้ายจิตใจเกินไป นางจึงไม่คิดที่จะพร่ำบ่นว่าความ เพียงบอกให้อะซี่ช่วยพยุงพระชายากลับเข้าไปเท่านั้น
ด้านหยู่เหวินเห้าก็กำลังอาละวาดอยู่ด้านใน พร้อมกับสั่งให้ทุกคนเพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัย แล้วยังต้องเพิ่มเวรยามในการเดินตรวจลาดตระเวนเป็นสามกลุ่ม ส่วนทางฝั่งผู้รักษาประตูก็มีการเพิ่มกำลังคนอีกด้วยเช่นกัน ทั้งยังกำชับอีกว่าหากพบเจอคนที่ไม่รู้จัก ไม่อนุญาตให้เข้ามาเด็ดขาด
หลังจากที่ได้ทำการสั่งการเรียบร้อย เขาก็ทะยานออกไป โดยไม่ทานแม้แต่อาหาร
ส่วนหยวนชิงหลิงที่กลับไปยังตำหนักเซี่ยวเยว่ นางเอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาใดๆ
สุดท้ายอะซี่ก็ทนดูไม่ไหว จึงกล่าวถามทันที : “พระชายา เหตุใดเจ้าจึงต้องปกป้องหมันเอ่อคนนั้นด้วยเจ้าคะ?”
หยวนชิงหลิงเงยหน้ามองอะซี่ รอยน้ำตาที่เคยมีได้จางหายไปหมดแล้ว “ห้าสิบไม้โบย เจ้าคิดว่านางจะตายหรือไม่?”
“นั่นเพราะนางหาเรื่องใส่ตัวเอง” อะซี่ตอบกลับ
“นางทำความผิดอะไรที่ถึงขึ้นต้องเอาให้ตายหรือ?” หยวนชิงหลิงถามอีกครั้ง
อะซี่กล่าวตอบ : “เจ้าเองใช่ว่าจะไม่รู้นี่เจ้าคะ นางเคยลงไม้ลงมือกับเจ้าอ๋อง ทั้งนางยังเคยใช้วิชาลวงตากับเจ้าอ๋องเพื่อที่จะสนองความสำเร็จของฉู่หมิงหยาง คนเช่นนี้ น่ารังเกียจยิ่งนัก”
“แล้วต้องเอาให้ตายเลยหรือ?” หยวนชิงหลิงยังคงถามซ้ำๆ
อะซี่นิ่งอึ้ง “อันนี้……แต่ถึงอย่างนั้นนางเข้ามายังจวนอ๋อง เพราะมีเจตนาร้ายแอบแฝงนะเจ้าคะ”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจพลางส่ายหน้าเบาๆ
แม่นมสี่กระซิบพูดกับอะซี่: “เจ้าออกไปเถอะ อย่าพูดอีกเลย”
อะซี่ตอบรับ แต่ยังคงไม่วางใจหยวนชิงหลิง: “เช่นนั้นข้าจะอยู่รอด้านนอก เจ้ามีเรื่องอันใด เพียงออกคำสั่งก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“อะซี่ เจ้าเป็นแขกของจวนอ๋อง เจ้ามาที่นี่เพื่ออยู่เป็นเพื่อนข้า อย่ายืนอยู่ด้านนอกอีกเลย เจ้าไปทานอาหารเถอะ” หยวนชิงหลิงกล่าว
“แล้วพระชายาเจ้าไม่ทานอาหารหรือ?” อะซี่ถาม
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ข้าไม่หิว”
อะซี่จึงหันไปหาแม่นมสี่ แม่นมสี่ก็ทำเพียงสะบัดมือ “ไปเถอะ!”
อะซี่ที่กำลังหันหลังเดินออกไปถึงด้านนอกก็เห็นสวีอีพาชายหนุ่มขาพิการคนหนึ่งกลับมาพอดี
อะซี่ถามอย่างประหลาดใจ : มีจริงงั้นหรือ?”
สวีอีตอบ : “ใช่ ข้าเคยเจอเขามาก่อน พระชายาเองก็เช่นกัน”
“รู้จักงั้นหรือ?เช่นนั้นก็ดี เจ้าเข้าไปเถอะ พระชายาอยู่ด้านใน” อะซี่รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ดูท่าแล้วหมันเอ่อคนนั้นก็ไม่ได้โกหกไปเสียหมด
สวีอีจึงพาชายหนุ่มขาพิการเข้าไปด้านใน
สวีอีทำการแจ้งทันที : “พระชายา ข้าได้ถามเขาแล้ว เขาบอกว่าเป็นคนแนะนำให้กู่หมันเอ๋อไปยังตลาดตะวันตกจริง และเขาก็เป็นคนบอกเองว่าจวนอ๋องของเรากำลังตามหาสาวใช้ที่รู้วิชาต่อสู้ด้วย กู่หมันเอ๋อถึงได้ยอมไปที่นั่น”
ชายหนุ่มขาพิการดูจะมีความกังวลไม่น้อย เขาพยายามจัดขาของตัวเองเพื่อที่จะคุกเข่าลง แต่หยวนชิงหลิงกลับกล่าวห้ามด้วยเสียงเบาๆ: “ไม่ต้องคุกเข่า เจ้าเข้ามานั่งตรงนี้เถอะ!”
ชายหนุ่มขาพิการรีบแย้งทันที : “ข้าน้อยไม่กล้า”
“แม่นมสี่ สั่งให้คนตั้งอาหาร” จากนั้นนางจึงมองไปยังชายหนุ่มขาพิการ “เจ้าจำข้าได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มขาพิการไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองนาง แล้วทำเพียงส่ายหน้าเท่านั้น : “ข้าน้อยไม่รู้จักเจ้าพ่ะย่ะค่ะ” เขาจะกล้ามารู้จักคนชั้นสูงเช่นนี้ได้อย่างไร?
“จริงด้วย ทุกวันเจ้าได้พบเจอผู้คนตั้งมากมาย เป็นเรื่องธรรมดาที่จะจำไม่ได้” หยวนชิงหลิงชี้นิ้วไปบนเก้าอี้ “มานั่งแล้วค่อยพูดคุยกัน”
สวีอีดึงเขาเข้าไป “พระชายาบอกให้นั่งเจ้าก็จงนั่งเถอะ”
ชายหนุ่มขาพิการนั่งลงไปก็จริง แต่ราวกับว่าเขากำลังนั่งอยู่บนกองไฟ มือทั้งสองถูไถไปมาไม่หยุด ร่างกายแข็งทื่อไม่เคลื่อนไหว ดวงตามองตรงไม่กล้าที่จะตวาดไปมา
“เจ้ามีนามว่าอะไร?” หยวนชิงหลิงกล่าวถาม
ชายหนุ่มขาพิการตอบด้วยเสียงเบาๆ : “ข้าน้อยมีนามว่าหูหมิงพ่ะย่ะค่ะ”
“ดูสิ พวกเรารู้จักกันมาตั้งนาน แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ข้าได้รู้จักชื่อของเจ้า” หยวนชิงหลิงมองไปด้วยรอยยิ้มจางๆ “หูหมิง ทานอาหารกับข้าสักมื้อเถอะ”
ขอทานหูหมิงรีบลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจทันที เขาสะบัดมือทั้งสองข้างด้วยใบหน้าที่หวาดหวั่น “มิกล้า ข้าน้อยมิกล้า”
“ดูถูกข้างั้นหรือ?รังเกียจที่ต้องร่วมโต๊ะอาหารกับข้าหรือ?” หยวนชิงหลิงถาม
หูหมิงมองนางด้วยความประหลาดใจ คำพูดนี้……คือคำพูดของพระชายางั้นหรือ?ทันใดนั้น สมองของเขาก็ว่างเปล่า ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
แม่นมสี่สั่งให้คนนำอาหารมาตั้งโต๊ะ ด้วยความที่ช่วงนี้หยวนชิงหลิงมีปัญหากระเพาะ ดังนั้นพ่อครัวจึงต้องทำอาหารจืดชืดให้แก่นาง หยู่เหวินเห้าเองก็กินอาหารจืดชืดเช่นนี้พร้อมกับนางด้วย ในคราวนี้มีอาหารทั้งหมดสามอย่าง โดยมีซุปร้อนด้วยอย่างหนึ่ง
“ทานสิ!” หยวนชิงหลิงมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าหากไม่กิน เจ้าจะถูกลากออกไปโบยสามสิบไม้”
ขอทานหูหมิงคุกเข่าลงทันที ต่อให้ต้องถูกโบยสามสิบไม้ เขาก็ไม่กล้าที่จะร่วมโต๊ะอาหารกับพระชายาอยู่ดี
หยวนชิงหลิงมองดูเขาที่คุกเข่าลงอย่างลำบากใจ ในใจของนางก็ขมขื่น และเจ็บปวดยิ่งนัก พลางมีความรู้สึกมากมายที่ยากจะอธิบายเอ่อล้นทะลักในหัวใจของนาง