บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 282 ต่างก็โกรธเคือง
นางมองไปยังแม่นมสี่แล้วกล่าวอย่างสงบนิ่ง : “นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าพยายามปกป้องหมันเอ่อ มีชีวิตของใครที่ไม่ใช่ชีวิตบ้าง?เหตุใดถึงต้องทำให้ชีวิตของใครบางคนตกต่ำด้วยเล่า?อย่างเช่นเขาที่แม้แต่จะร่วมโต๊ะอาหารกับข้ายังต้องคุกเข่าลง เขาไม่หิวหรือไร ?เจ้าเคยเห็นเขาที่พยายามแย่งชิงหมั่นโถวลูกหนึ่งแล้วถูกทำร้ายจนหัวแตกเลือดไหลออกมาแต่กลับกัดกินมันด้วยความดีใจหรือไม่ ?แล้ววันนี้เขายังยอมถูกโบยสามสิบไม้ แต่ไม่ยอมทานอาหารที่เขาอยากจะทานเสียอย่างนั้น”
แม่นมสี่ตอบกลับด้วยเสียงเบาๆ “เจ้ากับเขานั้นต่างกัน เจ้าคือพระชายา ฐานะของเจ้านั้นสูงส่งยิ่งนัก”
หยวนชิงหลิงจ้องมองนาง พลางไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี หรือต่อให้พูดไปก็ไร้ประโยชน์
และนี่ก็คือความแตกต่างทางความคิด
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการถูกอบรมสั่งสอนและความเข้าใจที่ได้รับ
นางเป็นคนที่เติบโตมาในสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ได้รับการศึกษาชั้นสูง
การที่เหล่าข้าราชบริพารทั้งจวนต่างให้การเคารพกราบทูลนาง และในยามที่นางเข้าวังต้องคอยเคารพกราบทูลเหล่าผู้สูงศักดิ์ การก้มหน้าคำนับ
สิ่งเหล่านี้ถึงแม้นางจะไม่ชื่นชอบมากนักแต่ยังพอที่จะอดกลั้นไว้ได้
ทว่านางไม่สามารถอดทนในยามที่อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย กลับยังมีการพูดถึงการแบ่งชนชั้นฐานันดรที่กลายเป็นรากหยั่งลึกในใจคนเช่นนี้
นางพยายามที่จะยอมรับเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เพราะนางไม่สามารถที่จะทำให้ความคิดของยุคสมัยคล้อยตามความคิดของนางได้
เช่นนั้นนางจึงทำได้เพียงต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองเท่านั้น
ในเรื่องของหมันเอ่อ ตอนแรกนางไม่ได้มีความขัดแย้งด้วยถึงขนาดนี้ นางเพียงต้องการทำให้ทุกอย่างกระจ่าง เมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้วจะเก็บนางไว้ก็ได้ หรือจะขับไล่นางออกไปก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อนางมากนัก
แต่ว่าหมันเอ่อกลับเป็นดังจุดชนวนที่ทำให้นางและหยู่เหวินเห้าเกิดการทะเลาะกัน
ไม่รู้เลยว่าห้าสิบไม้โบยนั่นคือสำหรับเอาคืนสิ่งที่หมันเอ่อเคยทำหรือเพราะพวกเขาทะเลาะขัดแย้งกัน เขาจงใจยั่วโมโหนาง เพราะทุกอย่างมันไม่สมควรเป็นเช่นนี้
ห้าสิบไม้โบยสามารถเอาชีวิตเด็กสาวคนนั้นได้เลย
แล้วถ้าเกิดว่านางไม่ได้มีแผนการร้ายใดๆ เล่า? ถ้าเกิดนางเพียงต้องการหางานเลี้ยงชีพจริงๆ เท่านั้นเล่า?
ทุกคนเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง นางรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก
แต่ต้องคร่าชีวิตของผู้อื่นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนนั้นมันสมควรแล้วหรือ? จะยอมคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์โดยเสียเปล่างั้นหรือ?
แล้วยิ่งตอนนี้ได้พบตัวหูหมิงแล้ว ทั้งหูหมิงยังให้คำยืนยันว่าการที่หมันเอ่อมาที่จวนไม่ได้มีเจตนาร้ายที่จะทำร้ายนางเลยด้วย
หากทำการโบยห้าสิบไม้ไปแล้วก่อนที่หูหมิงจะเดินทางมาถึง หมันเอ่อจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือ?
แล้วสุดท้ายความผิดบาปที่หมันเอ่อได้ทำแท้จริงแล้วคืออะไร ก็คงจะไม่มีผู้ใดต้องการที่จะเสาะหาความจริง
เช่นเดียวกับการตายของเหล่าสนมและเหล่าสาวงามในจวนอ๋องจี้
ถึงอย่างนั้นหยวนชิงหลิงก็รู้ดีว่าแม่นมสี่ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ในทันที จึงลุกขึ้นยืนแล้วพูดเบาๆ : “พาเขาไปทานอาหารที่โรงครัวเถอะ หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้วลองคิดหาตำแหน่งให้เขาทำงานด้วย”
นางเดินเข้าไปยังห้องนอนแล้วนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ภายในใจของนางยังคงว้าวุ่นราวเส้นใยไหมที่เกี่ยวพัน
นอกจากความว้าวุ่นภายในจิตใจแล้วยังมีความตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
นางรู้ว่าตอนนี้แนวคิดมุมมองของพวกเขากำลังเกิดความขัดแย้งกัน
ครั้งนี้นางไม่ได้ปิดหูปิดตายืนยันที่จะเชื่อหมันเอ่อ
เพราะแท้จริงแล้วปัญหานี้มันไม่อยู่จริงด้วยซ้ำ
หมันเอ่อไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้
นางมองดูคนในกระจก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าใบหน้าที่นางไม่คุ้นเคยนี้ทำให้ใจของนางเจ็บปวด
นางคือหยวนชิงหลิง ที่ไม่ใช่หยวนชิงหลิงในยุคสมัยนี้
แม้นางเข้าใจความเป็นจริงที่ได้เจอ แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะเห็นด้วยกับแนวคิดมุมมองของคนในยุคสมัยนี้
นางมาอยู่ที่นี่นานถึงเพียงนี้ นางถามตัวเองเสมอและนางไม่ได้เป็นคนที่ใจอ่อนดังแต่ก่อนอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังไม่อาจที่จะละเลยต่อชีวิตของผู้อื่นได้
เย็นวันนี้หากนางไม่ดึงดัน หมันเอ่อจะต้องตายแน่นอน
อะซี่เอาแต่บอกว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะทะเลาะกับหยู่เหวินเห้าเพราะหมันเอ่อ แต่นั่นคือหนึ่งชีวิตเชียว มันไม่คุ้มค่าเลยงั้นหรือ?
แม่นมสี่เดินเข้ามาอย่างเงียบๆ แล้วเดินไปหยิบเสื้อคลุมจากที่แขวนเสื้อผ้าข้างเตียงนอน ก่อนจะคลุมให้กับนาง “พระชายา อย่าคิดมากไปเลย จะทำให้ทุกข์ทั้งใจทุกข์ทั้งกายเอาเจ้าค่ะ”
“หูหมิงล่ะ?” หยวนชิงหลิงปกปิดความรู้สึกเอาไว้แล้วกล่าวถาม
“ข้าให้ลู่หยาพาเขาไปทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ ตามที่พระชายาสั่งให้หาตำแหน่งงานให้เขาก็เช่นเดียวกันข้าได้หาหน้าที่ง่ายๆ ในจวนให้สำหรับเขาแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้ เขายังรู้สึกขอบพระทัยเจ้าเป็นอย่างมากอีกด้วย” แม่นมสี่ตอบ
“แม่นมสี่!” หยวนชิงหลิงมองนาง “เจ้าเคยถามข้าว่าเหตุใดข้าถึงได้พาเจ้ากลับมาที่จวนแทนที่จะสังหารเจ้า ตอนนั้นข้าตอบเจ้าว่าเพราะว่าไท่ซ่างหวงไม่อยากให้เจ้าตาย”
“พระชายาตอบเช่นนี้จริงๆ เจ้าค่ะ” แม่นมสี่เห็นด้วย
หยวนชิงหลิงนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดอีกครั้ง : “นี่เป็นเพียงหนึ่งในเหตุผลเท่านั้น แต่เหตุผลที่สำคัญคือเพราะข้าไม่อาจให้ชีวิตของใครต้องมาตายจากโลกนี้ไปภายใต้คำพูดของข้า ข้าไม่ใช่ผู้พิพากษา ข้าไม่มีอำนาจที่จะทำเช่นนั้น”
แม่นมสี่แสดงสีหน้าตื้นตัน แล้วคิดถึงเรื่องของหมันเอ่อแล้วนางจึงพูดออกมา “พระชายา ผู้แข็งแกร่งถึงจะเป็นผู้อยู่รอด สิ่งนี้ล้วนเป็นไปตามสัจธรรม”
“มันรุนแรงถึงขั้นนี้แล้วหรือ? ข้าปล่อยเจ้า และปล่อยหมันเอ่อไป แล้วนั่นจะทำให้ข้าต้องตายเลยหรือ?นี่คือทางเลือกแห่งความเป็นความตายหรือ?” หยวนชิงหลิงถาม
“อย่างน้อยก็มีความอันตราย” แม่นมสี่ตอบ “ดังนั้น นี่เลยเป็นความไม่คุ้มค่าที่อะซี่ได้บอกไว้”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจอย่างเอือมระอา
แม่นมสี่ยังคงกล่าวเตือน : “พระชายามีจิตใจดี ข้าน้อยรู้ดี แต่พระชายาเคยคิดถึงความรู้สึกของเจ้าอ๋องหรือไม่เจ้าคะ ?เจ้าเคยได้เผชิญกับความอันตรายมามากมาย เจ้าอ๋องจึงต้องคอยกังวลอยู่ทุกวี่วัน กลัวว่าเจ้าจะเป็นอันตราย ความรู้สึกเหล่านั้นแท้จริงแล้วพระชายาสามารถที่จะรับรู้ได้ วันนั้นที่เกิดเรื่องกับเจ้าและอ๋องซุน ซึ่งมันทำให้เขาหวาดกลัวอย่างยิ่ง เขาจึงไม่ยินยอมที่จะให้เกิดเรื่องไม่ดีใดๆ กับเจ้าทั้งสิ้น ดังนั้นเขายอมที่จะตัดสินหมันเอ่ออย่างไม่เป็นธรรม แต่จะไม่ยินยอมให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะเป็นอันตรายต่อเจ้าเด็ดขาด”
หยวนชิงหลิงตอบกลับ: “ข้าเข้าใจดี ฉะนั้นถึงเขาจะพูดจาทำร้ายจิตใจมากแค่ไหน ข้าก็ไม่โกรธเขาเลย ข้าเพียงแค่รู้สึกเสียใจ แต่สิ่งที่ข้าว้าวุ่นใจไม่ใช่สิ่งนี้หรอก แม่นม ข้าไม่อยากพูดแล้ว เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ สักพัก”
“เจ้าจะไม่ทานอะไรหน่อยหรือเจ้าคะ?” แม่นมสี่ถามด้วยความเป็นห่วง
“ข้ากินไม่ลง !” หยวนชิงหลิงตอบ
แม่นมสี่จึงได้เพียงตอบรับ : “เช่นนั้นก็ได้เจ้าคะ หากเจ้าหิวแล้วให้เรียกข้า ข้าจะไปเตรียมอาหารใหม่มาให้”
แม่นมสี่ถอยออกไป
ตอนนี้ในใจของหยวนชิงหลิงหดหู่อย่างมาก ไม่ใช่ว่านางไม่อยากพูด แต่เพราะต่อให้นางพูดไปก็ไม่มีใครเห็นด้วย
นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่นางรู้สึกว่าตัวเองนั้นโดดเดี่ยว
ส่วนหยู่เหวินเห้านั้นก็ไปดื่มสุรากับเหลิ่งจิ้งเหยียนและกู้ซือ
เขายกสุราขึ้นดื่มภายในอึกเดียว เขายังคงโมโหไม่หาย “เหตุใดข้าถึงได้มีสภาพตกต่ำเช่นนี้ได้?ทุกวันต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายกับนางจนต้องเพิ่มการคุ้มกันจวนอย่างเคร่งครัด ทุกครั้งที่นางออกไปข้างนอกใจของข้าก็หวาดหวั่น ทุกครั้งที่กลับมาจากที่ทำการปกครองหากนางไม่อยู่ที่จวน ใจของข้าก็ไม่เคยสงบเอาแต่คิดว่าจะเกิดเหตุร้าย หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ช้าไม่เร็วข้าต้องหัวใจไวตายแน่ แต่สิ่งเหล่านี้ที่ข้าทำเพื่อนาง นางเคยรู้สึกซาบซึ้งบ้างหรือไม่ ?”
กู้ซือสะบัดมือ “เอาเถอะ ช่างเถอะ อย่าได้ไปเคืองผู้หญิงเลย”
“ช่างเถอะ?พวกเจ้าไม่ได้เห็นสิ่งที่นางได้ทำไปในวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับการถูกปีศาจสะกดเอาไว้ นางบังอาจใช้ปิ่นปักผมจี้คอเด็กหนานเจียงคนนั้นแล้วพานางหนีออกไป กลัวราวกับว่าข้าจะไปสังหารนางเสียอย่างนั้น ข้าดูเป็นคนกระหายเลือดขนาดนั้นเชียวหรือ ?ถึงจะต้องสังหารนางให้ได้?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดปลอบขวัญเขา : “เด็กหนานเจียงคนนั้นไม่ใช่ภัยคุกคามใหญ่หลวงอันใด หากเป็นภัยอันตรายจริงๆ มีหรือที่โสวฝู่ฉู่จะปล่อยนางออกมา ?แน่นอนว่านางจะต้องถูกจัดการตั้งแต่อยู่ที่จวนตระกูลฉู่แล้ว ครั้งนี้เจ้ายังใจเย็นไม่พอ”
หยู่เหวินเห้าพูดด้วยความเคือง: “ข้าเป็นแมลงในท้องโสวฝู่ฉู่หรือไร?ถึงจะได้รู้ว่าความคิดเขาเป็นอย่างไร?โสวฝู่ฉู่ไม่ได้หลักแหลมเสมอไป ต้องมีบางครั้งที่เขาวิเคราะห์ผิดไปบ้าง ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ปล่อยให้หลานสาวของตัวเองออกมาสร้างความเดือดร้อนข้างนอกเช่นนี้ ไม่ใช่แค่หลานสาวของเขาเท่านั้น แต่คนตระกูลฉู่ก็ไม่ได้มีดีสักคน ถ้าเด็กหนานเจียงคนนั้นสมรู้ร่วมคิดกับฉู่หมิงหยางและจงใจเข้ามาจวนอ๋องฉู่เพื่อทำร้ายหยวนชิงหลิง แล้วจะเป็นเช่นไร ?นางเคยนึกถึงผลที่ตามมาหรือไม่?。”
“พระชายาไม่ใช่คนที่จะโง่เขลาขนาดนั้น นางเพียงคิดอย่างรอบคอบเท่านั้น เจ้าไม่ไว้ใจนางเกินไปแล้วล่ะมั้ง ?” กู้ซือพูดขึ้น