บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 285 รู้ความถึงตัวแม่นมสี่
ตอนนี้หยู่เหวินเห้าและหยวนชิงหลิงคืนดีกันแล้ว
แต่ทว่าท่าทีของทั้งสองนั้นยังไม่ได้ดีมากนัก และไม่มีการเท้าความเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อีกเลย ทางด้านหยู่เหวินเห้าเองก็ไม่ได้ไถ่ถามอะไรกับขอทานขาพิการอย่างหูหมิงด้วย เขาเพียงแต่ฟังสวีอีแจ้งว่าหยวนชิงหลิงรับเขาเอาไว้ในจวน และเขาเพียงแต่พยักหน้ายอมรับด้วยความเข้าใจเท่านั้น
ในตอนเช้าก่อนที่เขาจะกลับไปยังที่ทำการปกครอง เขาได้จูบลงบนหน้าผากของหยวนชิงหลิง “วันนี้ข้าจะกลับมาเร็วขึ้นจะได้ร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าด้วย”
หยวนชิงหลิงดึงแขนเสื้อแล้วลุกขึ้นมาช่วยจัดปกเสื้อให้กับเขา “ได้”
หลังจากมองดูเขาจากไป นางก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
เมื่อคืนนี้เขานอนกอดนางไม่ยอมปล่อยเลยทั้งคืน แต่ว่าเขาเอาแต่พูดจาอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเพราะกลัวว่าจะไปสะกิดใจนางหรือทำให้นางเสียใจ
ทั้งที่ความจริงแล้วนางไม่ได้ชอบให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้เลย นางรู้สึกว่าการที่ทั้งสองมีการต่อล้อต่อเถียงกันมันเหมาะสมกับทั้งสองมากกว่า
หลังจากที่ได้พูดคำนั้นไป นางรับรู้ได้ถึงความรักและความตื้นตันใจของเขา เขาราวกับว่ายิ่งมอบความใส่ใจกับนางมากขึ้น ในยามกลางดึกเพียงนางขยับตัวนิดเดียวเขาก็จะรีบลืมตาขึ้นมาดูนางทันที
หรือบางทีที่จริงแล้วไม่ว่าหลักการใดๆ หรือมุมมองต่างๆ มันไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้น
วันข้างหน้าเพียงแค่ต้องพยายามที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว
นางเองก็ต้องพยายามลืมความกลัวจากการตายของสนมซูที่ได้เกิดขึ้นเช่นกัน
หลังจากออกจากห้องนางก็พยายามที่จะลืมเลือนเรื่องนี้ไปเสีย และไม่คิดที่จะไม่พูดกล่าวถึงมันอีกเพราะว่านั่นนับเป็นความฝันที่เลวร้าย
ส่วนเรื่องคดีนี้จะถูกตัดสินอย่างไรนั้น นางเองไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก
และในกล่องยาจะมีแว่นตาอันหนึ่งอยู่ ซึ่งรู้ว่าจะต้องมอบให้แก่องค์ชายแปด แต่นางยังคงไม่ได้นำเข้าไปส่งในวังเสียที
“พระชายา พระชายาจี้มาถึงแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมสี่เข้ามาด้านในพร้อมกล่าวแจ้ง
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”
วันนี้พระชายาจี้สวมเป็นชุดผ้าแพรสีน้ำเงินอมเขียว พร้อมคลุมด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอก ท่าทีของนางดูสดใสขึ้นมาก ใบหน้าก็ไม่ได้ซีดเซียว
ภายในแววตาของแฝงด้วยความรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น แต่ทว่าสายตาของนางนั้นกลับจ้องไปยังแม่นมสี่อยู่เสมอ
หยวนชิงหลิงที่ให้ยานางกับนางเรียบร้อยจึงกล่าวถาม : “มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ อัดอั้นไว้คนเดียวไม่ดีนักหรอก”
หลังจากที่ได้พบปะกับพระชายาจี้มานาน จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วนางไม่ใช่คนที่เดาใจยากถึงเพียงนั้น
พระชายาจี้ที่เหมือนจะอัดอั้นมานานเมื่อได้ยินหยวนชิงหลิงพูดเช่นนี้ นางจึงได้เล่าความทันที : “วันนี้ในช่วงเช้าตรู่ ข้าได้ยินเรื่องที่น่าสนใจบางอย่างมา”
“จะเป็นเรื่องน่าสนใจหรือไม่น่าสนใจ ข้าก็ไม่ชอบฟังทั้งนั้น” หยวนชิงหลิงย้อนกลับอย่างเฉยเมย
“มีความเกี่ยวข้องกับแม่นมสี่ บางทีเจ้าลองฟังสักหน่อยจะดี” พระชายาจี้กล่าว
หยวนชิงหลิงรีบเหลียวหันไปมองแม่นมสี่ทันที และได้เห็นสายตาของนางที่มองมา ใบหน้าของนางที่ตกใจกลายเป็นซีดเผือดขึ้นมา
“แม่นมสี่เจ้าออกไปก่อนเถอะ” หยวนชิงหลิงกล่าว
แต่แม่นมสี่กลับมองไปยังพระชายาจี้ “ไม่ทราบว่าพระชายาได้ข่าวอะไรมาหรือเจ้าคะ?”
พระชายาจี้เล่าความพลางมองหน้านาง : “ที่จริงตัวข้ารู้ดีว่ามันเป็นเพียงเรื่องที่น่าขบขันและไร้ซึ่งที่มาที่ไป แต่ด้านนอกมีการแพร่กระจายไปทั่วว่าในปีนั้นแม่นมสี่ใช้สิทธิ์จากการเป็นหัวหน้านางข้าหลวงในตำหนักไท่ซ่างหวง คุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์เป็นเวลาสามวันสามคืนเพื่อให้ไท่ซ่างหวงสั่งการให้โสวฝู่ฉู่อภิเษกนางเป็นพระชายาเอก แต่ทางโสวฝู่ฉู่นั้นไม่ยินยอม แม่นมสี่จึงบีบบังคับด้วยการจะแขวนคอฆ่าตัวตายเสีย จนท้ายที่สุดนางก็สร้างเรื่องจนไท่ซ่างหวงสั่งโบยนางไปยกใหญ่ แต่นางยังคงไม่ยอมรามือและใช้โอกาสในยามที่โสวฝู่ฉู่เดินทางเข้าวังพยายามใช้เสน่ห์ความงามเพื่อล่อลวง จนนางถูกโสวฝู่ฉู่ต่อว่าอย่างรุนแรงจนต้องอับอาย นับตั้งแต่นั้นโสวฝู่ฉู่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าวัง เพราะต้องการที่จะหลบหลีกนาง ทั้งหมดนี้เป็นการสรุปความของตัวข้าเอง เพราะด้านนอกลือกันได้น่ารังเกียจเกินไป ทั้งเรื่องการใช้ความงามหลอกล่อนั่นก็เล่าได้อย่างสมจริงสมจังอย่างมากด้วย ไม่ น่าฟังต่างหาก”
ทันใดนั้นสีหน้าของแม่นมสี่ก็ซีดขาวจนดูไม่ได้พร้อมกับพูดออกมาด้วยความเย็นชา: “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง”
“เรื่องจริงเป็นเช่นไร ไม่มีผู้ใดทราบอยู่แล้ว และคนที่ปล่อยข่าวลือเองก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าเรื่องจริงมันเป็นเช่นไรด้วย” พระชายาจี้ปิดปากยิ้มอยู่ชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ : “ยังมีที่หยาบคายกว่านี้อีกว่าการที่จวนอ๋องฉู่เลี้ยงดูคนเช่นนี้เพราะว่าแม้แต่ตำแหน่งพระชายาฉู่เองก็ได้มาเช่นนี้เหมือนกัน”
แม่นมสี่ที่ตอนนี้ริมฝีปากสั่นเครือ แต่กลับพยายามที่จะแสดงสายตาที่เย็นชา “เช่นนั้นก็ปล่อยให้คนอื่นพูดกันตามสบาย ในเมื่อคนพูดไม่ได้สนใจ แน่นอนว่าคนอื่นไม่มีทางสนใจหรอกเจ้าค่ะ”
หยวนชิงหลิงมองนางด้วยความกังวลใจ “แม่นม ปากของคนข้างนอกล้วนเน่าเปื่อยไปหมด เจ้าอย่าเอามาใส่ใจเลย”
แม่นมสี่ตอบรับด้วยรอยยิ้มจางๆ : “พระชายาวางใจเถอะ สิ่งที่เจ้าเคยบอกเอาไว้ข้าจำได้เสมอ คำนินทามีเพียงตัวเราที่ใส่ใจเท่านั้นถึงจะทำให้เราทุกข์ใจ แต่ข้าไม่ใส่ใจหรอกเจ้าค่ะ”
พูดจบ นางโน้มตัวลงแล้วเดินถอยออกไป
หยวนชิงหลิงที่ไม่วางใจนางจึงให้อะซี่ตามออกไปดูแล
พระชายาจี้ที่รับยาไปพร้อมรอยยิ้มจางๆ ราวกับว่าได้เห็นเรื่องสนุก
หยวนชิงหลิงพูดอย่างเย็นชา: “ดูเหมือนเจ้ากำลังดีใจ”
พระชายาจี้ส่ายหน้า “นี่มีอะไรน่าดีใจกัน?ข้าเพียงแค่คิดว่ามันน่าสนใจเท่านั้น เรื่องราวในปีนั้นแม้ว่าข้าจะไม่รู้ความมากนัก แต่รู้ว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนี้ ทว่าจะว่าไปแล้วเรื่องที่ผ่านไปนานหลายปีอยู่ๆ มีคนเอาเรื่องมาป่าวประกาศเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าสนใจหรอกหรือ ?”
หยวนชิงหลิงจ้องนาง “พระชายาจี้เป็นคนมีหน้ามีตา รู้จักผู้คนมากมาย คงจะรู้ว่าผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าว”
พระชายาเบะปาก “เรื่องนี้ข้าไม่ทราบแล้ว”
หยวนชิงหลิงจึงยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “งั้นหรือ?เช่นนั้นเกรงว่าพระชายาจี้จะยังไม่เข้าใจคำพูดที่ข้าได้พูดในวันแรกที่ได้ทำการรักษาเจ้าแล้วกระมัง”
พระชายาจี้แหงนหน้ามองนาง “หมายความว่าอย่างไร?”
หยวนชิงหลิงกดมือลงบนเข็มที่ฉีดยาให้กับนางแล้วหรี่ตาลงอย่างเลือดเย็น “พระชายาจี้ หากว่าเจ้าไม่ได้มีประโยชน์กับข้าเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเอาไว้ทำไมกัน ?”
พระชายาจี้ตอบกลับ: “ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าสามารถช่วยน้องห้า……”
“สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าช่วยหรอก” หยวนชิงหลิงขัดคำนางทันที “ข้าอยากได้คำยืนยันว่าผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าวลือนี้ออกไป ข้าต้องการหลักฐาน ถ้าหากเจ้าหาหลักฐานไม่ได้ พรุ่งนี้เจ้าก็อย่ามาอีกเลย”
พระชายาจี้ตกตะลึงเล็กน้อย “เจ้าข่มขู่ข้างั้นหรือ?”
“ใช่!” ดวงตาของหยวนชิงหลิงแน่วแน่ไม่สับส่ายมา
“เจ้า……” พระชายาจี้จ้องนางอย่างเย็นชา แล้วทั้งสองก็สบตาพิฆาตกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สุดท้ายพระชายาจี้จะยอมอ่อนข้อไป
“เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ข้าไปตรวจสอบ ก็พอรู้ได้ว่าเป็นผู้ใดที่ปล่อยข่าวลือออกมา ”
“ข้ารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ที่ข้าให้เจ้าหาหลักฐานให้แก่ข้านั้นเป็นอีกเรื่องที่เกิดขึ้น ข้าต้องการหลักฐาน พระชายาจี้เป็นคนทำงานมีประสิทธิภาพขั้นสูง พรุ่งนี้ตอนที่เจ้ามาที่นี่คงจะสามารถนำหลักฐานมาด้วยได้แล้ว” หยวนชิงหลิงกล่าวจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังเดินออกไป
นางต้องไปดูท่าทีของแม่นมสี่เสียหน่อย
ในยุคสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นสตรีประเภทไหนก็ล้วนแต่ใส่ใจเรื่องชื่อเสียงความบริสุทธิ์ของตนเองทั้งนั้น
ข่าวลือที่แพร่กระจายออกไปนี้มันน่าเกลียดเกินไปที่จะได้ยิน
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉู่คนนั้นทำเกินไปแล้ว
เมื่อเดินมาถึงห้องพักของแม่นมสี่ ทางแม่นมสี่ก็กำลังเก็บกวาดทำความสะอาดอยู่ โดยมีอะซี่คอยนั่งดูอยู่ข้างๆ นางที่อยากจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกแม่นมสี่ห้ามเอาไว้ก่อน
เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงมาหา อะซี่ก็ทำท่าขมุบขมิบปากพร้อมส่งสายตาเป็นการส่งสัญญาณว่าแม่นมสี่ไม่ปกติ
หยวนชิงหลิงเดินเข้าไปหยิบไม้กวาดจากมือของแม่นมสี่ “เจ้าหยุดทำความสะอาดก่อน เจ้านั่งลงพูดคุยกันก่อนเถอะ”
แม่นมสี่พูดด้วยรอยยิ้ม : “พระชายากังวลใจเรื่องข้าน้อยงั้นหรือ?ไม่ต้องกังวลใจไปหรอกเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่ได้ใส่ใจคำพูดเหล่านั้นเลยจริงๆ เพียงแค่รู้สึกท้อใจที่พระชายาเองก็ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น จึงทำให้ใจของข้าน้อยเป็นทุกข์ยิ่งนัก”
หยวนชิงหลิงจ้องมองนาง ปกติแล้วแม่นมสี่จะเรียกแทนตัวเองว่าข้าน้อยน้อยครั้งมาก
นอกเสียจากว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นทางการหรือมีเรื่องที่สำคัญเท่านั้น
นางดึงมือแม่นมสี่ให้นั่งลง “แม่นม เจ้าวางใจเถอะ เรื่องนี้ข้าจะมอบความยุติธรรมให้กับเจ้าให้ได้”
แม่นมสี่สะบัดมือ “ไม่ต้องเจ้าค่ะ อย่าได้เสียเวลาเลย เรื่องนี้มีความยุติธรรมที่ไหนกันล่ะเจ้าคะ ?ต่อให้พระชายาจะออกไปแสดงความบริสุทธิ์ให้กับข้าน้อย ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ดั่งที่พระชายาจี้ได้กล่าวไว้ว่าไม่มีผู้ใดสนใจหรอกว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ขอเพียงพวกเขาได้พูดกันให้สนุกปากก็เพียงพอแล้ว”