บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 288 ไท่ซ่างหวงมีกิจสำคัญ
อะซี่ยังคงดึงดัน “เจ้าอ๋อง เจ้ายืนพูดอยู่ตรงนั้นเถอะ เจ้าพูดไป ส่วนข้าจะยืนฟังอยู่ตรงนี้”
เมื่อใช้การหลอกล่อไม่สำเร็จหยู่เหวินเห้าจึงชักสีหน้าแล้วพูดออกมาอย่างอ่อนโยน “อะซี่ เจ้ามาอยู่ที่จวนอ๋องคอยอยู่ดูแลพระชายาเป็นเวลานานแล้ว คิดถึงบ้านหรือยัง ?คิดถึงพี่สาวเจ้าหรือยัง?”
อะซี่ตกใจอย่างมาก สีหน้าของนางเปลี่ยนไปก่อนที่นางจะกระทืบเท้าบนพื้นพร้อมน้ำตา : “เจ้าอ๋อง อะซี่ทำผิดประการใดหรือเจ้าคะ?นี่เจ้าต้องการขับไล่อะซี่กลับไปงั้นหรือ?”
พูดจบนางก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
หยู่เหวินเห้าถึงกับงุนงง เขารู้สึกเพียงว่าราวกับมีลมพัดผ่านไปแล้วอะซี่ก็หายตัวไปเสียแล้ว
เมื่อกลับมาที่ห้อง เขาก็ได้ยินเสียงอะซี่ที่กำลังพูดจาร่ำไห้กับหยวนชิงหลิง “อะซี่ไม่สามารถอยู่เคียงข้างพระชายาอีกต่อไปแล้วนะเจ้าคะ เจ้าอ๋องจะขับไล่อะซี่กลับไปแล้ว”
หยู่เหวินเห้าถึงกับหน้าหมอง “เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน?ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าจะขับไล่เจ้าออก?”
“แล้วเจ้าอ๋อง……” อะซี่ปาดน้ำตาออก “เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าข้าคิดถึงบ้านด้วย?”
หยู่เหวินเห้าตอกกลับอย่างไม่สบอารมณ์ : “ข้าเพียงอยากให้เจ้าไปเชิญชายารองหยวนให้มาพักที่นี่สักสองสามวัน พวกเจ้าสองพี่น้องจะได้พบปะกันเสียหน่อย”
อะซี่ตกตะลึง พร้อมกับยิ้มด้วยตากลมโต “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าพี่ต้องดีใจมากแน่นอนเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดจบ นางก็ปาดคราบน้ำตาทิ้งไปแล้วเดินส่ายก้นออกไป
หยู่เหวินเห้าตะโกนบอกนางอีกครั้ง “เรียกพี่สาวเจ้ามาเข้าวังพร้อมกับพระชายาด้วย”
“รับทราบเจ้าค่ะ!” เสียงของอะซี่ดังทะลุเข้ามาจากด้านนอก ซึ่งเต็มไปด้วยความยินดี
หยวนชิงหลิงอมยิ้ม โดยไม่ไถ่ถามถึงสาเหตุที่ต้องเรียกตัวชายารองหยวนมาที่นี่ เพราะรู้ดีว่าเขาคงจะมีจุดประสงค์บางอย่าง
แต่กลับถามว่า “กู้ซือมาทำสิ่งใดหรือ?”
“มาแจ้งว่าเจ้าพี่ใหญ่กลับมาแล้ว” หยู่เหวินเห้านั่งลงข้างกายนางแล้ววางมือทาบลงบนท้องน้อยของนางก่อนจะลูบไล้ไปมา
หยวนชิงหลิงตอบ “อ่อ” คำเดียว “จะช้าจะเร็วยังไงก็ต้องกลับมา กลับมาช้ากลับมาเร็วก็เหมือนกัน”
หยวนชิงหลิงจ้องมองนาง “หากเขามีความคิดที่จะพึ่งพาตระกูลฉู่ เกรงว่าเขาคงจะไม่พึงพอใจมากนักที่เจ้าช่วยชีวิตพระชายาจี้เอาไว้”
“ผู้ใดอยากให้เขาพอใจกัน?” หยวนชิงหลิงตอบด้วยความเฉยเมย
“ดังนั้นข้าจึงหวังว่าจะให้ยัยหน้ากลมมาอยู่กับเจ้าสักระยะ อย่างไรเสียน้องเจ็ดก็ไม่ได้ชื่นชอบในตัวนางนัก ทางที่ดีให้นางอยู่กับเจ้าจนคลอด ……อ๊า!”
ยังไม่ทันไรเขาก็ส่งเสียงร้องออกมาแล้วมองหยวนชิงหลิงด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาบูดเบี้ยวด้วยความตกใจ
“มีอะไรหรือ?” หยวนชิงหลิงที่ตกใจถึงกับต้องกุมหน้าอกเอาไว้
สายตาของเขาลดลงไปยังตำแหน่งที่เขาวางมืออยู่ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เขา……เขาขยับแล้ว”
หยวนชิงหลิงยิ้มพลางส่ายหน้า : “จะเป็นได้อย่างไร?ข้ายังไม่มีความรู้สึกอะไรเลย อีกอย่างคือต้องมีอายุครรภ์สี่เดือนเด็กถึงจะขยับตัวได้ ตอนนี้ข้าครรภ์ของข้ายังไม่เกินสามเดือนหรอก ?”
“ที่ไหนกัน?ได้สามเดือนครึ่งแล้วต่างหาก” หยู่เหวินเห้ามองนาง นี่เขาอุตส่าห์นับวันตามนิ้วมือเลยนะ เพราะสำหรับเขาแล้วการอดทนมันทรมานเกินไปจริงๆ
เขาวางมือขยับไปมาบนท้องน้อย แล้วรอคอยให้เจ้าเด็กน้อยขยับตัว แต่ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปตรงไหนก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น
จนเกือบทำให้เขาคิดว่าสิ่งที่เกิดเมื่อสักครู่นี้คือภาพลวงตาเสียแล้ว
หยวนชิงหลิงกล่าวขึ้น : “ข้าคิดว่าเขายังไม่เคยขยับตัวมาก่อน เพราะข้าไม่เคยรู้สึกอะไรเลย”
นางใช้มือลูบลงไปบนหน้าท้อง ความจริงแล้วนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้มีอายุครรภ์กี่เดือนแล้ว และหมอหลวงเองก็ไม่เคยแจ้งเวลาที่ถูกต้องเลย จะมีเพียงแต่ท้องที่ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ด้านแม่นมสี่ยังบอกอีกด้วยว่าขนาดท้องดูใหญ่กว่าอายุครรภ์สามเดือนแล้วด้วย
ด้วยสาเหตุที่ประจำเดือนของนางไม่มีความแน่ชัด จึงทำให้ต้องอาศัยการตรวจชีพจรของหมอหลวงเพื่อยืนยันระยะครรภ์เท่านั้น ซึ่งทุกครั้งที่ถามหมอหลวงเฉา เขามักจะมีความคลุมเครืออยู่ทุกครั้ง เพราะความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเช่นกัน
ถึงอย่างนั้นหยู่เหวินเห้ายังคงไม่ยอมปล่อยมือออก เขาลูบไล้ไปเรื่อยๆ เพราะเขาคิดว่าการสื่อสารระหว่างตัวเขาและลูกจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งเป็นแน่
จนกระทั่งเย็น ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่มีการขยับใดๆ ทั้งสิ้น เขาจึงตะโกนด่าด้วยความหงุดหงิด “เจ้าหมูขี้เกียจ!”
ทางด้านอะซี่นั้นเดินทางฝ่าความมืดมายังจวนอ๋องฉีเพื่อพบตัวหยวนหย่งอี้ หยวนหย่งอี้ที่ได้ยินว่าพระชายาฉู่เชื้อเชิญนางให้พรุ่งนี้เข้าวังไปถวายพระพรไท่ซ่างหวงพร้อมกัน นางก็เกิดความปีติยินดีจนนอนไม่หลับ
พอรุ่งเช้าวันต่อมานางก็ตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่เลย พร้อมกับเรียกคนให้จัดเตรียมชุดเสื้อผ้า ก่อนจะเดินออกห้องไปอย่างตื่นเต้น
เมื่อเดินมาถึงประตูหน้าจวน ทางด้านอ๋องฉีเองก็เพิ่งออกมาด้วยเช่นกัน
อ๋องฉีที่เห็นท่าทางมีความสุขของนางแล้วก็อดที่จะถามไม่ได้ : “จะไปไหนกัน?”
หยวนหย่งอี้เชิดคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เข้าวัง”
“เข้าวัง?” อ๋องฉีถึงกับคิ้วขมวด “นี่ก็ไม่ใช่วันสำคัญอะไร เจ้าจะเข้าวังไปทำอะไร ?ผู้ใดเชิญ?แล้วเจ้าไปได้งั้นหรือ?”
หยวนหย่งอี้กดเสียงต่ำลง แต่ไม่อาจสะกดความดีใจที่มีไว้ได้ “พระชายาฉู่ให้ข้าเข้าวังพร้อมกับนาง นางเป็นคนเชื้อเชิญข้า สวรรค์ ข้าดีใจที่สุด จนเมื่อคืนถึงกับนอนไม่หลับเลย”
คิ้วของอ๋องฉียังคงขมวดแน่น “มีอะไรน่าดีใจกัน?ถ้าหากเจ้าอยากเข้าวัง ข้าก็ไปพร้อมกับเจ้าได้เช่นกัน”
“เข้าวังมีอะไรน่าดีใจกัน?” หยวนหย่งอี้หันหน้าพลันจะเดินจากไป
อ๋องฉีรู้สึกว่านางเป็นคนไร้เหตุผลที่สุด “เข้าวังไม่มีอะไรน่าดีใจ แล้วนางดีใจเรื่องอันใดกัน?”
องครักษ์ต้าอานที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “เจ้าอ๋อง สิ่งที่ชายารองหยวนดีใจนั้นไม่ใช่กันได้เข้าวังหรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นเรื่องที่พระชายาฉู่เชื้อเชิญนางต่างหาก”
อ๋องฉีกล่าวขึ้น : “ข้าก็สามารถเชื้อเชิญนางได้เช่นกัน”
ต้าอานส่ายหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : “เจ้าอ๋อง แต่คนที่ชายารองหยวนให้ความสนใจคือพระชายาฉู่ ไม่ใช่เจ้านะพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉีถึงกับอารมณ์ขึ้น “เพราะเหตุใด?นางเป็นชายารองของใครกัน?”
“นางเป็นชายารองของเจ้า แต่เจ้าไม่เคยเหลียวแลนางเลย ถ้าหากพระชายาฉู่เป็นบุรุษ ข้าน้อยคิดว่าชายารองหยวนก็คงจะสานสัมพันธ์กับพระชายาฉู่เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ในใจของอ๋องฉีขมขื่นอย่างมาก เจ้าพี่สะใภ้ห้าจะเกินหน้าเกินตากันไปแล้ว !
หยวนหย่งอี้ที่เดินทางมาถึงจวนอ๋องฉู่ด้วยความปีติยินดี เผอิญพบว่าพระชายาจี้อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน นางจึงเข้าไปแสดงความเคารพ ก่อนจะพูดคุยทักทายสองสามประโยค
“เดินทางเข้าวังพร้อมพระชายาฉู่งั้นหรือ?” คิ้วของพระชายาจี้ขยับเล็กน้อย เมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่นางก็พอที่จะเข้าใจเหตุผลแล้ว
“ก็ดี เล่นให้สนุกแล้วกัน เพราะนางชื่นชอบในตัวเจ้ามาก”
“ชื่นชอบข้า?” หยวนหย่งอี้ยิ้มจนแทบจะฉีกไปถึงหู พร้อมกับร่างกายที่รู้สึกซาบซ่าน “เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือ?”
“จริงสิ” พระชายาจี้ที่ไม่อยากจะพูดคุยด้วยกับนาง เพราะรู้สึกว่านางทำตัวเป็นเด็กเกินไป จนไม่สามารถพูดคุยกันได้ จึงพูดกับนางสองสามประโยคเพื่อเป็นพิธีเท่านั้น
แต่หยวนหย่งอี้กลับมองนางอย่างมีความสุข: “พระชายาจี้ คนข้างนอกล้วนแต่บอกว่าเจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย กลับกลอกไปมา แต่ข้ามองว่าไม่ใช่เช่นนั้นเลย พวกนางล้วนแต่เข้าใจเจ้าผิดไป เจ้าเป็นคนดี ดีจริงๆ !”
พระชายาจี้ที่ได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย นางอยากจะพูดว่าอย่างมาเสแสร้ง แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนางที่ไม่เหมือนกำลังเสแสร้งอยู่
ทำให้ในใจของนางมีความรู้สึกมากมายปนเปกันไปหมด
ใครจะไม่อยากเป็นคนดีกัน?แต่หลายปีมานี้ชื่อเสียงของนางไม่ได้ดีมากนัก จึงไม่มีผู้ใดบอกนางว่าเป็นคนดีอีกเลย
ถึงอย่างนั้นนางก็เคยเป็นดั่งหยวนหย่งอี้ที่ไร้เดียงสาไร้พิษสงเช่นกัน
จากนั้นหยวนหย่งอี้ก็เข้าไปหาหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงที่ได้เห็นความตื่นเต้นบนใบหน้ากลมมนของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หยวนชิงหลิงเดินไปจูงมือของนางแล้วขึ้นรถม้าไปพร้อมกัน หยวนหย่งอี้เอาแต่ก้มหน้าด้วยความประหม่าอย่างมาก มีบางทีที่นางจะแอบชำเลืองมองหยวนชิงหลิงจนใบหน้ากลมมนของนางแดงระเรื่อ
เมื่อเข้ามาในวัง ทั้งสองก็มุ่งหน้าตรงไปยังพระตำหนักฉินคุนทันที
และอย่างที่คาดการณ์ไว้ ทั้งเซียวเหยากงและโสวฝู่ฉู่ต่างก็อยู่ที่นี่ พวกนางที่เดินมาถึงนอกพระตำหนักก็ได้ยินเสียงหัวเราะอันร่าเริงของเซียวเหยากงดังออกมาจากด้านใน
การเดินทางเข้าวังครั้งนี้ หยวนชิงหลิงไม่ได้พาแม่นมสี่มาด้วย จะมีเพียงก็แต่อะซี่และสวีอีที่ติดตามมาด้วยเท่านั้น
ฉางกงกงเดินออกมา เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงและหยวนหย่งอี้ เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม : “พระชายา ชายารองหยวน ทั้งสองไปถวายพระพรแก่ไทเฮาก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ไท่ซ่างหวง โสวฝู่และเซียวเหยากงกำลังเจรจากิจสำคัญอยู่ด้านใน”
หยวนชิงหลิงลองเงี่ยหูฟัง นางซึ่งเป็นคนที่ประสาทด้านการได้ยินนั้นว่องไวเป็นอย่างมาก ฉะนั้นสิ่งที่ด้านในกำลังพูดคุยกันนางล้วนได้ยินอย่างแจ่มแจ้ง
ซึ่งสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ด้านในนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “ดื่ม” “ชน” สองคำนี้
พวกเขากำลังนั่งดื่มสุรากัน!