บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 315 รับโทษ
หยู่เหวินเห้าพูดปลอบว่า “เจ้าอย่าบ่นเลย ไปถึงต่อหน้าเสด็จพ่อ หากเขาได้ยินเจ้าบ่นอยู่ตลอด เขาจะเห็นว่าเจ้าขี้ขลาด”
อ๋องฉีเจ็บปวดจนพูดไม่ออกอยู่แล้ว เดินอยู่อย่างคร่ำครวญโศกเศร้า สุดท้ายทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “พี่ชาย เจ้าแบกเถอะ”
“บาดแผลของเจ้าอยู่ด้านหน้า ข้าแบกเจ้าจะไม่ยิ่งเจ็บปวดหรือ?”หยู่เหวินเห้าเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็หงุดหงิดขึ้นมา ทำไมถึงทนความเจ็บปวดแค่นี้ก็ไม่ได้?
คิดถึงตอนนั้นเจ้าหยวน เข้าวังมาด้วยบาดแผลเต็มตัว แต่ก็สามารถอดทนมาได้ เจ้าเจ็ดยังสู้ผู้หญิงคนหนึ่งก็ไม่ได้
“ปวดกะบังลม ดีกว่าเจ็บแบบนี้”อ๋องฉีหยุดเดิน โบกมืออย่างหมดแรง สีหน้าขาวซีดไปหมด แม้แต่ริมฝีปากก็ไม่มีเลือดฝาด
หยู่เหวินเห้าจึงจำต้องแบกเขา เมื่อแบกขึ้นมา อ๋องฉีก็ร้องเจ็บปวดขึ้นมาอีก
หยู่เหวินเห้าถามขึ้นว่า “ไหวไหม?”
อ๋องฉีหันไปมองมู่หรูกงกงอย่างทรมาน พูดขึ้นด้วยสีหน้าโศกเศร้าว่า “พวกเจ้า ยกข้าไปไหม”
มู่หรูกงกงได้ถามคนที่ออกไปแจ้งราชโองการแล้วว่า หมอหลวงเฉาบอกว่าอาการบาดเจ็บไม่ได้สาหัสขนาดนั้น ตรงหน้าอกยังดี เพียงแต่ตรงหน้าท้องบาดแผลค่อนข้างลึกหน่อย
ดังนั้น เห็นอ๋องฉีเป็นเช่นนี้ มู่หรูกงกงจึงถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “หมอหลวงไม่ได้ตรวจให้อย่างดีหรือ? บาดเจ็บจนส่งผลกระทบถึงระบบภายในหรือเปล่า?”
อ๋องฉีสูดลมหายใจเข้า พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงระบบภายใน”
มู่หรูกงกงเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ยากที่จะไปต่อจึงพูดขึ้นว่า “งั้นก็ได้ งั้นก็หามไปเถอะ”
ไม่มีเสลี่ยง ไม่มีไม้หาม เมื่อต้องหามกันไปคนหนึ่งยกไหล่ อีกคนหนึ่งยกขาทั้งสองข้าง ส่วนหัวสมองห้อยลง ปากยังต้องคาบไม้ตะเกียงโคมไฟไว้
แต่ก็ยังดีกว่าต้องเดินไปด้วยตนเอง
อ๋องฉีมองดูท้องฟ้าที่มืดมิด แสงไฟจากตะเกียง ไม่เพียงพอที่จะส่องสว่างพระราชวังในยามค่ำคืน
เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างอยู่คนละโลก
ไม่รู้ว่าทำไมเดินๆอยู่ แล้วทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้
ในใจยังคงทรมานอย่างมาก
โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงสุดท้ายตนเองต้องบาดเจ็บไปทั้งตัว นางยังเข้าวังไปฟ้องร้องก่อน
“ท่านอ๋อง ท่านเดินช้าหน่อย ทางกระหม่อมเดินไม่ค่อยทัน”มู่หรูกงกงรับผิดชอบยกตรงไหล่ หัวสมองของอ๋องฉีตีถูกตรงเป้าของเขาอยู่ตลอด จะเดินเร็วก็ไม่ได้ จะเดินช้าก็ไม่ได้
หยู่เหวินเห้าหยุดเดิน พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ เดินแบบนี้เหนื่อยยิ่งกว่า เจ้าเจ็ด เจ้าอดทนหน่อย ให้ข้าแบกเจ้าไป”
เขาพูดเสร็จ แล้วก็ยกอ๋องฉีขึ้นมา มือข้างหนึ่งจับตรงก้นไว้ มือข้างหนึ่งจับตรงเอวไว้ ฝีเท้าเดินเหินด้วยวิชาตัวเบา บินลอยไปอย่างรวดเร็ว
บินลอยมาตลอดทาง จนมาถึงห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้หมิงหยวนเดินออกมายึดเส้นยึดสายพอดี แล้วก็มองเห็นเขาหามอ๋องฉีมาถึง
เขารีบวางอ๋องฉีลง แล้วถวายบังคม ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูเขาอย่างเรียบเฉย พร้อมพูดขึ้นว่า “คุกเข่าอยู่แบบนี้ พร้อมทั้งหามเขาไว้ ไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามวางลงมา”
มือของหยู่เหวินเห้าปวดเมื่อยจนชา เดิมคิดว่าในที่สุดก็จะสามารถวางไม่ลง กลับคิดไม่ถึงว่า เมื่อมาถึงเสด็จพ่อก็มีคำสั่งเช่นนี้ ไม่กล้าไม่ทำตามเสียด้วย
เขาจึงทำได้เพียงคุกเข่าลงอย่างสั่นเทา มือทั้งคู่ยังคงหามอ๋องฉีไว้
อ๋องฉีต้องนอนราบ มือของเขาก็ไม่สามารถขยับได้ จะต้องรักษาท่านิ่งไว้อย่างมั่นคง
แต่คุกเข่าพร้อมทั้งหามไว้ จะเหนื่อยขนาดไหน?
อ๋องฉีที่ถูกหามไว้ เพราะเจ็บตรงหน้าท้อง เท้าทั้งคู่กับศีรษะจึงต้องห้อยลง เพื่อไม่ให้ไปกดตรงบริเวณหัวหน่าวของช่องท้อง เท้าทั้งคู่ของเขา ห้อยอยู่เช่นนี้อยู่ตรงหน้าหยู่เหวินเห้า ที่ใกล้ยิ่งกว่าเท้าทั้งคู่ คือโหนกก้นทั้งสองข้าง แทบจะห้อยอยู่ตรงหน้าผากของเขาแล้ว
ในใจหยู่เหวินเห้าคิด เคราะห์ร้ายจริงๆ
ฮ่องเต้หมิงหยวนเดินเล่นอยู่ในลาน ยืดเส้นยืดสาย ส่วนมู่หรูกงกงเดินตามอยู่ด้านหลัง หันไปมองหยู่เหวินเห้ากับอ๋องฉีอย่างเป็นห่วง
หยู่เหวินเห้าของ ยิ่งอยู่ยิ่งต่ำลง ร่างกายแทบจะทรุดลงแล้ว
เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไปแล้ว
เวลาธูปหนึ่งดอกผ่านไปแล้ว
เขานอนราบครึ่งตัวอยู่บนพื้น โค้งหลังงอ ใช้แรงตรงส่วนหัวกับแผ่นหลังประคองร่างของอ๋องฉีไว้ แต่มือทั้งคู่ยังคงยกประคองไว้ วางลงไม่ได้
เขาหายใจอย่างหอบเหนื่อยมากแล้ว
ส่วนอ๋องฉีก็รู้สึกว่าช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดในชีวิตก็คือช่วงเวลานี้ ส่วนที่ถูกฉู่หมิงชุ่ยทำร้ายจิตใจ ดูไม่มีความหมายขนาดนั้นแล้ว หวังเพียงให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปให้เร็วที่สุด
ในที่สุด ฮ่องเต้หมิงหยวนเดินกลับมาถึงตรงหน้าบันได พร้อมพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “เข้ามาสิ”
หยู่เหวินเห้าล้มนอนราบไปข้างหน้า มือทั้งสองข้างปล่อยลง ไม่สนใจว่าอ๋องฉีจะหล่นลงมาหรือไม่ ไม่ว่ายังไงมือทั้งคู่ก็ไร้ความรู้สึกแล้ว อ๋องฉีเลื่อนไหลลงมา ยังคงทับอยู่บนตัวเขา แต่ในที่สุดก็สบายตัวขึ้น
พักอยู่สักพัก ทั้งสองพี่น้องช่วยประคองกันก้มหัวเดินเข้าไป
หลังจากเข้าไป ฮ่องเต้หมิงหยวนได้นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรแล้ว เขาตบโต๊ะพร้อมตะคอกพูดขึ้นว่า “คุกเข่า”
“ตุบ”เข่าทั้งสี่คุกเข่ากระแทกพื้น
แววตาฮ่องเต้หมิงหยวนเคร่งขรึม พูดกับหยู่เหวินเห้าอย่างโมโหก่อนว่า “ด้านนอกพูดกันว่าเจ้ากับพระชายาอ๋องฉีแอบเป็นชู้กัน ตกลงเป็นยังไงกันแน่?”
หยู่เหวินเห้าได้ยินเช่นนี้ แล้วก็เห็นมู่หรูกงกงถูกสั่งให้ไปเฝ้าอยู่ด้านนอก ก็รู้แล้วว่าคืนนี้เป็นกากพูดคุยกันระหว่างพ่อลูก ไม่ใช่ราชากับสามัญชนคุยกัน
เขาพูดขึ้นอย่างน่าสงสารว่า “ลูกไม่ได้กระทำเช่นนั้น”
อ๋องฉี ก็ช่วยเขาพูดอธิบายว่า “เสด็จพ่อ พี่ห้าไม่ได้กระทำจริงๆ”
“เจ้ายังจะพูดอีก?” ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “คำพูดนี้ภรรยาของเจ้าพูดออกมาเอง บอกว่านี่คือข้อกล่าวหาของเจ้า”
อ๋องฉีไม่ตกใจและก็ไม่เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว เขาพูดอธิบายขึ้นว่า “เสด็จพ่อ ลูกไม่เคยพูดจาแบบนี้เลย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูทั้งสองคน แล้วก็ค่อยโล่งอก
พร้อมทั้งพูดขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ตอนนี้กลับมาพูดว่าไม่มีอะไร? ทำไมวันนี้ถึงได้มากล่าวหาพี่ห้าของเจ้าแบบนั้น?”
“ลูกไม่ได้พูดจริงๆ”อ๋องฉีพูดขึ้น
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ฟังเขาเลย หันไปมองหยู่เหวินเห้าอย่างเยือกเย็น พร้อมพูดขึ้นว่า “คำพูดนี้ถูกเล่าออกไป คนอื่นไม่เชื่อว่าไม่มีมูล หากเจ้ากระทำทุกอย่างถูกต้อง คนอื่นจะใส่ร้ายเจ้าได้อย่างไร? เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้ายอมรับในความโชคร้าย พร้อมพูดขึ้นว่า “ลูกสำนึกผิด”
“เอาตัวไป โบยคนล่ะสิบที เห็นแก่ที่อ๋องฉีได้รับบาดเจ็บ อ๋องฉู่รับโทษแทน”ฮ่องเต้หมิงหยวนออกคำสั่ง
อ๋องฉีมองดูหยู่เหวินเห้าอย่างรู้สึกผิดและเห็นใจ เรื่องที่ถูกโบยนี้ เขาไม่กล้าพูดมาก ตนเองรับไม่ไหว
หยู่เหวินเห้าคิดไม่ถึงว่าพูดคุยถามไถ่เพียงไม่กี่คำ ก็ลงโทษโบยเลย ในใจยอมรับในความโชคร้ายอีกครั้ง
เขาถูกลากตัวออกไป อ๋องฉีก็ถูกพาตัวไปดูอาการบาดเจ็บที่ตำหนักตงหน่วน
หยู่เหวินเห้าถูกโบยเสร็จยี่สิบทีอย่างรวดเร็ว แล้วก็ถูกลากพากลับมาคุกเข่าในห้องทรงพระอักษร
ตำหนักถูกปิดสนิท
แสงสว่างส่องสว่างไสว ส่องใบหน้าหยู่เหวินเห้าขาวซีดเหมือนอ๋องฉีเมื่อกี้
“รู้ไหมว่าทำไมข้าต้องลงโทษเจ้า?”น้ำเสียงฮ่องเต้หมิงหยวนอ่อนโยนลงมาก
“ลูกกระทำตัวไม่เหมาะสม”หยู่เหวินเห้าค่อนข้างโมโห ไม่ให้โอกาสได้อธิบาย ก็สั่งโบยลงโทษเลย
“ที่โบยเจ้า เป็นการโบยให้น้องเจ้าดู” ฮ่องเต้หมิงหยวนเดินลงมา ประคองเขาด้วยตนเอง มองดูเขาพร้อมพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “คำพูดแบบนี้ไม่ว่าใครเป็นคนพูดออกมา ต่อไปยังไงก็จะต้องรู้ไปถึงหูของน้องชายเจ้า ตอนนี้เขาไม่ใส่ใจ ใช่ว่าต่อไปเมื่อมีคนพูดมากขึ้นแล้วเขาจะไม่ใส่ใจ เจ้าถูกโบยเสียก่อน ในใจของเขาก็จะรู้สึกผิดต่อเจ้า เพราะเขารู้ว่า คำพูดนี้เป็นฉู่หมิงชุ่ยพูดแต่งขึ้นมาเองตั้งแต่แรก”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อ นี่ท่านใช้อุบายเจ็บกายหรือ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “คนที่ทุกข์ไม่ใช่ข้า เจ็บไหม?”
หยู่เหวินเห้ายื่นมือไปจับด้านหลัง พร้อมพูดขึ้นว่า “มหาดเล็กลงมือเบาไป ไม่ค่อยเจ็บ”
น้ำเสียงฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นอย่างค่อนข้างอ่อนโยนว่า “อืม ออกไปรับโทษอีกยี่สิบที”
หยู่เหวินเห้าสั่นคลอนอย่างรุนแรง แทบจะอ้วกออกมาเป็นเลือด ถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เสด็จพ่อท่านจริงจังจริงๆหรือ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ไม่อยากรับยี่สิบทีนี้ งั้นก็ไปคิดหาวิธี เลิกร้างกับฉู่หมิงชุ่ยอย่างเต็มใจทั้งสองฝ่าย โดยไม่ทำให้เสียหน้าโสวฝู่ฉู่ ยี่สิบทีนี้ยกเว้นได้”