บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 326 คนที่กำลังสิ้นหวัง
ผู้คนในห้องโถงต่างรู้สึกขนพองสยองเกล้า พระชายาซุนจึงรีบพูดกับอะซี่ว่า “อะซี่ เจ้ามีฝีมือศิลปะการต่อสู้ เจ้ารีบตามนางไป อย่าให้นางวางเพลิงได้”
เดิมทีอะซี่อยากจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลปกป้องหยวนชิงหลิง แต่ว่า ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นวางเพลิงจริงๆ ถึงแม้จะมีการป้องกันอย่างใกล้ชิดมันก็อันตรายอยู่ดี นางจึงตอบรับแล้วตามออกไป
เดิมทีทหารจวนอ๋องซุนก็ไม่พออยู่แล้ว ตอนนี้พวกเขาล้วนออกไปช่วยดับเพลิงกันหมด คนในจวนที่เหลือล้วนไม่มีฝีมือการต่อสู้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผู้หญิงที่อยู่เต็มห้องก็จะตกอยู่ในอันตราย
ในใจของหยวนชิงหลิงเต้นตึกๆขึ้นมาทันที นางลุกขึ้นแล้วรีบเดินไปพูดกับอะซี่ว่า “เร็ว เรียกคนไปปิดประตูใหญ่ก่อน”
อะซี่เห็นถึงสายตาที่บ่งบอกถึงความอันตรายของนาง จึงรีบวิ่งออกไปปิดประตู
พระชายาซุนก็ลุกขึ้นยืนในทันที พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“มีคนหลายคนกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางพวกเราอย่างรวดเร็ว” หยวนชิงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น หูของนางรับรู้เร็วมาก สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าที่ผิดปกติเหล่านี้
เจ้าหญิงและผู้หญิงที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “อะไร?”
พระชายาซุนพูดปลอบขึ้นว่า “ทุกคน ใจเย็นๆก่อน ข้าจะออกไปดู”
นางรีบเดินออกไป อะซี่ได้ปิดประตูใหญ่เรียบร้อยแล้ว และสั่งให้ลูกน้องปิดประตูหลังและประตูด้านข้างให้ดี
“อะซี่ รีบตามไปดูฉู่หมิงชุ่ย จับตาดูนางให้ดี ถ้าหากนางมีพฤติกรรมที่ออกนอกลู่นอกทางให้จับตัวนางไว้”
“ได้ ข้ารู้แล้ว” อะซี่รีบไปหาฉู่หมิงชุ่ยทันที
พระชายาซุนมองไปรอบๆด้วยความระแวดระวัง ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับแขกที่จวนอ๋องซุนขึ้นมา นางคงรับผิดชอบไม่ไหว
นางเรียกผู้ดูแลบ้านมาหา สั่งให้เขานำลูกน้องทั้งหมดมารวมตัวกันในห้องโถง
แขกที่มาในงานเลี้ยงล้วนเป็นคนในราชวงศ์หรือเครือญาติเหล่าขุนนาง ยังมีแขกบางคนที่รอจนถึงงานเลี้ยงตอนค่ำถึงค่อยมา
ดังนั้นตอนนี้มีคนประมาณ สามสิบคนมารวมตัวกันในห้องโถง ในจำนวนนั้นมีเด็กห้าคนอยู่ด้วย
ความปลอดภัยของคนเหล่านี้นางต้องรับผิดชอบ เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงสั่งให้คนสองสามคนคอยคุ้มกันที่ทางเข้าหลักเพื่อรักษาความปลอดภัย
เมื่อนางหันมามองก็เห็นผู้หญิงคนที่มากับอ๋องเว่ยเดินตามอยู่ด้านหลัง นางจึงพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้าเข้าไปนั่งในห้องโถงเถอะ ข้าเกรงว่าหากเกิดอันตรายขึ้น ข้าไม่รู้ว่าจะพูดกับเจ้าสามยังไง”
กู้จือถามขึ้นว่า “มีอะไรให้ข้าช่วยได้บ้างไหม?”
“ไม่ต้อง” พระชายาซุนพูดขึ้นเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปข้างใน
กู้จือตามไป แล้วเข้าไปข้างใน แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ค่อยๆเดินถอยหลังออกมา
ทุกคนคิดว่านางคงรู้ถึงสถานะที่ไม่ชัดเจนของตน จึงไม่สนใจนาง อันที่จริงแล้วช่วงสำคัญแบบนี้ ไม่มีใครคิดถึงความรู้สึกของนางหรอก
แต่เจ้าหญิงฉินผิงกลับพูดดุด่าอย่างรุนแรงขึ้นว่า “โสเภณี”
กู้จือหันไปมองเจ้าหญิงฉินผิง ด้วยดวงตาที่เขียวปัด
เจ้าหญิงฉินผิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “มองอะไร ไม่ได้พูดถึงเจ้าสักหน่อย”
หยวนชิงหลิงที่ได้เสียงเอะอะจากข้างนอก ได้ยินถึงเสียงที่โมโหของเจ้าหญิงฉินผิงจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าหญิง ช่างเถอะ นี่เป็นเรื่องภายในบ้านของอ๋องเว่ย ที่สำคัญที่นี่คือจวนอ๋องซุน ไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้”
เดิมทีเจ้าหญิงฉินผิงคิดที่ดุด่ากู้จือสักหน่อย พอได้ฟังคำพูดของหยวนชิงหลิงแล้ว จึงคิดได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะ จึงพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้ายั้งสติไม่อยู่”
หยวนชิงหลิงช่วยกู้จือแก้หน้าให้ นางก็เพียงแค่เหลือบมองดูหยวนชิงหลิง จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป
อะซี่เจอฉู่หมิงชุ่ยที่ลานบ้าน
ฉู่หมิงชุ่ยนั่งบนม้านั่งหินพร้อมกับถือกิ่งดอกเหมยไว้ในมือ เป็นกิ่งดอกเหมยที่ยังไม่บาน ล้วนเป็นดอกที่ตูมทั้งนั้น
อะซี่ยืนอยู่ข้างหลังนาง จ้องมองเฝ้าดูนางอย่างไม่พูดไม่จา
ฉู่หมิงชุ่ยยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “อะซี่ เจ้ากลัวอะไร? กลัวว่าข้าจะจุดไฟจริงๆหรือ?”
อะซี่พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เจ้าจุดมันไม่ได้หรอก”
“แล้วเจ้ามายืนทำอะไรอยู่ที่นี่” ฉู่หมิงชุ่ยหันกลับไปมองนาง ยิ้มอย่างสดใส แต่ในสายตาของอะซี่แล้ว กลับดูเหมือนเป็นคนที่บ้าคลั่ง
อะซี่พูดขึ้นว่า “ดูทิวทัศน์ ทิวทัศน์ที่นี่สวยดี”
ตอนนี้ประตูจวนปิดแล้ว ในจวนก็มีแค่ฉู่หมิงชุ่ยคนเดียวที่ต้องป้องกัน เพียงแค่จับตามองนางให้ดีก็พอ
ฉู่หมิงชุ่ยมองไปที่ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งที่อยู่ข้างหน้า พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ สิ่งต่างๆ เหี่ยวเฉาไป เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ”
นางตบม้านั่งหินข้างๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “นั่งลงสิ ยืนเมื่อยนะ”
อะซี่ยืนกอดอกไม่สนใจนาง
ฉู่หมิงชุ่ยยิ้มและก็ไม่สนใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “อะซี่ เจ้ารู้ไหมว่าคนที่หมดหวังเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง”
อะซี่มองดูนางอย่างระแวดระวัง
ฉู่หมิงชุ่ยถอนหายใจเบา ๆ เอื้อมมือไปจับมวยผม พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่คิดว่าข้าจะมาถึงจุดนี้ ขนาดฝันยังไม่เคยคิดเลย เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ข้ายังเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลฉู่ที่ใครๆก็อิจฉา ที่เดิมทีต้องแต่งงานเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกอ๋องฉี แต่เลือกอ๋องฉีก็ดีเหมือนกัน เขาเป็นโอรสของฮ่องเต้กับฮองเฮา เมื่อเขาได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ข้าก็เป็นพระชายาขององค์รัชทายาทเช่นกัน ในอนาคตยิ่งมีโอกาสที่จะได้เป็นฮองเฮา ที่ทั้งสูงส่งและสูงศักดิ์”
อะซี่พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เจ้ามันได้คืบจะเอาศอก ทะเยอทะยานเกินไปแล้ว”
“ใช่ ทะเยอทะยานมากเกินไป” ฉู่หมิงชุ่ยเอียงศีรษะครุ่นคิดสักครู่ แล้วส่ายหัวพูดขึ้นว่า “แต่ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ปัญหาของความทะเยอทะยาน คนทุกคนย่อมล้วนมีความทะเยอทะยาน หยวนชิงหลิงไม่มีความทะเยอทะยานหรือ? อะซี่ เจ้าไม่มีความทะเยอทะยานหรือ? พวกเจ้าล้วนต่างมี นั่นมันไม่ได้เรียกว่าความทะเยอทะยาน เรียกว่าแสวงหา ข้าล้มเหลว เป็นเพราะข้าเลือกผิด ข้าดูผิดไปแล้ว”
อะซี่กลอกตามองบน พร้อมพูดขึ้นว่า “นั่นมันคือสิ่งที่เจ้าเลือกเอง”
ฉู่หมิงชุ่ยโบกกิ่งดอกเหมยในมือเบาๆ ดอกตูมของดอกเหมยร่วงหลุดลงสองดอกแต่ยังไม่ทันที่จะตกถึงพื้นก็ถูกลมพัดหายไป นางพูดขึ้นว่า “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า ว่าคนคนหนึ่งเมื่อหมดหวังแล้วสามารถทำอะไรได้บ้าง”
อะซี่มองไปรอบๆ เป็นห่วงหยวนชิงหลิงอย่างมาก แต่คิดดูแล้วฉู่หมิงชุ่ยอยู่ที่นี่ ในจวนไม่มีใครเป็นคนของนาง ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
และนางก็อยู่ที่นี่พูดคุยกับฉู่หมิงชุ่ย ช่วยยืดเวลาออกไป ยืดเวลาจนกว่าท่านอ๋องจะกลับมา
ดังนั้น นางจึงพูดอย่างเฉยชาว่า “ข้าไม่คิดว่าเจ้าหมดหวัง แม้ว่าเจ้าจะหย่า เจ้ายังสามารถกลับบ้านของเจ้าได้”
ฉู่หมิงชุ่ยหัวเราะขึ้นมา ดวงตาเต็มไปด้วยความขมขื่น “ใช่ ข้ายังสามารถกลับไปที่บ้านพ่อแม่ของข้าได้ แต่จากนี้ไป ข้า ฉู่หมิงชุ่ยคืออะไรล่ะ คือภรรยาที่ถูกทอดทิ้งแล้ว มันเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าข้าเสียอีก”
นางลุกขึ้นอย่างช้าๆ หันกลับมามองอะซี่ด้วยรอยยิ้มแต่กลับดูเศร้า พร้อมพูดขึ้นว่า “ฉะนั้น เมื่อคนคนหนึ่งหมดหวังแล้ว ก็มีเพียงความตายเพียงทางเดียว ตอนนี้ข้ากับเขายังไม่ได้หย่ากัน ข้ายังคงเป็นพระชายาฉี หากข้าตายตอนนี้ ข้ายังเป็นวิญญาณของราชวงศ์ วันนี้เป็นวันดีนิ เขาตาย ข้าก็ตาย ฉลองวันเกิดให้กับท่านพี่รองพอดีเลย”
มีแสงเย็นวาบขึ้นมาตรงหน้านาง พร้อมกับหยิบมีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อ
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ อะซี่จึงพูดขึ้นด้วยความตกใจว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ฉู่หมิงชุ่ยลูบมีดสั้นเบาๆ จากนั้นมองไปยังอะซี่ พร้อมพูดขึ้นว่า “บอกหยวนชิงหลิงแทนข้าด้วย ว่าข้าไม่ได้เกลียดนาง ทุกสิ่งที่ข้าทำในวันนี้เป็นเพราะข้าหาเรื่องใส่ตัว ข้าเลือกผิด ทำผิด ดังนั้นข้าต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำทั้งหมดนี้”
อะซี่จ้องมองไปที่นาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าวางมีดสั้นลง เจ้าคิดจะทำอะไร?”
แม้ว่าอะซี่ต้องการอยากจะให้นางตาย แต่ที่นี่คือจวนอ๋องซุน วันนี้เป็นวันเกิดของอ๋องซุน หากนางตายอยู่ที่นี่ อ๋องซุนจะโชคไม่ดีจริงๆ
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าล้วนเกลียดข้า ข้าตายไป พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีก นำคำอีกคำของข้าไปบอกอ๋องฉู่ ชีวิตนี้มันจบแล้ว ชาติหน้าหวังว่าข้าคงจะไม่ผิดอีก”
น้ำตาสองหยดได้ไหลออกจากดวงตาผ่านใบหน้าที่ขาวสะอาดและอ่อนโยน และหยดลงสู่พื้นดินอย่างเงียบ ๆ
นางยกมีดสั้นขึ้นและค่อย ๆ จ่อไปที่คอของตัวเอง