บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 332 ไม่บอกใครนอกจากเขา
เขายื่นมือออกไปกอดนางไว้ พูดเบาๆว่า “อย่าขยับ นอนนิ่งๆดีๆ สักพักก็ไม่เจ็บแล้ว”
หยวนชิงหลิงมองเข้าไปในดวงตาที่ลึกล้ำของเขา จึงนึกถึงอะซี่ขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน รีบถามขึ้นว่า “อะซี่เล่า ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “นางได้รับบาดเจ็บบริเวณท้อง แต่ว่าอาการไม่ได้รุนแรงนัก ได้ส่งกลับจวนหยวนไปแล้ว ”
“หมันเอ๋อเล่า”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่รู้”
“ช่วยนางให้สุดกำลัง ”หยวนชิงหลิงกุมมือของเขาเอาไว้ เส้นผมกระจายเต็มหมอน ปลายผมยังมีคราบเลือดติดอยู่ “ถ้าหากไม่ใช่นาง ข้าคงตายไปนานแล้ว ”
แววตาของเขายิ่งลึกขึ้น เอ่ยเสียงแหบว่า“เจ้าวางใจ นางจะไม่เป็นไร นางเป็นคนมีวรยุทธ์ พื้นฐานดีกว่าเจ้า และได้รับบาดเจ็บในจุดที่ไม่สำคัญนัก เพียงแต่ให้แรงมากไปเท่านั้น พักแล้วก็คงไม่เป็นไร ”
หยวนชิงหลิงทิ้งหัวที่หนักอึ้งลงไป หันมามองเขา ใบหน้าขาวซีดของนางตื่นตระหนกจนมีสีเลือดจางๆผุดขึ้นเล็กน้อย “ฉู่หมิงชุ่ยเล่า ”
เขาใช้นิ้วกวาดผ่านริมฝีปากของนาง แววตาเยือกเย็น “นางฆ่าคนไปตั้งมากมาย แน่นอนว่าต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ”
“แล้วโทษของนาง จะตัดสินอย่างไร ”หยวนชิงหลิงถาม
“ตายน่ะต้องตายแน่ แต่ต้องดูว่าตายอย่างไร ”หยู่เหวินเห้าพูดได้นุ่มนวลยิ่งนัก
หยวนชิงหลิงมองเขา “ท่านจะสอบสวนเองหรือ”
“กรมการพระนคร เป็นหน้าที่ข้าจะผลักภาระให้ผู้อื่นมิได้”
“นางกับท่าน……”หยวนชิงหลิงครุ่นคิด ไม่พูดดีกว่า
แววตาของเขายังคงเยือกเย็น “ข้ากับนางไม่มีความรู้สึกใดๆให้ต้องรำลึกแล้ว ใครจะว่าอย่างไร ก็เรื่องของเขา ปากนั้นอยู่กับผู้อื่น ข้าควบคุมไม่ได้ ”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้กลัวว่าคนอื่นจะพูดถึงท่านว่าอย่างไร นางผิดย่อมต้องได้รับโทษ ข้าแค่เกรงว่าท่านจะไม่สบายใจเสียเอง เพราะว่า พวกท่านก็เคยคบหากันมาก่อน ”
“ข้าไปคิดถึงเรื่องเก่าๆทำไม แค่คิดเพียงนิดเดียว ก็รู้สึกผิดต่อเจ้าแล้ว ยิ่งกว่านั้นคือ ข้าไม่มีความรู้สึกอะไรตั้งนานแล้ว ”หยู่เหวินเห้ากดทับมุมผ้าห่มเอาไว้ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ สนใจแต่ดูแลรักษาตัวเองเถอะ”
หยวนชิงหลิงขยับแขน ถอนหายใจพูดว่า “บาดแผลที่ขานั้นไม่เจ็บ แต่แขนนี่สิ ตรงที่นางกัด ยังเจ็บอยู่เลย ”
หยู่เหวินเห้ามองนางด้วยสายตาเจ็บปวด
เขาช่วยเจ็บปวดแทนนางไม่ได้ ทำได้แต่ระบายความแค้นแทนนาง
ตอนที่ส่งฉู่หมิงชุ่ยถึงบ้านนั้น ก็เหลือลมหายใจแผ่วเบาแล้ว
องครักษ์ลับผีเป็นคนส่งกลับไปเอง ได้บอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดต่อโสวฝู่ฉู่ โสวฝู่ฉู่ไม่พูดอะไร เพียงแค่ให้พวกเขาวางฉู่หมิงชุ่ยไว้ที่ลานบ้าน ปล่อยไปตามยถากรรม
คนอื่นๆในจวนต่างก็ไม่รู้ว่าฉู่หมิงชุ่ยไปกระทำการผิดอะไรมา ได้แต่คิดว่านางคงถูกรังแกจากจวนอ๋องฉีมา แต่ว่า ก็มีคนไม่น้อยที่รู้ว่าจวนอ๋องฉีนั้นไฟไหม้ จนไม่เหลืออะไรแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือมีคนคาดเดาว่านางเป็นคนวางเพลิงจนถูกทำร้ายถึงเพียงนี้
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครขอร้องแทนฉู่หมิงชุ่ย
โดยเฉพาะ ฉู่หมิงหยางที่จะเป็นเจ้าสาวในวันพรุ่งนี้ เพียงแค่เดินมาดูอย่างเฉยเมย แล้วก็จากไป
ฉู่หมิงหยางนั้นหลังจากที่ท่านแม่ตายไป ก็เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้อง ตกใจจนไม่สบาย หลังจากดีขึ้นแล้ว ก็ต้องยอมรับความจริงเรื่องที่ตนต้องแต่งไปเป็นพระชายารองของอ๋องจี้โดยปริยาย
เพราะว่าจะถึงงานมงคลของฉู่หมิงหยางอยู่รอมร่อแล้ว ฉะนั้นในจวนทั้งนายและบ่าวต่างก็ยุ่งวุ่นวายในการแต่งบ้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น ฉู่หมิงชุ่ยนอนอยู่บนแคร่ไม้ที่ทำขึ้นชั่วคราวในลานบ้าน รอเวลาสิ้นใจ รอบบ้านเต็มไปด้วยสีแดงแห่งความเป็นมงคล ได้ส่องกระทบมาที่ดวงตาอันสิ้นหวังของนาง ทำให้เกิดภาพเปรียบเทียบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในลานบ้านนั้นหนาวเหน็บ มีคนเอาผ้าห่มมาให้ฉู่หมิงชุ่ย ถ้าไม่ผ่านการรักษามาก่อน นางคงตายไปนานแล้ว
ตอนนี้เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย มากสุดก็มีชีวิตอยู่ได้อีกวันสองวัน
ฉู่หมิงชุ่ยนอนอยู่ตรงนั้น ร่างสั่นเท่า นางไม่ได้เจ็บมาก เพราะว่าองครักษ์ลับผีได้ให้นางกินน้ำจื่อจินแล้ว น้ำจื่อจินสามารถรักษาชีวิตนางเอาไว้ได้ชั่วขณะ
ในสมองนาง นางค่อยๆไล่เรียงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาในหัว ความทรงจำยังคงหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มรูปงามที่เปล่งประกายอยู่ใต้แสงอาทิตย์คนนั้น จิตใจนางล่องลอยไป แต่ไม่สามารถตามกลับมาได้อีกแล้ว
ทังหยางมาถึงจวน ก็เข้าไปคุยกับโสวฝู่ฉู่ก่อน โสวฝู่ฉู่ได้ยินข้อเสนอของอ๋องฉู่แล้ว เหลือบดวงตาที่คมกริบมองไปที่ทังหยาง “เขาทำเช่นนี้ ก็เหมือนนำภัยเข้าตัวด้วย เจ้ากลับไปบอกเขา เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง ขุนนางทั้งราชสำนัก จะไม่มีใครติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อีก แต่ คนที่สมควรตายก็ต้องตาย ”
ทังหยางเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านโสวฝู่ เรื่องนี้ท่านคิดว่าพระชายาฉีทำคนเดียวได้หรือไม่ ”
โสวฝู่ฉู่อึ้งไปเล็กน้อย ค่อยๆหลุบตาลง ความสง่างามบนร่างหายไปจนสิ้น“เข้าใจแล้ว ให้คนมาเอาตัวไปแล้วกัน ”
ทังหยางยกมือขึ้นมาคำนับ แล้วก็ถอยออกไป
ตอนค่ำ คนของกรมการพระนครได้มาเอาตัวฉู่หมิงชุ่ยไป
ในคุกของกรมการพระนคร มืดมิดอับชื้น
ฉู่หมิงชุ่ยได้รับการดูแลไม่เลวนัก สามารถนอนอยู่ในคุกที่ห้องค่อนข้างมีแสงสว่าง เพราะดวงไฟในคุกนั้น ล้วนถูกฝังไปในรูเล็กๆบนกำแพง ใช้ไม้ขัดสนในการเผาไหม้ให้เกิดแสงสว่าง
แสงไฟที่พลิ้วไหว อยู่ตรงหน้าห้องขังของฉู่หมิงชุ่ยนั่นเอง สามารถส่องให้เห็นใบหน้าขาวซีดและดวงตาว่างเปล่าของนางได้อย่างดี
หลังจากที่นางเข้ามาอยู่ในห้องขัง ก็ได้แต่เบิกตากว้างอ้าปากเพื่อสูดลมหายใจ ราวกับปลาทองที่ใกล้จะตายแล้ว
ผู้ช่วยเจ้ากรมเข้ามาสอบสวน แต่ว่า นางก็เพียงเหลือบสายตาขึ้นมามองผู้ช่วยเจ้ากรมชั่วครู่ พูดว่า “ข้าจะไม่พูดอะไร นอกจากหยู่เหวินเห้าจะมาด้วยตนเอง ”
ผู้ช่วยเจ้ากรมกลับไปรายงานหยู่เหวินเห้า
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ไม่รีบ ปล่อยนางเอาไว้ก่อน”
ผู้ช่วยเจ้ากรมเกรงว่านางจะตาย หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ไม่ตายหรอก น้ำจื่อจินสามารถช่วยพยุงนางได้อีกสองสามวัน ”
ผู้ช่วยเจ้ากรมถอยออกไป
สวีอีไม่เข้าใจว่าทำไมหยู่เหวินเห้าต้องปล่อยทิ้งไว้ไม่สนใจด้วย หยู่เหวินเห้าพูดเรียบๆว่า “ อ๋องจี้จะแต่งพระชายารองแล้ว จะให้เรื่องอัปมงคลนี้ทำให้เสียบรรยากาศฉลองมงคลได้อย่างไร ”
“ช่วงนี้อ๋องจี้ดูจะสงบเรียบร้อยขึ้นมาก ”สวีอีพูด
สงบเรียบร้อย มุมปากของหยู่เหวินเห้ามีรอยยิ้มเยาะผุดขึ้น
ไต่สวนฉู่หมิงชุ่ย แม้ว่าจะได้ความอย่างไรก็ตาม ก็คงไม่มีหลักฐานอะไรที่แน่ชัด
แต่เขาจะใช้ปากคำในการถวายรายงาน
คืนนี้ มีคนหลายคนที่นอนไม่หลับ
คนตระกูลหยวนนั้นมีความโมโหอยู่เต็มอก หากไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะทำอ๋องฉู่เสียเรื่อง ฮูหยินแก่ตระกูลหยวนคงไปคิดบัญชีกับตระกูลฉู่นานแล้ว
อาการบาดเจ็บของอะซี่นั้นค่อนข้างร้ายแรง เสียเลือดไปมาก แม้ว่าคนจะได้สติตื่นมาแล้ว แต่ว่าก็อ่อนแอมาก อย่างน้อยคงต้องพักรักษากว่าครึ่งเดือน
ฮูหยินเฒ่าตระกูลหยวนเจ็บใจที่หลานสาวเกือบเอาชีวิตไม่รอด แล้วก็ยังเจ็บใจแทนหลานสาวกับหลานเขยที่เกือบจะถูกเผาตาย คืนนี้แม้แต่ข้าวก็ไม่ยอมกิน ให้คนในตระกูลหยวนทั้งหมดเขียนหนังสือฎีกา
จวนอ๋องฉีถูกไฟไหม้ไปแล้ว
อ๋องฉี๋ไร้ที่พำนัก ต้องอยู่ในจวนอ๋องซุนเป็นการชั่วคราว ขาของเขาได้รับบาดเจ็บการจากถูกไฟลวก ส่วนอื่นๆก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ว่าบ่าวรับใช้ในจวนอ๋องฉีที่ตายจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้มีทั้งหมดหกคน บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลเขาทั้งสองคนก็ตายอยู่ในกองไฟด้วย
เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ออกมาจากวังพร้อมกัน ความผูกพันแน่นแฟ้น อ๋องฉีเห็นร่างไร้วิญญาณของพวกเขาแล้ว อดไม่ได้ที่จะตาแดงก่ำ
แต่ว่า เขาไม่ได้พูดอะไร หยวนหย่งอี้อยู่เป็นเพื่อนเขาที่จวนอ๋องซุน
ตั้งแต่พระชายาซุนถูกทำให้ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน จนกระทั่งบัดนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แต่นางยังคงรู้สึกว่าหัวใจของนางยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะ นิดๆหน่อยๆก็รู้สึกวุ่นวายใจ
ถ้าหากครั้งนี้เป็นการฆ่าไม่เลือกหน้า และคนที่อยู่ในจวนเป็นเหล่าองค์หญิงกับท่านอ๋อง บวกกับหยวนชิงหลิงที่ถูกจับตัวไป ทุกคนต่างมีสถานะสูงส่ง นางไม่กล้าคิดเลยว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร
อ๋องซุนแต่ไหนแต่ไรแม้ฟ้าจะถล่มก็ไม่เคยมีวันไหนที่ไม่กินข้าวมาก่อน แต่วันนี้เป็นวันเกิดเขา เขากลับกินอะไรไม่ลงเลย ยังคงนั่งอยู่หน้าระเบียง สอดมือไว้ในแขนเสื้อ นิ่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น ทุกคนต่างรู้ว่าเขาขวัญเสียอย่างมาก ซึ่งอันที่จริงแล้ว เขาก็ตกใจจนขวัญเสียจริงๆ ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ก็คงคิดไม่ถึงว่าฉู่หมิงชุ่ยคนเดียวจะสามารถก่อเรื่องใหญ่โตได้เช่นนี้