บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 365 เจ้าอย่าทำเป็นเขินอายไม่กล้าเจอหน้า
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 365 เจ้าอย่าทำเป็นเขินอายไม่กล้าเจอหน้า
หยู่เหวินเห้าถามเจ้าอาวาสว่ายินดีจะเข้าวังไปกับตนหรือไม่ เจ้าอาวาสโบกมือ พูดว่า “อาตมาไม่เข้าวัง แต่อาตมาสามารถเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง อธิบายสถานการณ์นี้ให้ชัดเจน เพียงแต่ทางที่ดีท่านอ๋องก็ควรเตรียมใจไว้ ฮ่องเต้อาจจะไม่รื้อคดีเพื่อหลอกุ้ยผินก็เป็นได้”
หยู่เหวินเห้าสายตานิ่งขรึม “ข้ารู้ แต่ว่า อย่างไรก็ต้องลองดู เรื่องนี้เกี่ยวกับอนาคตของน้องเก้า เกี่ยวกับชีวิตคนมากมายของตระกูลหลอ ชายหนุ่มมากกว่าครึ่งตระกูลหลอต้องถูกส่งไปยังชายแดน ชายแดนลำบาก สามารถอดทนได้ห้าปีสิบปีก็นับว่าเก่งแล้ว แต่ถ้าไม่รื้อคดีขึ้นมาใหม่ ชาตินี้พวกเขาก็คงไม่ได้กลับบ้าน คงได้แต่ลำบากตายในต่างถิ่น”
สายตาของเจ้าอาวาสเป็นประกาย “ท่านอ๋อง นั่นล้วนเป็นเรื่องของคนอื่น ไยท่านต้องร้อนใจด้วยเล่า ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “มีสองสาเหตุ สาเหตุที่หนึ่ง ตอนนี้ข้ายังคงเป็นเจ้ากรมการพระนคร มีคดีที่ไม่เป็นธรรม ข้าไม่อาจปิดหูปิดตาได้ สาเหตุที่สอง ข้าต้องการให้แม่ทัพหลอกลับไปยังกองทัพองครักษ์ลับผี”
“องครักษ์ลับผีทำไมหรือ”เจ้าอาวาสถามขึ้น
“ในนั้นมีคนที่ต่อหน้าทำหนึ่งอย่างลับหลังทำหนึ่งอย่าง ไม่ให้ความเคารพต่อเสด็จปู่”
เจ้าอาวาสรู้สึกประหลาดใจ “ ในองครักษ์ลับผีมีคนที่ทำอะไรลับหลังด้วยหรือ”
“ภายใต้ความกระหายอำนาจ ที่ไหนก็มีคนคิดไม่ซื่อทั้งนั้น”
เจ้าอาวาสนิ่งขรึมไปชั่วครู่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหยู่เหวินเห้า ถามว่า “เป็นใคร”
“ข้าสงสัยตี๋เว่ยหมิง”
เจ้าอาวาสตกใจเล็กน้อย “เขาหรือ”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “เป็นเขา ฉะนั้นจนตอนนี้ข้าก็ยังไม่ได้กราบทูบเสด็จปู่”
“ท่านอ๋องทำเช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว”สีหน้าของเจ้าอาวาสมีแววหนักแน่น“ตอนนี้ ที่พึ่งที่สำคัญที่สุดของไท่ซ่างหวงก็คือองครักษ์ลับผี ถ้าหากผู้นำขององครักษ์ลับผีมีใจคิดคด แล้วถูกไท่ซ่างหวงทราบเข้าหรือเกิดความสงสัย ก็เท่ากับต้อนสุนัขให้จนตรอก เกรงว่าจะเป็นภัยต่อไท่ซ่างหวงได้”
“ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องการให้แม่ทัพหลอกลับไปในองครักษ์ลับผี เขาจงรักภักดีต่อเสด็จปู่มาก และคนส่วนใหญ่ในองครักษ์ลับผีล้วนเป็นเขาที่ช่วยเลื่อนขั้นขึ้นมา หากเขาสามารถกลับไปยังองครักษ์ลับผีได้อีกครั้ง แม้จะไม่ใช่ในฐานะแม่ทัพ ก็สามารถถ่วงสมดุลกับตี๋เว่ยหมิงได้”
เจ้าอาวาสมีข้อเสนอแนะ ว่า “ท่านอ๋อง ทำไมไม่ลองไปหาโสวฝู่”
“โสวฝู่”หยู่เหวินเห้าลังเลอยู่ชั่วครู่ เขากับคนของตระกูลฉู่ ยังไม่สามารถทำถึงขั้นที่จะไว้เนื้อเชื่อใจได้
“ถูกต้อง จะรื้อคดี จำเป็นต้องไปหาเขา”เจ้าอาวาสพูด ค่อยๆลุกขึ้น “เรื่องนี้ค่อนข้างร้ายแรง ท่านอ๋อง โสวฝู่มีใจเป็นห่วงอาณาประชาราษฎร์ แม้ว่าบางทีจะทำตัวลำเอียง แต่ความคิดของเขาดีมาก ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายหรือทำให้เกิดผลเสียต่อไท่ซ่างหวงอย่างเด็ดขาด ท่านจำเป็นต้องไปหาเขา”
หยู่เหวินเห้าคิดทบทวนเรื่องทั้งหมด พูดว่า “ก็ได้ ข้ากลับเมืองหลวงก็จะไปพบโสวฝู่ทันที”
เจ้าอาวาสพูดว่า “ท่านอ๋องสามารถเชื่อใจเขาได้ เขากับไท่ซ่างหวงเคยคบหาเป็นเพื่อนกันจนสามารถตายแทนกันได้ ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวใดๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่สามารถตัดขาดมิตรภาพของพวกเขาได้ นอกเสียจากจะเกี่ยวพันกับความเป็นอยู่ของประเทศชาติ แต่ในจุดนี้ พวกเขายังมีเซียวเหยากงที่ยืนอยู่ในจุดเดียวกัน ผืนแผ่นดินนี้ในตอนนั้นเกือบจะต้องตกไปอยู่ในมือคนอื่นแล้ว เป็นพวกเขาที่ปกป้องคุ้มครองเอาไว้ได้ ฉะนั้น พวกเขาล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน ”
หยู่เหวินเห้าเห็นเจ้าอาวาสพูดเช่นนี้ ก็ไม่สงสัยอีกต่อไป รอให้เจ้าอาวาสเขียนจดหมายเสร็จแล้ว ก็ประสานมือขึ้นคำนับ หมุนตัวจากไปทันที
เขาใช้เวลาทั้งคืนเพื่อเร่งกลับเข้าไปในเมืองหลวง และมุ่งตรงไปยังจวนโสวฝู่
หลังจากโสวฝู่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงค่อยๆหวนคิดถึงคดีในตอนนั้นอย่างละเอียด แล้วก็ดูจดหมายของเจ้าอาวาสครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้น หลอกุ้ยผินก็เท่ากับถูกใส่ร้าย แต่ว่า ท่านอ๋องก็ไม่ต้องร้อนใจ อนุญาตให้ข้าได้ตรวจสอบก่อน ตอนนั้นแม่นมในวังนั้นไม่ได้มีการจัดสรรถ่านให้ใช้ ถ่านเหล่านี้ ต้องสืบดูอีกที ว่าใครกันแน่ที่ให้นาง”
“สมควรต้องตรวจสอบ แต่ว่า เรื่องรื้อคดีความ โสวฝู่มั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้”หยู่เหวินเห้าถาม
โสวฝู่ยิ้มบางๆ “ข้าอาจจะไม่มีวิธี แต่ว่า หลอกุ้ยผินมี”
หยู่เหวินเห้าอึ้ง “หลอกุ้ยผินหรือ”
หลอกุ้ยผินตายไปแล้ว ยังจะมีวิธีการอะไร
โสวฝู่พูดว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้มอบให้ข้าไปจัดการวางแผนก่อน เรื่องนี้ท่านอ๋องไม่ต้องยุ่ง ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ ท่านอ๋องไม่ควรทำให้เกิดความหมางใจใดๆกับฮ่องเต้เด็ดขาด นอกเสียจากว่าฮ่องเต้จะมีบัญชาให้ท่านตรวจสอบคดีนี้ใหม่อีกครั้ง”
หยู่เหวินเห้ามองริ้วรอยที่ใต้ตาของเขา แต่ละเส้นดุจหนทางแห่งปัญญา ทำให้รู้สึกเชื่อถือและนับถืออย่างช่วยไม่ได้
โสวฝู่ฉู่ยังพูดอีกว่า “ใช่แล้ว ท่านอ๋อง พรุ่งนี้ตอนที่พระชายาไปที่สำนักนางชีหมิงเยว่ ทางที่ดีท่านอ๋องก็อย่าไปเพิ่มความวุ่นวายเลย”
หยู่เหวินเห้ามองเขาอย่างประหลาดใจ “เรื่องนี้โสวฝู่ก็รู้ด้วยหรือ”
โสวฝู่ตบไปที่ไหล่ของเขา เจ้าหนุ่มนี้ตัวสูงไปสักหน่อย ต้องใช้แรงตบไม่น้อย “ระหว่างไท่ซ่างหวงกับข้า ไม่มีความลับต่อกัน เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะไปเยี่ยมแม่ทัพหลอที่คุกหลวงสักครั้ง ภายหน้าหากต้องใช้เขา ย่อมต้องให้ร่างกายเขาแข็งแรงดีเสียก่อน ”
หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่ได้ถามว่าพรุ่งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ประสานมือคำนับแล้วจากไป
เขาไม่ได้ไปที่จวนเจ้าพระยาจิ้ง แต่ตรงกลับไปยังจวนอ๋องเพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับทังหยาง
หลังจากเขาจากไปแล้ว โสวฝู่ฉู่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ยกเหล้าสองกา ไปที่คุกหลวงศาลต้าหลี่
ในคุกหลวง มืดมิดไร้แสง เวรยามในคุกนี้ หกชั่วยามจะเปลี่ยนหนึ่งกะ แต่แม่ทัพหลอที่ถูกย้ายมาประจำการที่นี่ กลับต้องอยู่เวรเฝ้ามากกว่าเจ็ดชั่วยาม เพราะยังมีเหลืออีกหนึ่งชั่วยาม ที่เขาต้องรับผิดชอบทำความสะอาดที่คุก
อยู่ที่นี่ ใครๆต่างก็รังแกเขาได้
แรกเริ่มนั้น หัวหน้าคุกยังเคารพที่เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ ปฏิบัติต่อเขาอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่หลังจากที่หัวหน้าคุกได้รับการโยกย้าย ที่นี่ก็มีคนหน้าใหม่ๆเข้ามาเรื่อยๆ พอผ่านไปนานเข้า เขาก็กลายเป็นคนงานที่ทำทุกอย่างที่ทุกคนสั่งการได้
ที่จริงวันนี้ถึงเวลาที่เขาต้องได้พักผ่อนแล้ว แต่ว่า เพราะว่ามีนักโทษใหม่เข้ามาอีกสองคน ต้องจัดการที่อยู่ให้เรียบร้อย หัวหน้าคุกจึงให้เขาอยู่เวรต่ออีกหน่อย
แม่ทัพหลอไม่สบายมาหลายวันแล้ว ร่างกายอ่อนแอมาก คืนนี้ได้ขอความเมตตาจากหัวหน้าคุก หวังว่าจะได้กลับไปพักเร็วหน่อย แต่กลับถูกหัวหน้าคุกตำหนิยกใหญ่
เขาลากเท้าที่หนักอึ้งเดินกลับไป ก็ได้ยินเสียงประตูเหล็กด้านนอกดังขึ้น
หัวหน้าคุกจ้องมองไป เป็นผู้ดูแลคุกที่พาผู้อาวุโสหัวขาวคนหนึ่งเข้ามา ผู้อาวุโสนั้นดูน่าเกรงขาม และในมือยังถือเหล้าไว้อีกสองกา แววตาดุจสายฟ้า เขาอยู่ในศาลต้าหลี่มาตั้งนาน มีแววตาในการมองคน จึงรีบเข้าไปสองมือประสานขึ้นคำนับทันที
ได้ยินผู้ดูแลคุกบอกว่าเป็นโสวฝู่ในรัชกาลปัจจุบัน การคำนับของเขาแทบจะคุกเข่าลงทันที
คนที่มาเป็นโสวฝู่ฉู่จริงๆ เขาเข้ามาก็มองเห็นแม่ทัพหลอในแวบเดียว
แม่ทัพหลอก็มองเห็นเขา แต่เขากลับหมุนตัวเดินกลับไปทันที
“หยุด”โสวฝู่ตะโกนขึ้น
แม่ทัพหลอทำราวกับไม่ได้ยิน ยิ่งเดินเร็วมากขึ้น
หัวหน้าคุกตะคอกว่า “เรียกเจ้านะ เจ้าจะเดินไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้”
เขาเดินเร็วๆเข้าไป ดึงแขนของแม่ทัพหลอเอาไว้ จากนั้นก็กระชาก “หูหนวกหรือ ไม่ได้ยินที่โสวฝู่เรียกเจ้าหรืออย่างไร เจ้าช่างบังอาจนัก”
โสวฝู่ฉู่ตะคอกเสียงขรึม “บังอาจ ปล่อยแม่ทัพหลอเดี๋ยวนี้”
หัวหน้าคุกนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ รีบปล่อยมือออกทันที เพียงแต่เขาคิดไม่ออกในทันทีว่าแม่ทัพหลอที่ว่านั้นคือขอทานหลอคนนี้
ในคุกหลวง ทุกคนต่างเรียกเขาว่าขอทานหลอ
แม่ทัพหลอไอหนึ่งเสียง ค่อยๆหันร่างกลับมา
ปีนี้เขาอายุห้าสิบกว่าเท่านั้น แต่ผมกลับเหมือนกับโสวฝู่ ขาวโพลนไปหมดแล้ว
เพราะว่าเป็นคนฝึกวรยุทธ์ หลังและเอวยังคงยืดตรง เพียงแต่ดูผอมซูบไปมากกว่าแม่ทัพที่ดูสง่างามคนเดิมคนนั้นมาก
โสวฝู่ฉู่มองเขา ถอนหายใจเบาๆ “พริบตาเดียว ผ่านไปเกือบจะสิบปีแล้ว เจ้ายังดีอยู่หรือไม่”
แม่ทัพหลอหันหน้ามาอย่างยากลำบาก“ท่านอย่ามา ทำเป็นเขินอายไม่กล้าเจอหน้าข้า”