บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 373 ทำไมถึงเป็นกังวลขนาดนี้
จวนเจ้าพระยาจิ้งตั้งแต่หลังจากหยู่เหวินเห้าส่งทหารมาเฝ้าจวน ก็แทบจะกลายเป็นลานจวนอ๋องฉู่ไปแล้ว ใครเข้าออก ล้วนต้องผ่านการซักถามจากทหารก่อน คนที่ลำบากที่สุดก็คือพวกในครัวที่ต้องซื้อของ สิ่งของที่ซื้อกลับมา พวกทหารก็จะต้องตรวจสอบอย่างกับชันสูตรศพ หากได้กลิ่นไม่พึงประสงค์แม้เพียงนิด หรือเนื้อผักมีสีสันที่ไม่ปกติ ล้วนถูกนำไปทิ้งหมด
พวกจัดซื้อแทบจะเป็นบ้าแล้ว แต่ก็จะทำอย่างไรได้ล่ะ? เรื่องนี้ฮูหยินใหญ่ก็เห็นด้วยแล้ว และซุนมามาที่อยู่รับใช้ข้างกายฮูหยินใหญ่ ก็ยิ่งคอยตรวจสำรวจห้องครัวอยู่อย่างเคร่งครัด
ไม่เพียงเท่านี้ บรรยากาศภายในจวน ก็เหมือนเตรียมพร้อมที่จะรับศึกหนักอยู่ตลอดเวลา
วันที่สามที่เจ้าพระยากลับไป “ไว้ทุกข์”คนใช้ทั่วทั้งวันต่างก็คิดถึงเขา
พี่คนโตของหยวนชิงหลิง พี่หลุนเหวินก็กลับมาหลายวันแล้ว เขาเอาตำรากลับมาให้หยวนชิงหลิงเยอะมาก บอกว่าล้วนยืมมาจากกั๋วจื่อเจียน จี้จิ่ว เหลิ่งจิ้งเหยียน
“ใต้เท้าเหลิ่นพูดว่า จะอบรมสั่งสอนหลานชายในอนาคต ก็จะต้องอ่านหนังสือเยอะๆ เติบโตขึ้นมาจะได้สอบจอหงวน”พี่หลุนเหวินพูดขึ้นอย่างจริงจัง
หยวนชิงหลิงดีใจอย่างมาก ที่จริงตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน นางเป็นหนอนหนังสือคนหนึ่ง
ในขณะที่กำลังจะขอบคุณพี่ใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าหมอหลวงเฉาเข้ามาจากจากไหน พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “อ่านหนังสือทำให้สายตาเสีย ห้ามอ่านหนังสือ”
“สายตาข้าดีมาก”หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
หมอหลวงเฉามองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่ “พระชายาต้องเชื่อฟังกระหม่อม หัวของกระหม่อมอย่าเอาไปไว้บนเข็มขัดกางเกงเลย ท่านช่วยสงสารหน่อย”
ฮูหยินใหญ่ได้บอกหยวนชิงหลิงแล้วว่า หมอหลวงเฉารู้เรื่องนี้แล้ว
ดังนั้น หยวนชิงหลิงจึงปล่อยให้เขาปรากฏตัวได้ตามใจ เพื่อปกป้องหัวของเขาให้ปลอดภัย
พี่หลุนเหวินพูดกับหมอหลวงอย่างจริงจังว่า “อ่านหนังสือ สามารถช่วยให้มีความรู้มากขึ้น สามารถเรียนรู้เรื่องต่างๆมากมาย เปิดใจให้กว้างมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าดีทั้งกายและใจ ทำไมหมอหลวงถึงไม่อนุญาต?”
หมอหลวงเฉาพูดขึ้นว่า “ส่งผลกระทบต่อสายตา”
“พูดไปเรื่อยๆ หากหนังสือส่งผลกระทบต่อสายตา ทำไมดวงตาทั้งคู่ของข้าถึงยังปกติดีไม่เป็นอะไร?”
พี่หลุนเหวินเป็นคนที่มีเหตุผล หมอมองดูดวงตาดำเป็นประกายทั้งสองข้างของเขา แล้วก็ไม่รู้จะเถียงยังไง จึงจะทำได้เพียงพูดขึ้นว่า “งั้นก็สามารถดูได้แค่หนึ่งถึงสองชั่วโมง ห้ามดูมากกว่านี้ จะต้องพักผ่อนให้มากๆ”
หยวนชิงหลิงค่อยโล่งอก มองดูพี่หลุนเหวินอย่างซาบซึ้งใจ โชคดีที่มีพี่ชายช่างเปรียบเทียบเป็น
หมอหลวงเฝ้าดูอยู่อย่างเข้มงวด หยู่เหวินเห้าก็เฝ้าดูอยู่อย่างเข้มงวด
แต่วันนี้โสวฝู่ตามตัวเขาไป แล้วก็ทำให้เขาโกรธโมโหกลับไป
โสวฝู่พูดกับเขาว่า คดีของกุ้ยผิน ห้ามเขาเข้าไปยุ่ง ต่อให้ฮ่องเต้มีคำสั่งให้ไต่สวนใหม่ ก็ยกให้กับกรมอาญา จะต้องไม่ผ่านมือของเขา
เขาพยายามที่จะขอร้อง แต่โสวฝู่ก็ยังคงมุ่งมั่น ห้ามไม่ให้เขาถามไถ่ และรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับคดีนี้ เขาก็ห้ามแตะต้องอีก
เขากลับมาเล่าให้หยวนชิงหลิงฟังอย่างโมโห หยวนชิงหลิงยิ้มหัวเราะ พร้อมพูดปลอบโยนว่า “โสวฝู่หวังดีต่อเจ้า”
หยู่เหวินเห้าเม้นริมฝีปาก พร้อมพูดขึ้นว่า “หวังดีต่อข้าตรงไหน?”
หยวนชิงหลิงตบหลังเขาเบาๆ พร้อมพูดอธิบายว่า “โสวฝู่รู้ว่าคดีนี้จะต้องสร้างความสะเทือนใจให้กับฮ่องเต้ หากสืบรู้ว่าหลอกุ้ยผินบริสุทธิ์ ฮ่องเต้ตัดสินคดีผิดตั้งแต่แรก สั่งฆ่ากุ้ยผินอย่างผิดพลั้งไป จะต้องโกรธและลงโทษคนที่ทำคดี อีกอย่าง คดีต่อให้เจ้าไม่ออกหน้า แต่เบื้องหลังคนที่พลิกคดีคือเจ้า แม่ทัพหลอจะต้องรู้แน่ เจ้าบอกว่าโสวฝู่เคยไปหาแม่ทัพหลอในคุกหลวงไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมด งั้นใครก็ไม่รู้ว่าต่อไปแม่ทัพหลออาจจะมีประโยชน์ต่อเจ้า นี่คือโสวฝู่แอบเตรียมหมากไว้ให้เจ้า”
หยู่เหวินเห้าอึ้งไปสักพัก พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดมีเหตุผล นี่หัวสมองข้าเลอะเลือนแล้วหรือ? ที่คิดไม่ถึง”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ได้หัวสมองเลอะเลือน เจ้าร้อนใจกับเรื่องของข้ามากเกินไป จึงทำให้จิตใจกระสับกระส่าย เจ้าห้า เจ้าอย่าเป็นกังวลเพื่อข้า ข้าจะไม่เป็นไร แฝดสามถึงแม้จะเห็นได้น้อย แต่ข้าจะคิดหาวิธีคลอดลูกออกมาได้อย่างปลอดภัย”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว มองดูปลายคางผ่ายผอมของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “จะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร? เจ้าเห็นหมอหลวงเฝ้าดูเจ้าอย่างกับดักล่าสัตว์ทุกวันหรือ? เขายังเป็นห่วงขนาดนั้น เขาเป็นคนที่มีความรู้ทางการแพทย์นะ ยังขนาดนี้ ข้าไม่รู้อะไรเลย จะไม่ห่วงได้ยังไง”
เขายื่นมือจับแก้มของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ดูเจ้าสิ เนื้อก็ไม่มีแล้ว ผอมกลายเป็นอะไรไปแล้ว?”
หยวนชิงหลิงยิ้มแย้ม เผยให้เห็นฟันอย่างสดใส พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าสมัยนี้ใครผอมคนนั้นสวยหรือ?”
นางมองดูเขา คำพูดของเขาในวันนั้นสะท้อนอยู่ในหัวสมองขึ้นมาอีกครั้ง เขาพูดว่า พวกเจ้าไม่ใช่คนคนเดียวกันอยู่แล้ว หยวนชิงหลิงคนก่อน ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ นางก็จะไม่พูดจาน่าแปลกมากมายขนาดนั้น ยิ่งไม่มีความเมตตา นางเป็นคนที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง
ประโยคนี้ สองวันนี้มักดังสะท้อนอยู่ในหัวสมองของนางบ่อยครั้ง นางอยากถามเขาตลอดว่านี่หมายความว่าอย่างไร แต่เมื่อพบว่าไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไร และไม่รู้ว่าจะถามอย่างไร
“ทำไมหรือ?”หยู่เหวินเห้าเห็นนางเหม่อลอยขึ้นมากะทันหัน จึงถามขึ้น
หยวนชิงหลิงลังเลสักพัก คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้ว แต่แล้วก็ถามไม่ออก ทำได้เพียงแค่ยิ้ม พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร เพียงแต่เจ้าพูดถึงหมอหลวง ข้าคิดถึงท่าทีที่ตื่นเต้นของเขาแล้วก็น่าขำ”
“เจ้ายังน่าขำ? เขาจะร้องไห้อยู่แล้ว”หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ที่จริงพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นขนาดนี้ ทำให้ข้าพลอยตื่นเต้นไปด้วย ที่จริงแฝดสามไม่ได้มีอะไร แค่ระวังหน่อยก็พอแล้ว”
หยู่เหวินเห้าเห็นนางพูดอย่างสบายใจ แต่ไม่ใช่คำพูดปลอบโยนหรือ?
เพียงแต่ที่จริงก็ไม่ควรที่จะสร้างความกดดันให้กับนางมากขนาดนั้น
เขาจึงทำเป็นโล่งอก พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นก็ดี เจ้ายังไม่เป็นกังวล ข้าก็ไม่เป็นกังวลแล้ว”
หมอหลวงบอกว่าช่วงเวลานี้ต้องเดินออกกำลังกายเยอะหน่อย ดังนั้นหยู่เหวินเห้า จึงจูงมือของนางออกมาเดินเล่น
ด้านนอกหนาวเย็น หยู่เหวินเห้าห่อนางไว้อย่างหนาแน่น เหมือนกับนกเพนกวินตัวหนึ่ง แค่เดินก็ลำบากแล้ว
หยู่เหวินเห้าถามขึ้นอย่างกับเพิ่งคิดขึ้นมาได้อย่างกะทันหันว่า “ว่าแต่ พ่อตาของข้าล่ะ?”
มาตั้งหลายครั้งขนาดนี้แล้ว ยังแทบจะไม่เคยเห็นหน้าเลย
“ไปงานศพแล้ว”หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
“ใครตาลหรือ?”หยู่เหวินเห้าประหลาดใจ บรรยากาศจวนเจ้าพระยาจิ้งก็ดูไม่ออกว่ามีญาติเสียนี่
หยวนชิงหลิงคิดสักพัก พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่แน่ใจว่าเป็นป้าหรือลุงเขย ข้าจำไม่ได้แล้ว”
หยู่เหวินเห้ามองดูผู้หญิงสวมชุดสีเหลืองที่จู่ๆก็หลบอยู่ตรงหัวระเบียง พร้อมพูดขึ้นว่า “ป้า? งั้นท่านแม่ของเจ้าไม่กลับไปหรือ?”
“พาสนมนางโจวกลับไป”
หยู่เหวินเห้าตกตะลึง พร้อมพูดขึ้นว่า “ป้าของเจ้าตาย แล้วท่านแม่ของเจ้าที่เป็นน้องสาวไม่กลับไป ท่านพ่อของเจ้าพาสนมไปงานศพของพี่สาวภรรยาเอก? นี่ไปงานศพกันแบบไหนหรือ?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ พ่นลมหายใจเป็นไอสีขาวออกมา นางก็มองเห็นนางหวงแอบมองอยู่ทางด้านระเบียง
“ข้าก็ไม่รู้”หยวนชิงหลิงยักไหล่
หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าพ่อตาคนนี้ช่างแปลกประหลาดจริงๆ
“พาสนมไป ไม่พาภรรยาเอกไป ไม่กลัวญาติทางภรรยาตีตายหรือ?”หยู่เหวินเห้าพึมพำพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงหัวเราะจนลูกในท้องจะกลิ้งออกมาอยู่แล้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ? ความคิดของท่านพ่อของข้าก็น่าแปลกแบบนี้อยู่แล้ว”
ทางด้านนางหวง ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าพาสาวใช้คนหนึ่งคนใช้คนหนึ่งเดินมา
นางเฝ้าดูอยู่สองสามวันแล้ว มั่นใจว่าหยวนชิงหลิงไม่ได้ถูกตี อ๋องฉู่ไม่ได้โมโห นางจึงค่อยกล้ามา
หลายวันนี้ นางเครียดจะตายอยู่แล้ว
นางเป็นคนช่างสังเกต มองเห็นหยู่เหวินเห้าจูงมือหยวนชิงหลิง อย่างรักใคร่จากไกลๆ
ไม่ว่าจะเป็นเพราะลูกในท้องของนาง หรือว่าอย่างอื่น ไม่ว่ายังไง นางหวงมั่นใจมากว่าตอนนี้ลูกเขยคนนี้ไม่มีพิษภัยใดๆต่อจวนเจ้าพระยาจิ้ง
นางจึงตัดสินใจออกมาปรากฏตัว เพื่อแสดงตนถึงความเป็นแม่ยาย