บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 388 เจ้าหลอกอะไรข้า
หยวนชิงหลิงลุกขึ้น กล่าว “รีบเชิญเข้ามา”
สักครู่ ก็เห็นชายชุดขาวคนหนึ่งที่ร่างกายเปื้อนไปด้วยคราบเลือดเดินเข้ามา
เมื่อกี้หยวนชิงหลิงไม่ทันมองเขาอย่างละเอียด ตอนนี้มองแล้ว รู้สึกหล่อ สง่า มีความรู้ หากพูดถึงรูปลักษณ์ภายนอก ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอ๋องเว่ยเลย
แล้วมองดูหน้าตาที่หล่อเหลาของเขา แววตาแฝงไปด้วยความชอบธรรมและน่าเกรงขาม เป็นคนซื่อตรงจริงใจอย่างที่สวีอีพูดเลย
“คารวะพระชายาฉู่!” ท่านชายชิงหยางยกมือขึ้นกล่าว
หยวนชิงหลิงย่อตัวตอบกลับ “ท่านชายชิงหยาง เชิญนั่ง!”
ท่านชายชิงหยางโบกมือปฏิเสธ กล่าว “ข้ายังต้องกลับจวนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเข้าวัง ไม่นั่งแล้ว ที่มาโดยเฉพาะ เพื่ออยากจะมาถามอาการของพระชายาเว่ย นางยังดีอยู่ไหม?”
หยวนชิงหลิงกล่าว “ชีวิตพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ว่าด้านจิตใจคงต้องใช้เวลาอีกนาน เจ้าจะเข้าไปดูนางหน่อยไหม?”
แววตาของท่านชายชิงหยางชัดเจน กล่าว “ข้าไม่เข้าไปแล้ว รู้ว่านางปลอดภัย ข้าก็วางใจแล้ว ลำบากพระชายาแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
พูดจบ ยกมือคารวะแล้วจากไป
ในใจของหยวนชิงหลิงยิ่งรู้สึกเสียดาย ผู้ชายที่ดีขนาดนี้
อะซี่กล่าวด้วยเสียงเบา “ถ้าหากในตอนแรกพระชายาเว่ยแต่งกับท่านชายชิงหยาง มันจะดีขนาดไหนนะ?”
หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างขมขื่น “มันจะมีถ้าหากที่เยอะแบบนี้ที่ไหนกัน? อยู่ในยุคสมัยนี้ การแต่งงานของผู้หญิงเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง หากเจอสามีที่ไม่ดี ชีวิตทั้งชีวิตก็พังทลายไปแล้ว”
นางถอนหายใจ “ยังไงข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมตอนที่พระชายาเว่ยนั่งอยู่บนกำแพง อ๋องเว่ยยังจะพูดจาที่กระทบกระเทือนจิตใจของพระชายาเว่ย แม้ว่าความเข้าใจผิดจะทำให้เกิดความเกลียด แต่นั่นมันก็เป็นคนที่เขาเคยรัก”
หมันเอ๋อที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้น “พระชายา การใช้วิชาลวงตาของกู้จือไม่ได้อยู่ที่กระดิ่ง แต่อยู่ในดวงตา ก่อนที่พระชายาเว่ยจะกระโดดลงไป นางได้ใช้วิชาลวงตา”
“ดวงตา? นี่มันเรื่องอะไรกัน?” หยวนชิงหลิงแปลกใจ นางนั่งลงมองหมันเอ๋อ เดิมนางเข้าใจว่าวิชาลวงตาของหนานเจียงกับวิชาสะกดจิตที่นางใช้นั้นจะเหมือนกัน แต่บัดนี้ดูแล้ว กลับมีข้อแตกต่าง
หมันเอ๋อก็เลยได้หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิชาลวงตาของหนานเจียงเหนือกับหนานเจียงใต้
“ข้าน้อยเป็นคนภูเขาเป่ยหนานเจียง ทุกพื้นที่ในหนานเจียงมีสมุนไพรและสัตว์ป่าที่ล้ำค่า แม้จะมีสภาพอากาศที่ชื้นทั้งปี แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากได้สมุนไพรและสัตว์ป่าในภูเขา คนพวกนั้นเพื่อที่จะได้สัตว์ป่า ไม่รีรอที่จะฆ่าคนของชนเผ่าอย่างโหดร้าย ดังนั้น คนหนานเจียงตั้งแต่เด็กก็จะฝึกเวลาวิชาลวงตาไว้ป้องกันตัว การฝึกวิชาลวงตานี้ จริงๆแล้วก็แค่มีเจตจำนงที่ไม่ต้องการให้คนนอกมารบกวน ทำให้คนผู้นั้นเชื่อฟังคำพูดของเรา ทำตามเรา แม้จะคงอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็สามารถรอดพ้นจากอันตรายได้ สำหรับหนานเจียงที่อยู่ทางตะวันตก จะใช้กลิ่นของดอกลำโพงในฝึกวิชาลวงตา ตั้งแต่เด็ก พวกเขาก็จะแช่ในน้ำที่ผสมดอกลำโพง เพื่อให้กลิ่นซึมเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น ต่อให้ไม่ใช้ดอกลำโพง ร่างกายก็พวกเขาก็ยังคงมีกลิ่นชนิดโชยออกมา หากต้องการใช้วิชาลวงตาควบคุมคนในระยะเวลาที่นาน ต้องให้คนที่ถูกวิชาลวงตา สบตากับนาง ก็จะเข้าสู่วิชาลวงตา หลังจากเข้าสู่วิชาลวงตาแล้ว ต่อไปหากต้องการใช้วิชาลวงตา เพียงแค่สบตาก็สามารถสั่งการได้ พระชายาเว่ยน่าจะถามเรื่องนี้กับคนอื่นแล้ว คงเข้าใจว่ากู้จือเป็นคนภูเขาเป่ย จึงได้ถอดกระดิ่งของนาง ใครจะไปรู้ กระดิ่งเป็นเพียงของอำพรางของนาง นางไม่ต้องใช้กระดิ่ง”
อะซี่ตกใจไปครู่หนึ่ง “ใช้ตาก็สามารถทำให้คนถูกวิชาลวงตาได้? แล้วทำไมตอนที่นางถูกมัดแขวนอยู่ข้างบน ทำไมไม่ใช้วิชาลวงตากับพระชายาเว่ยล่ะ?”
หมันเอ๋อกล่าว “ไม่ได้หรอก พระชายาเว่ยเคยทำลายวิชาลวงตาของนาง อีกอย่างพระชายาเว่ยก็ไม่เคยถูกวิชาลวงตาของนางควบคุม ดังนั้น ต่อให้กะพริบตาจนเมื่อย พระชายาเว่ยก็จะไม่ถูกสะกด”
หยวนชิงหลิงมองหมันเอ๋อ “วิชาลวงตาของเจ้าข้ายังสามารถแก้มันได้ วิชาลวงตานี้ ดูท่าก็คงจะแก้ไม่ยาก”
หมันเอ๋อพูดถึงมัน ก็ยังคงรู้สึกผิด “ของข้าน้อยคือวิชาสะกดจิต แน่นอน มันก็คือหนึ่งในวิชาลวงตา ตอนนั้นที่ใช้วิชาสะกดจิต เพราะว่ายังได้ใช้ดอกลำโพงกับกระดังงาไทย ขอเพียงท่านอ๋องถูกวิชาสะกดจิต คุณหนูรองสามารถสั่งเขาอย่างตามใจชอบ”
พูดจบ นางก็กล่าวชมหยู่เหวินเห้าไปหนึ่งประโยค “ท่านอ๋องเป็นคนที่มีจิตใจตั้งมั่นคนหนึ่ง”
อะซี่ถาม “แล้วอ๋องเว่ยเป็นเพราะถูกวิชาลวงตาจึงได้ทำแบบนี้กับพระชายาเว่ย หรือว่าเขานั้นชอบกู้จือจริงๆหลงเมียน้อยแล้วทำลายเมียหลวง?”
หมันเอ๋อส่ายหัว “ไม่ทราบ”
อะซี่มองไปทางหยวนชิงหลิง “พี่หยวนว่าอย่างไรเล่า?”
หยวนชิงหลิงไม่อยากที่จะไปคาดเดา กล่าว “มีเพียงตัวเขาที่รู้”
อะซี่ก็ถอนหายใจอีก กล่าวอย่างดุดัน “โชคดี ที่พระชายาเว่ยได้วางยานางกู้จือ กู้จือตายไปก็ไม่น่าเสียดายเลย นางใกล้ตายยังใช้วิชาลวงตามาทำร้ายพระชายาเว่ยอีก”
จวนอ๋องเว่ย
อ๋องเว่ยมองดูกู้จือที่นอนอยู่บนเตียง ท่านหมอมาแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคือพิษชนิดไหน ไม่สามารถถอนได้ ทำได้เพียงช่วยนางฝังเข็ม เพื่อชะลอการแพร่กระจายของพิษ
เขาก็ให้ท่านหมอช่วยเขาห้ามเลือด ทำแผล เขาไม่ขยับตัวเลย คนทั้งคน เหมือนคนที่ตายไปแล้ว
บัดนี้ได้นั่งลงมา คิดย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์บนหอคอย ช่วงที่หัวใจของเขาเกือบจะหยุดเต้น เป็นจังหวะที่นางกระโดดลงไป
เขาคิดย้อนกลับไปทำไมเขาต้องพูดคำพูดประโยคนั้น เขาก็ไม่รู้
คำพูดของพระชายาฉู่หยวนชิงหลิง ดังอยู่ข้างหูของเขาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้หัวใจและหัวสมองของเขา เต็มไปด้วยคำว่าวิชาลวงตา
สาวใช้ข้างกายของนางชุยที่ชื่อย่าย่าเปิดประตูเข้ามา คุกเข่าอยู่บนพื้น ในมือถือยาไว้หนึ่งขวด ย่าย่าที่ผ่านการร้องไห้ ตาบวมมาก
นางพูด “พระชายาพูดว่า หากนางยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้เอายาถอนพิษขวดนี้มาให้ท่านอ๋อง”
“หมายความว่ายังไง?” อ๋องเว่ยมองนางอย่างเย็นชา
ย่าย่าพูด “อารมณ์ของพระชายาแปรปรวนมาโดยตลอด ควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่นางบอกว่านางจะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่หากสุดท้ายนางตายไปแล้ว งั้นก็จะเอาชีวิตของกู้จือคืน เพราะชีวิตของกู้จือนางเป็นคนช่วย หากนางยังมีชีวิตอยู่ งั้นทุกอย่างก็ได้ผ่านไปแล้ว”
ย่าย่าคำนับ วางยาบนพื้น กล่าว “ข้าน้อยขอลาท่านอ๋อง ข้าน้อยจะไปเก็บข้าวของให้กับคุณหนู คุณหนูได้สั่งเอาไว้แล้ว วันนี้ไม่ว่าจะเป็นยังไง นางก็จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว”
“ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มแรกนางก็ไม่ได้คิดที่จะตาย” อ๋องเว่ยหัวเราะอย่างเย็นชา “นางแค่แสดงละคร”
น้ำเสียงของย่าย่าที่เต็มไปด้วยความหดหู่ “แต่นางกระโดดลงไปแล้ว นางแค่ต้องการหาเหตุผลให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อ แต่นางหาไม่เจอ คำพูดประโยคสุดท้ายของท่านอ๋อง ทำให้คุณหนูตายใจ เด็กคนนั้น ก็ไม่ใช่ลูกของท่านชายชิงหยาง ตั้งแต่ที่คุณหนูแต่งงานกับท่านอ๋อง ก็ไม่เคยเจอท่านชายชิงหยางเลย มันเป็นเพราะวิชาลวงตา หรือเพราะความลุ่มหลงที่ท่านมีต่อกู้จือจึงทำให้มันเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยไม่รู้ ข้าน้อยรู้เพียงแต่ว่าตอนที่คุณหนูไม่มีลูกแล้ว เสียใจไปหนึ่งปี ท่านอ๋องก็มีคนใหม่ ในใจของคุณหนูคงเสียใจไม่น้อย ตอนนั้นนางไม่ควรมากับท่านอ๋อง”
ย่าย่าพูดจบ ก็หันหลังเดินจากไป
อ๋องเว่ยหยิบยาถอนพิษขึ้นมา ป้อนให้กู้จือไปหนึ่งเม็ด จากนั้นก็นั่งลงข้างเตียง มองดูกู้จือตลอดเวลา
กู้จือค่อยๆตื่นขึ้นมาแล้ว ดวงตาของนาง ยังคงมีน้ำตา เสมือนกับว่าเพิ่งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย นางส่งเสียง “ท่านอ๋อง ข้ากลัวมาก พระชายาทำไมถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”
ท่านอ๋องเอื้อมมือไปลูบใบหน้าของนาง จ้องมองนาง แล้วมองที่ดวงตาของนาง สังเกตไปครู่หนึ่ง เขายิ้มแล้ว “กู้จือ เจ้าหลอกอะไรข้า?”
แววตาของกู้จือเต็มไปด้วยน้ำตา “ท่านอ๋องก็ไม่เชื่อกู้จือเหรอ?”
อ๋องเว่ยหัวเราะเหมือนคนมืดมนที่บ้าไปแล้ว มือของเขา มือของเขาค่อยๆปิดตาของกู้จือเอาไว้ จู่ๆ นิ้วสองนิ้วก็งอ……….
เสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้นไปบนท้องฟ้า ฟ้าดินตกใจจนเปลี่ยนสีอย่างกะทันหัน และเกิดพายุลูกใหญ่