บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 398 เจ้าจะต้องเสียใจ
หยวนชิงหลิงถามอีกว่า “ตอนนี้อ๋องเว่ยอยู่ที่ใด”
“ยังอยู่ที่จวนเจ้าพระยาจิ้ง ไม่ยอมไปไหน กู้ซือก็ไร้หนทางจะลากตัวเขาออกไป เขาเหมือนคนบ้าเสียสติไปแล้ว” อะซี่เอ่ยพลางถอนหายใจ
“กู้ซือก็ไม่มีวิธีการเอาเขาให้อยู่หรือ” หยวนชิงหลิงตกใจ
อะซี่ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ที่สำคัญคือเขาแย่งดาบของกู้ซือไป เขาเองก็บ้าคลั่งขนาดนั้น กู้ซือเกรงว่าถ้าบีบบังคับมากไป อาจจะทำร้ายคนอื่นๆได้ นี่จึงให้ข้า รีบกลับมาเชิญท่านไป”
รถม้ามาถึงจวนเจ้าพระยาจิ้ง อะซี่กับหมันเอ๋อประคองหยวนชิงหลิงเข้าไป
มาถึงเรือนที่ให้จวิ้นจู่จิ้งเหอพักรักษาตัวอยู่ ก็เห็นข้างในวุ่นวายเต็มไปหมด มีคนกว่าสิบคนยืนอยู่ตรงทางเดินข้างหน้า เฝ้าประตูเอาไว้ แม้แต่ฮูหยินใหญ่และพี่หลุนเหวินก็ออกโรงด้วยตนเอง
ในมือของอ๋องเว่ยกำดาบยาวเอาไว้ ยืนอยู่ด้านล่างต้นฉัตร สีหน้าวิตถาร สายตามีแววนิ่งขรึมและคลุ้มคลั่ง มีเส้นเลือดฝอยสีแดงเต็มไปหมด
สีหน้าของเขาหมองคล้ำมาก รอบดวงตาก็ดำสนิท ราวกับไม่ได้นอนมาเป็นเวลานาน เหมือนคนทั้งคนได้เข้าสู่ห้วงแห่งความเงียบสงัดและรอเวลาที่จะปะทุเอาความบ้าคลั่งออกมาทุกขณะ
กู้ซือยืนอยู่ตรงหน้าเขา ระยะห่างประมาณหนึ่งจั้ง และไม่กล้าเข้าใกล้ไปมากกว่านี้ สายตาจ้องเขม็ง
ในลานบ้านมีคนตั้งมากมาย แต่ก็เงียบสนิทจนน่ากลัว
หลังจากหยวนชิงหลิงเข้ามาแล้ว ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์หลายคนรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย แต่ว่า ตามติดด้วยแววตานิ่งขรึมของอ๋องเว่ยที่มองมาทางหยวนชิงหลิง ทุกคนต่างก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาอีกครั้ง พี่หลุนเหวินวิ่งตรงเข้ามา ยืนขวางอยู่ตรงหน้าหยวนชิงหลิง
“วางดาบลง” หยวนชิงหลิงตะคอกเสียงขรึม
“เพราะเจ้า” อ๋องเว่ยยกดาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน ชี้ไปทางหยวนชิงหลิงและพูดว่า “ที่นางพูดมาทั้งหมด เป็นเจ้าที่สอนนาง พวกเจ้าคิดว่าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าจะรู้สึกเสียใจหรือ ฝันไปเถอะ”
“สำคัญด้วยหรือ”หยวนชิงหลิงผลักตัวพี่หลุนเหวินออกเบาๆ ค่อยๆเดินเข้าไป สองมือวางไว้ข้างหลัง ยกมือขึ้นให้ทั้งสองฝั่งทีหนึ่ง “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางจะเคยรักท่านหรือไม่ จะหนีไปกับท่านอย่างจริงใจหรือไม่ ยังสำคัญอยู่อีกหรือ แม้ว่านางจะไม่เคยรักท่าน แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นการถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับท่าน ท่านลองมองดูสิว่าตอนนี้นางตกอยู่ในสภาพเช่นไหน ท่านบอกว่าท่านไม่ผิด ท่านรู้แต่แรกแล้วว่านางมีคู่หมั้นคู่หมายต้องแต่งงานกันแต่ก็ยังดึงดันจะเข้าไปพัวพัน เป็นความผิดนางหรือ ท่านรู้ว่านางไม่เต็มใจจะหนีตามท่าน แต่ท่านกลับบังคับพานางหนี เป็นความผิดนางหรือ นางช่วยกู้จือเอาไว้ ท่านกลับไปอยู่กินกับกู้จือ เป็นความผิดนางหรือ ยังมีลูกในท้องของนาง……”
“เจ้าหุบปาก……” อ๋องเว่ยตะคอกเสียงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทั้งร่างพุ่งตรงมาทางหยวนชิงหลิงอย่างบ้าคลั่ง ดาบยาวชี้ตรงมา ……
หยวนชิงหลิงหรี่ตาลง หลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว อะซี่กับหมันเอ๋อที่อยู่ด้านหลังนางก็กระโดดออก หลบดาบในมือของอ๋องเว่ย จากนั้นก็ใช้เท้าเตะกลางอากาศซ้ายทีขวาที
อ๋องเว่ยถูกเตะจนล้มกลิ้งไปกับพื้น กู้ซือวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงตรงข้อมือของเขาทันที แย่งดาบในมือของเขาไป โยนทิ้งไปอีกฝั่ง จากนั้นก็เอามือของเขาทั้งสองข้างมาไขว้ไว้ที่หลังเพื่อควบคุมเอาไว้
หยวนชิงหลิงได้เตรียมการได้แต่แรกแล้ว หยิบเอายาระงับประสาทที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่อยู่บนรถม้าออกมาฉีดให้เขา
มองดูอ๋องเว่ยที่ค่อยๆสงบลง หยวนชิงหลิงก็คลายใจได้เปลาะหนึ่ง ให้กู้ซือพาเขากลับไปที่จวน
ฮูหยินใหญ่เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เอ่ยอย่างตำหนิว่า “อันตรายเกินไปแล้ว คนคลุ้มคลั่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรเข้าใกล้ คราวหน้าอย่าได้ทำอะไรตามใจเช่นนี้อีก”
หยวนชิงหลิงกอดฮูหยินใหญ่ทีหนึ่ง “ท่านย่าโปรดวางใจ ข้าไม่เป็นไร ข้าจะเข้าไปดูจวิ้นจู่จิ้งเหอ”
ฮูหยินใหญ่รู้สึกประหลาดใจกับอ้อมกอดของนางในครั้งนี้ นิ่งอึ้งไป ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นนางเดินเข้าไปข้างในแล้ว
คนของตระกูลชุยเฝ้าอยู่ด้านใน ตื่นเต้นเป็นที่สุด เกรงว่าอ๋องเว่ยจะพุ่งเข้ามาอีก พอเห็นว่าเป็นหยวนชิงหลิงมา และควบคุมเขาเอาไว้ได้ ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกคลายใจ
หมอหลวงได้ทำการรักษาจวิ้นจู่จิ้งเหอแล้ว ที่จริงฝ่ามือนั้นตบมาไม่แรงมากนัก เพียงแต่ทำเอาหลายคนตกใจไปตามกัน จวิ้นจู่จิ้งเหอหลับตาอยู่ ราวกับนอนหลับไปแล้ว
แต่หยวนชิงหลิงรู้ว่านางไม่ได้นอนหลับ ร้องเรียกนางเบาๆหนึ่งเสียง นางไม่ตอบ เหมือนจะนอนหลับไปจริงๆ
หยวนชิงหลิงได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง นางปิดกั้นตัวเองแล้ว
หยวนชิงหลิงบอกว่าจะช่วยตรวจดูอาการบาดเจ็บที่หน้าอกของนาง ให้ทุกคนออกไปก่อน
ในห้องเหลือเพียงแค่นางกับจวิ้นจู่จิ้งเหอ
นางพูดเสียงเบาว่า “โล่โล่ เจ้าไม่ได้หลับ ใช่หรือไม่ ”
ขนตาสั่นไหวอยู่ชั่วครู่ แต่ว่า นางก็ยังคงหลับตาอยู่ แต่กลับมีน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากหางตา
ใบหน้าของนาง มีความอัดอั้นและเจ็บปวด การเสแสร้งของนางถูกจับได้แล้ว แม้แต่ความกล้าที่จะลืมตาขึ้นนางยังไม่มีเลย เพราะนั่นเป็นการเสแสร้งประการสุดท้ายแล้ว
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ ยื่นมือออกไปช่วยเช็ดน้ำตา “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อีก ทุกอย่างผ่านไปแล้ว”
น้ำตายิ่งไหลออกมาไม่หยุด หน้าอกกระเพื่อมรุนแรง มีเสียงสะอึกสะอื้นอย่างอ่อนแอดังขึ้นมาจากช่วงอก แต่นางก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมาอยู่ดี
หยวนชิงหลิงจึงไม่พูดอะไรอีก อยู่เป็นเพื่อนนางอย่างเงียบๆ เช็ดน้ำตาให้นาง
น้ำตาของนางไหลอยู่นาน
สุดท้ายหยวนชิงหลิงก็ฉีดยาให้นาง เพื่อให้นางได้หลับจริงๆ
การหลับครั้งนี้ อย่างน้อยก็หลายชั่วยาม
หลังจากออกจากห้องไปแล้วก็บอกให้ทุกคนว่าอย่าไปรบกวนนาง สั่งให้คนคอยเฝ้าดูแค่คนเดียว ให้นางได้อยู่อย่างสงบคนเดียว
อ๋องเว่ยได้ถูกกู้ซือส่งกลับจวนไปแล้ว
บ่าวรับใช้กำลังเก็บกวาดกิ่งไม้ที่หักโค่น ต้นฉัตรต้นใหญ่ ถูกฟันจนเป็นรอยหลายรอย ในลานบ้านไม่มีพืชที่เหี่ยวแห้ง ล้วนทุกเขาฟันทิ้งไปหมดแล้ว
ต้นเหมยสองต้นนั้น เป็นช่วงเวลาที่เบ่งบานสวยงามที่สุด ตอนนี้ได้ล้มลงมากองระเนระนาดอยู่กับพื้น ดอกไม้หล่นกระจายเต็มพื้น
เขาคลุ้มคลั่งอยู่ในจวนเจ้าพระยาจิ้งอยู่นานพอสมควร
แม่นมสี่เดินเข้ามาประคองนาง “พระชายา สีหน้าของท่านไม่ดีเลย ไม่สู้กลับไปนอนพักก่อนสักครู่”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ข้ายังต้องกลับจวนอ๋อง ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะมีไข้ขึ้นอีกหรือไม่ ”
อะซี่เอ่ยอย่างเป็นห่วงว่า “พี่หยวน เมื่อคืนท่านก็ไม่ได้นอน วันนี้จะวิ่งรอกไปมาทั้งวันไม่ได้แล้ว ฝั่งท่านอ๋องข้าจะกลับไปดูเอง ถ้าหากมีอาการไข้ขึ้นอีกข้าจะมาเรียกท่าน ”
หยวนชิงหลิงยกชายกระโปรงขึ้นเดินไปข้างนอก “ไม่ ถ้าหากเขาไข้ลดแล้ว ข้าก็นอนที่จวนอ๋องสักครู่ จวิ้นจู่จิ้งเหอคงจะนอนหลับไปอีกหลายชั่วยาม ข้าก็ฉวยโอกาสนี้พักผ่อนสักหน่อย ”
แม่นมสี่รู้ถึงความดื้อดึงของนาง จึงได้สั่งให้อะซี่กับหมันเอ๋อดูแลนางให้ดี
หยวนชิงหลิงหลับไปตั้งแต่อยู่บนรถม้า
เดิมทีแค่คิดจะหลับตาพักสมอง แต่พอหนังตาประกบติดกัน ก็ลืมไม่ขึ้นอีกเลย รถม้าโคลงเคลง ยิ่งทำให้หลับสบาย
มาถึงหน้าประตูจวนอ๋อง อะซี่จึงเรียกให้นางตื่นอย่างช่วยไม่ได้ พูดว่า “พระชายา เข้าไปถอนข้างในเถอะ”
หยวนชิงหลิงขยี้ตา มองอะซี่ รู้สึกว่าอะซี่กลายเป็นสองคน มองอย่างไรก็เห็นเงาซ้อน นางเอ่ยอย่างเหนื่อยล้าว่า “อะซี่ เมื่อไหร่เราถึงจะมีวันเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียที”
อะซี่อายุน้อยมีกำลังวังชาอย่างเต็มเปี่ยม และเรื่องราวเหล่านี้แม้ว่าจะทำให้จิตใจไม่เป็นสุข แต่ว่านางก็ไม่ได้เอามาใส่ใจเป็นภาระมากขนาดนั้น กลับรู้สึกว่าชีวิตมีความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง พอได้ยินคำพูดของหยวนชิงหลิง นางยิ้มและเอื้อมมือออกไปประคอง“ตอนนี้ชีวิตก็มีความสุขดี แม้ว่าจะน่าตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็แค่ตื่นเต้นแต่ไร้อันตราย ย่อมดีกว่าการมีชีวิตที่แห้งเหี่ยวไร้รสชาติ”
“อะซี่ ภายหน้าเจ้าต้องเสียใจกับคำพูดที่เจ้าพูดวันนี้แน่” หยวนชิงหลิงยิ้มขม ลงจากรถม้า ก็รู้สึกว่าเอวก็ยืดตรงไม่ได้แล้ว
“เพราะอะไรจึงต้องเสียใจ” อะซี่ถาม
“เพราะว่า ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่สวรรค์ได้กดทับและบดขยี้ไปกับพื้นอย่างสุดกำลัง เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็จะรู้เองว่าคำพูดที่เจ้าพูดในวันนี้มันไร้เดียงสามากแค่ไหน”
เช่นเดียวกับนาง นางในยุคปัจจุบันไหนเลยจะเคยคิดว่าวันหนึ่งต้องมาใช้ชีวิตอันตรายแทบเอาชีวิตไม่รอดกับแผนการชั่วร้ายต่างๆอย่างตอนนี้