บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 400 เรียกพบคุณหนูฮู่
เสียนเฟยได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกเชื่องครึ่งไม่เชื่อครึ่ง คุณหนูฮู่คนนั้นมีพฤติกรรมอย่างไร นางเองก็ได้ยินมาเหมือนกัน
นางเติบโตอยู่ในรังโจรทางชายแดนทิศเหนือ ลักษณะนิสัยคงไม่ใช่แค่จองหองอวดดีกระมัง คงจะมีกิริยาความคิดและการกระทำที่แตกต่างจากคนทั่วไปจนน่าตกใจ ถูกตามใจจนเหลิงและรังแกคนไปทั่วเป็นแน่แท้
เพียงแต่ เสียนเฟยคิดว่า สุดท้ายก็แค่หญิงสาวคนหนึ่ง ไหนเลยจะเก่งกล้าสามารถไปกว่าบุรุษได้ สั่งสอนสักครั้งสองครั้งก็คงจะเชื่อฟัง
ที่สำคัญที่สุดคือนางสามารถช่วยเหลือเจ้าห้าได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นอีกก็คือพ่อของนางสามารถช่วยเจ้าห้าได้ เพื่อการณ์ใหญ่ อดทนสักหน่อยจะเป็นไรไป
แม่นมสี่เกรงว่าหยวนชิงหลิงจะถูกทำให้ลำบากใจ ฉะนั้นจึงได้ยกน้ำชาเข้ามา พูดว่า “ข้าได้ให้คนต้มชาพุทราเก๋ากี้และลำไยแห้งให้ท่านหญิงโดยเฉพาะ ให้ความชุ่มชื้นและบำรุงผิวพรรณ ท่านหญิงค่อยๆดื่มนะเพคะ”
เสียนเฟยจึงยกขึ้นดื่มไปสองคำ พูดว่า “รสชาติกำลังดี ไม่หวานมากไป แม่นมฝีมือของท่านยิ่งอยู่ก็ยิ่งดีขึ้นนะ เจ้าเป็นคนเก่าแก่ในวังแล้ว บางครั้งก็ต้องคอยเตือนพระชายาอย่างเหมาะสม เกิดเป็นหญิง อย่ามีอารมณ์หึงหวงมากเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจทำให้สามีเบื่อหน่ายได้”
แม่นมสี่พูดว่า “ท่านหญิง ที่จริงพระชายานั้นใจกว้างมาก ตั้งแต่ตั้งครรภ์มา ก็ได้เสนอให้ท่านอ๋องแต่งพระชายารองหรือไม่ก็หาเมียทาสไว้ปรนนิบัติอยู่หลายครั้ง แต่ว่าท่านอ๋องก็ปฏิเสธไปหมด ”
เสียนเฟยนึกถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้เจ้าห้าเคยพูดเป็นนัยว่าเรื่องพรรค์นั้น ……มีกำลังไม่มากพอ
สายตาของนางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังท้องของหยวนชิงหลิง โชคดี แม้ว่าเรื่องอย่างนั้นจะไม่เท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ตั้งครรภ์จนได้
นึกถึงตรงนี้ สีหน้านางก็ดีขึ้นมาหน่อย
แม่นมรู้สึกคลายใจอยู่เงียบๆ แล้วก็ถอยออกไป
เพียงแต่แม้ว่าในใจของเสียนเฟยจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่การออกจากวังนั้นแสนจะยากลำบาก หยวนชิงหลิงก็ไม่ได้เข้าวังน้อมทักทายอยู่เป็นประจำ จะเจอกันครั้งหนึ่งก็ยาก ที่สำคัญคือจะหาโอกาสในการเกลี้ยกล่อมนั้นยากมาก
ด้วยเหตุนี้ นางวางมาดของแม่สามีทันที เริ่มพูดตั้งแต่หลักสามเชื่อฟังสี่จรรยาไปจนถึงคุณธรรมที่ภรรยาพึงมี พยายามจะสั่งสอนให้หยวนชิงหลิงกลายเป็นสะใภ้ในดวงใจอย่างที่นางอยากจะได้
แต่ว่า ในขณะที่นางกำลังพูดอย่างออกรสนั้น ก็พบว่าศีรษะของหยวนชิงหลิงที่ก้มต่ำลงนั้นผิดปกติไป และยังมีเสียงกรนเบาๆดังออกมา พอมองดูแวบหนึ่ง ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ตบลงไปที่โต๊ะร่างกายสั่นเทา “คนแซ่หยวน ข้ากำลังพูดกับเจ้า เจ้ากลับกล้านอนหลับใส่ข้า ยังกรนอีกด้วย”
หยวนชิงหลิงง่วงนอนจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ คำพูดของเสียนเฟยเสมือนมีฤทธิ์ในการกล่อมให้หลับ แม้ว่านางจะคอยหยิกเนื้อต้นขาอยู่ตลอดเวลา แต่ก็สู้เสียงเรียกหาของโจวกงหวังไม่ได้จริงๆ จึงได้เผลอนอนหลับไป
การตะคอกบวกกับตบโต๊ะของเสียนเฟย ทำให้นางตกใจจนตัวสั่นรู้สึกตื่นขึ้นมาทันที ขณะที่กำลังมึนงงอยู่นั้นยังคิดว่าเป็นเสียงฟ้าผ่า
พอเงยหน้าขึ้นมองเห็นใบหน้าแม่สามีที่เต็มไปด้วยความโกรธ ท่าทีเหมือนจะต้องการสู้กับนางให้ตายกันไปข้างหนึ่ง นางกลอกตาทั้งสองข้างขึ้น เปลี่ยนท่าทางให้ผ่อนคลายมากกว่านี้ “เป็นลม”ไปแล้ว ก่อนจะเป็นลมล้มพับไป นางยังพูดด้วยเสียงเบาหวิวว่า “ข้าเวียนหัวมาก……”
เดิมทีเสียนเฟยที่โกรธแทบตาย พอเห็นดวงตานางเหลือกขาวขึ้น ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกตกใจมาก ร้องเสียงแหลมว่า “เด็กๆ เด็กๆ ”
แม่นมสี่กับอะซี่รีบวิ่งเข้ามาทันที เห็นมือและเท้าของหยวนชิงหลิงที่ห้อยลงมา อยู่ในอาการอ่อนแรง ก็อดไม่ได้ที่จะร้อนใจขึ้นมา
เสียนเฟยตกใจจนริมฝีปากซีดลง “เรียกหมอหลวง ในจวนมีหมอหลวงอยู่มิใช่หรือ รีบไปเรียกเขามาเดี๋ยวนี้ นี่เป็นอะไรกันแน่ โถ่ ทำไมจึงได้เป็นลมไปได้”
เสียนเฟยรู้สึกกลัวจับใจ ตอนนี้ที่คาดหวังก็คือคนที่อยู่ในท้องนางจะฮึดสู้
ยังมี การออกจากวังในครั้งนี้เป็นการไปวิงวอนขอร้องจากเสด็จแม่ ถ้าหากเสด็จแม่รู้ว่าตนเองด่าจนคนแซ่หยวนเป็นลมไป คงต้องถูกตำหนิเป็นแน่
นี่มันเขาอีกลูกสูงกว่าอีกลูก แม่สามีดุก็ยังมีที่ดุกว่า นางไม่สามารถแบกรับความผิดนี้ได้
หมันเอ๋อรีบวิ่งไปเชิญตัวหมอหลวง หมอหลวงได้ยินว่าพระชายาเป็นลมไปแล้ว ก็ตกใจจนแข้งขาอ่อนแรงสั่นเทาขึ้นมา หันกลับไปเอากล่องยาแล้วก็รีบตามหมันเอ๋อออกไปทันที
“หมอหลวง นั่นคือหน้าต่าง……”
“ปึงปัง” “พึ่บพับ” เสียงค่อนข้างวุ่นวายดังขึ้น หมอหลวงลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำ เดินตามหมันเอ๋อออกไปข้างนอก
ทำเอาทรมานกันไปไม่น้อย ที่สุดหมอหลวงก็บอกว่าน่าจะเป็นเพราะพระชายาเหนื่อยล้ามากเกินไป ทำให้เลือดลมหมุนเวียนไม่สะดวกจนเกิดเป็นลมขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เสียนเฟยได้ยินแล้วก็คิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับที่นางก่นด่า จึงได้คลายใจไปเปลาะหนึ่ง มีคำสั่งอย่างเคร่งครัด ว่าถ้ากลับเข้าวังแล้วไทเฮาถามถึงสถานการณ์ ให้บอกว่าพระชายาสบายดี
ในที่สุดหยวนชิงหลิงก็ถูกส่งกลับไปพักผ่อนที่ห้องเสียที นางมุดหน้าไปกับที่นอน ครู่เดียวก็หลับไปแล้ว
เสียนเฟยก็ไม่ได้อยู่ต่อ สั่งให้คนในจวนดูแลให้ดี แล้วก็เดินทางกลับวัง
เพียงแต่พอขึ้นรถม้าหงส์แล้ว เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าออกจากวังครั้งนี้ต้องพูดขอร้องเจ้าห้าดีๆสักครั้ง ว่าสามารถแต่งกับคุณหนูฮู่ได้ ไม่คิดว่าพอเกิดเรื่องนี้ขึ้น บีบให้นางต้องไปจากที่นี่ก่อนเวลา
ช่างน่าเสียดายจริงๆอีกนิดก็จะสำเร็จแล้ว
คิดแล้ว ไฟที่สุมอยู่ในอกตอนออกจากวังก็พุ่งขึ้นมาอีกแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็ทำไม่สำเร็จ แม้แต่การตำหนิสั่งสอนหยวนชิงหลิงยกเดียวยังทำให้ตกใจจนเหงื่อเย็นไหลท่วมตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแต่งงานกับคุณหนูฮู่แล้ว
เสียนเฟยครุ่นคิด หลังกลับถึงวังแล้วก็ให้คนไปที่จวนเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย เชิญคุณหนูฮู่เข้าวังในวันพรุ่งนี้
ลองดูบุคลิกของคุณหนูฮู่ ถ้าหากไม่เลวจริงๆ (อยู่ในขอบเขตที่สามารถทนรับได้)นางยังต้องสู้อย่างสุดกำลังอีกสักตั้ง
เสียนเฟยจะไม่เป็นกังวลใจเลยไม่ได้จริงๆ
ก่อนหน้านี้เรื่องของเจ้าห้าที่จวนเจ้าหญิง ถูกฮ่องเต้เย็นชาหมางเมินไปหนึ่งปี ดูแล้วไม่มีความหวังอะไร
ไหนเลยจะรู้ว่า สำเร็จก็เพราะหยวนชิงหลิง พ่ายแพ้ก็เพราะหยวนชิงหลิงเช่นกัน นางได้ช่วยชีวิตไท่ซ่างหวงเอาไว้ และยังตั้งครรภ์ลูกอีก และเจ้าห้าก็ถูกสั่งให้ไปรับตำแหน่งที่กรมการพระนคร นี่มองแล้วก็เหมือนสถานการณ์ที่ดีที่จะได้ขึ้นรับตำแหน่ง แต่ก็มีเรื่องทำให้ทุกอย่างพังทลายลงไปหมด
เสียนเฟยไม่พอใจ ถ้าเจ้าห้าเป็นคนโง่ก็แล้วไป แต่ไม่ใช่ เขาทั้งฉลาดทั้งรูปงาม ทำไมจึงไม่ยอมลงสนามเพื่อแข่งขันสักครั้ง
สำหรับคนเป็นแม่ นางตัดสินใจจะสู้เพื่ออนาคตของลูกชายอย่างเต็มที่
วันรุ่งขึ้น คุณหนูฮู่เข้าวังแล้ว
เสียนเฟยมองนางที่ถูกแม่นมพาเข้ามา นางสวมชุดกระโปรงผ้าไหมสีแดงทั้งตัว คลุมเสื้อคลุมปิดคอที่มีสีแดงข้างในสีดำ มวยผมเป็นก้อนกลม ปักปิ่นปักผมที่ทำจากปะการังสีแดง ขนตาดกดำดวงตากลมโต สันจมูกตั้งตรง ท่าทีเต็มไปด้วยความองอาจผึ่งผาย สีผิวดำคล้ำไปบ้างเล็กน้อย แต่ดูแล้วกระตือรือร้นและเรียบร้อย ทำให้ปลื้มปริ่มพอใจมาก
นางเข้ามาแล้วก็คุกเข่าลงคำนับ “หม่อมฉันฮู่ก่วงถิงคำนับเสียนเฟย ขอให้เสียนเฟยสุขภาพแข็งแรงอายุมั่นขวัญยืน”
มารยาทครบถ้วน น้ำเสียงรื่นหูน่าฟัง เสียนเฟยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชอบขึ้นมาอีกหลายส่วน
“คุณหนูฮู่ อย่ามากพิธี นั่งเถอะ” เสียนเฟยเผยรอยยิ้มราวกับแม่ผู้มีเมตตา สายตามีแววของความรักใคร่เอ็นดูและเป็นกันเองอย่างมาก ราวกับจิ้งจอกหางพุ่มตัวหนึ่งที่กำลังปลอมตัว แต่กลับอ้าปากกว้างรออยู่อย่างเงียบๆ
ฉู่ก่วงถิงค่อยๆก้าวเท้าเดิน นั่งลงอย่างเรียบร้อย มองไปทางเสียนเฟย เผยรอยยิ้มออกมา บนใบหน้ามีลักยิ้มตื้นๆสองจุด
แววตาของนางตรงไปตรงมา สะอาดสดใส รอให้เสียนเฟยเอ่ยปากพูด
ก่อนอื่นเสียนเฟยก็พูดคุยเรื่องทั่วไปอยู่ชั่วครู่ อย่างเช่นถามว่าการใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดนทางเหนือเป็นอย่างไรบ้าง บรรยากาศและผู้คนที่ชายแดนทางเหนือเป็นอย่างไร เจ้าเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ชายแดนทางเหนือมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เหล่านี้เป็นต้น ฮู่ก่วงถิงตอบทุกคำถามอย่างลื่นไหล และพูดอย่างดีใจเป็นอย่างยิ่ง
เสียนเฟยเห็นว่าบรรยากาศดีพอสมควรแล้ว ก็มองนางแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน พูดว่า “คุณหนูฮู่ปีนี้ก็มีอายุสิบเจ็ดแล้วกระมัง”
ฮู่ก่วงถิงพยักหน้ารับ “ใช่เพคะ เต็มสิบเจ็ดปีแล้ว”
เสียนเฟยยิ้มพลางกวักมือ เรียกให้นางเข้ามานั่งข้างกาย กุมมือของนางเอาไว้เอ่ยอย่างสนิทสนมว่า “ดูรูปร่างหน้าตาเจ้า เต็มไปด้วยความวัยเยาว์ ทำให้ข้าคิดถึงตอนที่ข้าแต่งงานกับฮ่องเต้ ตอนนั้นอายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดปี เป็นช่วงเวลาที่ดีจริงๆ ตอนนี้พอเห็นเจ้าแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกสนิทใจมาก ถ้าหากว่ามีวาสนา ได้เป็นคนของตระกูลเดียวกัน เช่นนั้นก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”
ฮู่ก่วงถิงดวงตาหรี่เล็กลงยิ้มเบิกบานขึ้นมา “ใช่แล้ว หม่อมฉันเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”