บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 424 ต่างก็ไม่ค่อยชอบนาง
ในหัวข้อนี้ หยวนชิงหลิงรีบหยุดเอาไว้อย่างรวดเร็ว ไม่อยากจะจินตนาการอะไรให้มากเกินไป
ตอนที่ออกไป ได้รับการสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงไปรอบหนึ่ง คนที่มาสอบสวนเป็นผู้ที่ถูกส่งมาจากวัง โดยเฉพาะทางฮองเฮามีทหารรักษาพระองค์หลายนายติดตามมาด้วย
หยวนชิงหลิงนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับการออกไปนอกบ้าน อีกทั้งอุปกรณ์สำหรับการกินการดื่มทั้งหลายไปด้วยทั้งหมด ซึ่งนี่เป็นคำสั่งอันเคร่งครัดของฮองเฮา
“ทนอีกหน่อยนะ ทนอีกหน่อย” หยู่เหวินเห้าปลอบใจ แล้วลดม่านรถม้าลง “รอหลังจากคลอดแล้ว เจ้าคงรู้สึกเหมือนถูกตัดหางปล่อยวัดเชียวล่ะ”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่หรอก แค่กลุ่มนี้จะไปรายล้อมอยู่รอบตัวเด็กๆทั้งสามคนแทน ดีไม่ดีข้าที่เป็นแม่อาจจะแตะต้องไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
หยู่เหวินเห้ามองโลกในแง่ดีมาก “เช่นนั้นก็ยิ่งดีน่ะสิ พวกเราไม่ต้องเลี้ยงลูก ไปใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ กันสองคน”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ ผู้ชายคนนี้นี่จริง ๆ เลย….
สถานที่นัดพบอยู่ที่หอว่างเจียง
ชื่อนี้ มักปรากฏให้เห็นบ่อยมาก ๆ ในนิยายแนวกำลังภายใน
หยวนชิงหลิงจินตนาการถึงร้านอาหารสูงตระหง่านริมฝั่งแม่น้ำ เวลาที่ยืนอยู่ชั้นบนจะสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามของลำน้ำ รับลมหนาวที่พัดโชยมา เสียงร่ายบทกวีคลอเคล้า เหล่านักดาบต่างพูดคุยกันในเรื่องศิลปะการต่อสู้ มีบัณฑิตกำลังวาดภาพ
แต่เมื่อไปถึงประตูลานด้านข้าง รถม้าก็พลันหยุดลง
หยู่เหวินเห้าประคองหยวนชิงหลิงลงมาจากรถ หยวนชิงหลิงกวาดตามองไปรอบด้านทั้งสี่ทิศ ทั้งหมดล้วนเป็นอาคารเตี้ย ๆ แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นเหมือนกระท่อม แต่ก็ไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอาคารสูงให้เห็นเลย
“ถึงแล้ว?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
หยู่เหวินเห้าชี้ไปที่เรือนแห่งหนึ่งทางขวามือของนาง แล้วพูดว่า “ถึงแล้ว ก็คือที่นี่อย่างไรล่ะ”
หยวนชิงหลิงมองไป มันเป็นเรือนที่มีกำแพงสีขาวแห่งหนึ่ง มีประตูไม้สองบานเปิดอยู่ มีกลอนคู่ติดอยู่ที่ประตู ลายมือบนนั้นละลายไปเพราะเปียกน้ำฝน กระดาษสีแดงกลายเป็นสีขาวซีดจางไปแล้ว
มีป้ายแขวนอยู่บนผนังซึ่งเขียนคำว่า “หอว่างเจียง” สามคำ เขียนด้วยอักษรแบบหวัดที่เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ดูพริ้วไหวสง่างาม
ทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้านาง ช่างห่างไกลจากสิ่งที่นางคิดไว้มาก
หยู่เหวินเห้าจูงมือนางเดินเข้าไป
เมื่อเข้าไปในประตูที่หันหน้าไปทางบ่อน้ำโบราณ ซึ่งมีลาตัวหนึ่งผูกติดอยู่ เจ้าลาเห็นว่ามีคนมา ก็ตะกุยกีบเท้าตัวเองครู่หนึ่ง แล้วก็กลับไปยืนนิ่งไม่ไหวติงอีกครั้ง
ทางซ้ายมือดูเหมือนจะเป็นห้องครัว เพราะมีกองฟืนกองเรียงรายอยู่ข้าง ๆ มองจากด้านนอก ครัวน่าจะใช้พื้นที่ไปถึงหนึ่งในสามของพื้นที่ทั้งหมดเลยทีเดียว
มีควันลอยโขมงขึ้นมาจากห้องครัว มองจากทางหน้าต่าง ก็เห็นเงาคนราง ๆ ที่กำลังทำงานยุ่งวุ่นวายอยู่ในนั้น
ประตูของห้องโถงใหญ่หันไปทางบ่อน้ำโบราณ ในสวนอันโหรงเหรงหร็อมแหร็มมีต้นพุทราอยู่ไม่กี่ต้น ตอนนี้ไม่มีผลพุทราเหลืออยู่นานมากแล้ว แต่ก็ยังยืนหยัดยืนต้นอย่างดื้อรั้นอยู่ท่ามกลางสายลมอันเหน็บหนาว
หยู่เหวินเห้าจูงนางเดินทะลุข้ามจากห้องโถงหลัก เมื่อออกไปข้างนอก แท้ที่จริงยังมีสวนด้านหลังอีกแห่งหนึ่งด้วย
ทันทีที่หยวนชิงหลิงได้เข้าไปในสวนด้านหลังแห่งนี้ นางก็ชอบมันทันที
ที่รายล้อมอยู่รอบกำแพง ก็ยังมีบ่อน้ำโบราณและต้นพุทราสองสามต้น บนกำแพงถูกเถาวัลย์ที่ไม่เหี่ยวเฉาแม้ในฤดูหนาวเลื้อยพันเกาะเกี่ยวจนรอบกำแพง ช่วยเพิ่มบรรยากาศที่มีสีเขียวปกคลุมให้กับวันในฤดูหนาวเช่นนี้
สวนหลังยังมีศาลาอีกแห่ง มีม่านไม้ไผ่หนา ๆ ห้อยระย้าอยู่ทุกด้านของศาลาเพื่อใช้กันลมหนาว ภายในม่านไม้ไผ่ ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังแว่วลอยมา
อาซี่ตามเข้ามาข้างในด้วย พูดด้วยความประหลาดใจว่า “ที่นี่ไม่มีแม้แต่เสี่ยวเอ้อเลยหรือ?”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ “เจ้าโง่ ที่นี่ไม่ใช่ร้านน้ำชาหรือร้านเหล้าเสียหน่อย ที่นี่คือบ้านของหวางเจียง”
“หวางเจียง?” จู่ ๆ อาซี่ก็อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น “นี่คือบ้านของนายหวางอย่างนั้นหรือ?”
ในตอนที่หยวนชิงหลิงกำลังสงสัยอยู่พอดีว่าหวางเจียงคือใคร ก็เห็นว่าม่านถูกเปิดออก มีคนนั่งอยู่ด้านในสามสี่คน คนที่เปิดม่านนั้นเป็นผู้หญิงที่สวมชุดสีขาว เมื่อมองจากระยะไกล ก็เห็นเพียงใบหน้าอันงดงามของนาง คิ้วตามีเสน่ห์กำลังมองมาด้วยรอยยิ้ม พลางพูดว่า: “มาแล้ว!”
มีชายสามคนในชุดผ้าต่วนนั่งอยู่ด้านใน ระหว่างทางที่เดินเข้าไป หยวนชิงหลิงก็จ้องมองพวกเขาไปตลอดทาง เห็นท่าทางพวกเขาแต่ละคนดูแล้วร่ำรวย รูปลักษณ์หล่อเหลางามสง่า เรียกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าหยู่เหวินเห้ามากนัก
“เจ้าห้า ในที่สุดเจ้าเด็กน้อยนี่ก็ยอมโผล่หัวมาสักทีนะ” ชายในชุดสีเขียวหนึ่งในนั้นลุกขึ้นยืน บนใบหน้าประดับรอยยิ้มที่ดูตื่นเต้นยินดีน้อย ๆ พูดกับหยู่เหวินเห้า
คนอื่นๆ ที่เหลือ ต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสกันหมด
แต่แล้ว รอยยิ้มนี้กลับค่อย ๆ แข็งค้างอยู่บนริมฝีปากของพวกเขา สาเหตุเป็นเพราะพวกเขาได้เห็นหยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงสามารถเห็นได้จากท่าทางที่พวกเขาแสดงออกว่า หยวนชิงหลิงที่เป็นเจ้าของร่างเดิมนั้น น่ารังเกียจขนาดไหน
ยิ่งไปกว่านั้น การที่นางออกมาในวันนี้ยังเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก ถึงขั้นมีคนอีกเป็นโขยงตามหลังนางมาด้วย
หยู่เหวินเห้าจับมือนางเดินเข้าไป ผู้ชายสามผู้หญิงหนึ่ง ค้อมกายคำนับหยวนชิงหลิง “คารวะพระชายาฉู่”
“ไม่ต้องมากพิธี!” หยวนชิงหลิงไม่ใช่คนไม่รู้จักดูบรรยากาศ พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นเจ้าห้า แต่กลับดูไม่มีความสุขอย่างมากตอนที่เห็นนาง ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรดี ไม่รู้ว่าควรจะไปหรือควรจะอยู่ต่อ
หยู่เหวินเห้ากลับพานางมานั่งลง แล้วแนะนำให้รู้จักทีละคน คนแรกคือผู้หญิงคนนั้น เขาพูดว่า: “คนนี้คือเสี้ยวหงเฉิง อย่ามองว่านางดูบอบบางอ่อนแอล่ะ หากลงมือขึ้นมาจริง ๆ ต่อให้สวีอีสองคนก็ยังไม่ใช่คู่มือนาง นางเป็นเจ้าสำนักของสำนักเหมยแดง”
หยวนชิงหลิงชื่นชมคนที่มีความสามารถ จึงรีบค้อมกายคำนับ “ยินดีที่ได้พบเจ้าสำนักเสี้ยว!”
เสี้ยวหงเฉิง ฝืนส่งยิ้มแข็งทื่อรอยหนึ่งไปให้หยวนชิงหลัง “มิบังอาจ”
จากนั้นจึงแนะนำคนถัดมา เป็นชายหนุ่มรูปงามในชุดสีเขียวที่นั่งอยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งก็คือคนที่พูดกับหยู่เหวินเห้าเมื่อครู่ “นี่คือซูหลง ลูกพี่ลูกน้องของข้า เจ้าเคยพบเขาแล้ว”
หยวนชิงหลิงไม่เคยพบมาก่อน แต่ก็ยิ้มพลางพูดว่า “พี่ซูหลง ไม่ได้พบกันนานเลยนะเจ้าคะ”
ซูหลงยังยิ้มปลอมๆส่งไปให้ “ใช่แล้ว ไม่ได้พบกันนานเลยทีเดียว”
คนที่อยู่ตรงกลางสวมชุดสีขาวดูอ่อนแอผอมบาง สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย เขาเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองขึ้นว่า “ข้าน้อยหวางเจียง คารวะพระชายา”
หยวนชิงหลิงหัวเราะฮะๆพลางพูดว่า “ยินดีที่ได้พบนายหวางเจียง”
นางกระอักกระอ่วนมาก จนเกือบจะไม่ได้พูดออกไปว่าเราเป็นคนกันเองอยู่แล้ว
อาซี่มองไปที่หวางเจียงด้วยสายตาเคารพยกย่อง ก้าวขึ้นไปด้านหน้า แล้วพูดตะกุกตะกักว่า: “นายหวาง ข้าชื่ออาซี่ ข้าชื่นชมท่านมานาน โชคดีอย่างยิ่งที่ได้พบท่านในวันนี้”
หวางเจียงมองไปที่อาซี่ด้วยรอยยิ้ม และรอยยิ้มของเขาก็จริงใจกว่าตอนที่เขามองดูหยวนชิงหลิงมาก “แม่นางยกย่องข้ามากเกินไปแล้ว ฝากทักทายฮูหยินใหญ่แทนข้าด้วย”
“ท่านรู้จักท่านย่าของข้าด้วยรึ? โอ้ สวรรค์ เยี่ยมไปเลย” อาซี่เกิดอาการคลั่งคนหน้าตาดีกำเริบ
หยวนชิงหลิงพูดเสียงเรียบ ๆ ว่า “อาซี่ เจ้ามีบุคคลที่ชื่นชอบมากมายเสียงจริงนะ”
อาซี่คว้าแขนนางอย่างตื่นเต้น “พระชายา นายหวางเจียงเชียวนะ ท่านไม่ตื่นเต้นเลยรึ? ภาพวาดของเขาแม้มีเงินนับพันก็ยังยากจะได้มาครอง แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ไม่อาจได้รับอักษรที่เขียนด้วยลายมือของเขามาไว้ในครอบครองได้ อีกทั้งยังรู้เรื่องบนฟ้าดาราศาสตร์ รู้เรื่องพื้นดินภูมิศาสตร์ มีความรู้มากมาย อ่านหนังสือทุกประเภทได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน พรรณนาความรู้ได้ลึกซึ้ง รอบรู้ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับอดีตกาลจนถึงเรื่องที่เกี่ยวกับปัจจุบัน ถ้าเหลิ่งจิ้งเหยียนได้เจอเขาล่ะก็ ยังต้องเรียกเขาว่าอาจารย์ด้วยซ้ำ ไม่เพียงเท่านั้นนะ ฝ่าบาทเอ่ยปากเชิญให้เขาไปเป็นขุนนางในราชสำนักถึงสามครั้ง แต่เขากลับปฏิเสธทุกครั้ง ช่างมีจิตใจสูงส่งไร้มลทินอย่างแท้จริง”
นายหวางเจียงผู้นี้ ช่างมีตำนานมากมายเสียจริง
หยวนชิงหลิงตกตะลึง ลุกขึ้นคารวะทันที “เสียมารยาทแล้ว!”
หวางเจียงยกยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีที่จะถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย
หยู่เหวินเห้ายังคงแนะนำอีกหนึ่งคนที่เหลือต่อไป เขามีรูปโฉมงดงามดั่งหยกที่ประดับบนมงกุฎ รูปร่างสูงโปร่งเป็นสง่า นั่งอยู่ที่นั่น ก็ยังรู้สึกถึงความอกผายไหล่ผึ่ง
“นี่คือหลู่หมาง แม่ทัพของกองพลทหารม้าจู่โจม หลานชายของหลู่กั่วกง” หยูเหวินเห้าเอ่ยแนะนำ
“ที่แท้คือแม่ทัพกองทหารม้าจู่โจมนี่เอง!” หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม
ติดอยู่แค่ว่าชื่อหลู่หมางนี้ ช่างเป็นชื่อที่ตั้งได้สะเพร่าเสียจริงเชียว!
รอบด้านเงียบสนิท มีเพียงหยู่เหวินเห้าคนเดียวที่ยังพูดคุยด้วยท่าทางมีความสุข “พูดไปแล้ว พวกเราก็ไม่ได้พบกันมาหลายเดือนแล้วสินะ ช่างมีความสุขเสียจริง วันนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับกันเถอะนะ”
ทุกคนมองเขาด้วยรอยยิ้มพลางพูดว่า “ใช่แล้ว ไม่เมาไม่กลับ”
ช่างเป็นประโยคตอบรับที่ขอไปทีอย่างยิ่ง
เสี้ยวหงเฉิงพูดกับหยวนชิงหลิงแบบเด็ดขาดอย่างยิ่งว่า: “พระชายา ที่นี่อากาศค่อนข้างหนาวเย็น เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ไม่สู้เข้าไปพักผ่อนที่ห้องด้านในเสียหน่อย ข้าจะสั่งให้คนทำขนมหวานให้เจ้าเอง”
หยวนชิงหลิงเองก็รู้สึกว่า การนั่งอยู่ที่นี่ออกจะอึดอัดไม่สบายนัก จึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ได้ เช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนเจ้าสำนักเสี้ยวแล้ว”
หยู่เหวินเห้ากลับคว้าตัวนางไว้ทันที “เจ้าอย่าไปเลย หวางเจียงมีความรู้กว้างขวาง มักจะเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้พวกเราฟังเสมอ ๆ เจ้านั่งลงแล้วลองฟังดูสักหน่อยเถอะ”