บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 432 พระชายาจี้พูด
แผลตรงท้องก็ลึกมาก เลือดไหลเยอะมาก
เสียเลือดมาก ต้องให้เลือดถึงจะสามารถประคองชีวิตไว้ได้ ไม่เช่นนั้น เมื่อยาเม็ดจื่อจินหมดฤทธิ์ คนก็ไม่รอด
ตอนนี้สภาพร่างกายของหยวนชิงหลิง ขั้นตอนการให้เลือดถือเป็นการยากมาก
แต่เมื่อเทียบกับการเย็บแผล การให้เลือดก็ถือเป็นเรื่องเล็ก เมื่อเทียบกับสภาพร่างกายของนาง
โดยเฉพาะบาดแผลตรงส่วนท้องยากที่จะจัดการ หากแน่ใจแล้วว่าระบบภายในส่วนอื่นไม่ได้รับความเสียหาย ก็สามารถเริ่มเย็บได้
ตรงส่วนท้องเย็บไปหนึ่งชั้น นางก็รู้สึกว่าดวงตาแทบบอดแล้ว ดวงตาแดงไปหมด
อดทนเย็บบาดแผลตรงส่วนท้องจนเสร็จ แล้วนางก็ไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงพูดกับฮ่องเต้หมิงหยวนว่า “เสด็จพ่อ ไปเชิญเจ้าอาวาสวัดฮู่กว๋อมาเถอะ”
“เขารู้วิชาการแพทย์เหมือนอย่างเจ้าหรือ?” ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูการกระทำของนางอยู่ตลอด และก็รู้สึกว่านางเหนื่อยอย่างมากแล้ว
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างเหนื่อยล้าว่า “อย่างน้อย การเย็บแผลไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา”
อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงดุษฎีบัณฑิตทางการแพทย์? น่าจะใช่ จำไม่ได้แล้ว แต่ช่างเถอะ ขอยกให้เจ้าล่ะ
“เขา…” ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูอ๋องฉีอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง พร้อมพูดขึ้นว่า “จะมีอันตรายถึงชีวิตไหม?”
“มี” หยวนชิงหลิงพูดตามตรง
เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ ฮองเฮาก็ร้องไห้ขึ้นมา
แววตาฮ่องเต้หมิงหยวนหนักอึ้ง ยกมือถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ เจ้าไปพักก่อนเถอะ”
หยวนชิงหลิงถูกประคองพาไปพักผ่อน หมันเอ๋อจัดการบาดแผลด้วยตนเอง หยวนชิงหลิงให้นางพิงบนเก้าอี้แล้วก็นอนลง
แม่นมสี่เข้าๆออกๆคอยดูแลอยู่ พระชายาจี้ก็อยู่เป็นเพื่อนนาง
“เจ้ามาได้อย่างไร?” หยวนชิงหลิงพักหายเหนื่อยแล้ว ค่อยเงยหน้าขึ้นมาถาม
พระชายาจี้ที่เมื่อกี้ยังควบม้ามาช่วยเหลืออย่างเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ ตอนนี้กลับกลายเปลี่ยนเป็นอ้ำๆอึ้งๆ แอบเหลือบมองดูหยวนชิงหลิง แล้วค่อยพูดขึ้นว่า “ข้าได้ส่งคนคอยปกป้องเจ้าอยู่ตลอด”
“ปกป้อง?” หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว
“คือ….” พระชายาจี้เปลี่ยนคำศัพท์ที่ใช้ใหม่ว่า “เฝ้าดูอยู่”
“เฝ้าดู จับตาดู” หยวนชิงหลิงพูดสี่คำนี้ออกมา
พระชายาจี้หัวเราะ พร้อมพูดขึ้นอย่างเก้อเขินว่า “ก็ไม่มีทางเลือก ผ่านประสบการณ์เรื่องฉู่หมิงชุ่ยในก่อนหน้านี้มา ข้าจึงต้องเฝ้าระวังไว้เผื่อมีคนลงมือกับเจ้า ชีวิตของข้ายังอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ? ครั้งนี้ที่เจ้าออกมาแล้วถูกลอบทำร้าย ก็มีคนขี่ม้าเร็วมาหลายงานแล้ว และก็เพราะว่าใกล้จวนของเรา ข้าจึงสามารถรีบพาคนไป แต่หากช้าไปกว่านี้ เจ้าก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว”
หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นว่า “ช่างมีคนคอยจับตาดูข้าเยอะจริงๆ แต่ว่าครั้งนี้ ข้าต้องขอขอบคุณเจ้า แค่แม่นมสี่กับตอเป่า ไม่สามารถที่จะช่วยแบกพาตัวข้าหนีไปได้”
พระชายาจี้มองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ถือสา?”
“แทบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว ยังจะถือสาพวกนี้ทำไม? ปีนี้ช่างผ่านไปอย่างทรมานใจจริงๆ” หยวนชิงหลิงเหนื่อยล้าจนมือยังสั่นอยู่ตลอด มองดูพระชายาจี้ พร้อมพูดขึ้นว่า “นักพกมีดโค้งพวกนั้น?”
พระชายาจี้พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ไม่ใช่คนของจวนอ๋องจี้ แต่หากจับเป็นได้ หากไต่ถามจะต้องบอกว่าเป็นคนของจวนอ๋องจี้แน่”
หยวนชิงหลิงฟังคำพูดพวกนี้แล้ว ในใจก็เหนื่อยอย่างมาก
หนังไม่มีกะจิดกะใจไปสนใจ เรื่องพวกนี้ พระชายาจี้รู้ เจ้าห้าก็ต้องรู้
ทางด้านสวีอีกลับมาแล้ว สวีอีจับเป็นไม่ได้ ฆ่าไปแล้วสามคน
แต่แม่ทัพหลอขององครักษ์ลับผีจับได้หนึ่งคน มองตัวให้กับกองทหารรักษาพระองค์ไปสอบสวน
ทางด้านหยู่เหวินเห้า ตอนที่ตามจับกุมก็พบนักฆ่าคนหนึ่ง นักฆ่าได้รับบาดเจ็บไปหาหมอที่โรงหมอ จึงถูกหยู่เหวินเห้าจับตัว
เหตุเพราะไม่สามารถสอบสวนเป็นการส่วนตัว จึงมอบตัวให้กับกองทหารรักษาพระองค์
กองทหารรักษาพระองค์สอบสวนในคืนนั้น ทั้งสองคนยอมรับสารภาพว่าอ๋องจี้เป็นคนสั่ง
การยอมรับสารภาพนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ตีแทบตายกว่าจะยอมรับสารภาพ
ในเวลาเดียวกัน โรงเตี๊ยมที่ทั้งสองคนอาศัยอยู่เป็นการชั่วคราว ได้ค้นพบจดหมายหนึ่งฉบับ กับตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึง
ลายมือได้ผ่านการพิสูจน์โดยบัณฑิต เป็นลายมือของอ๋องจี้
สิ่งที่กองทหารรักษาพระองค์สอบสวนได้มา ล้วนทูลต่อฮ่องเต้หมิงหยวน
ฮ่องเต้หมิงหยวนดูคำยอมรับสารภาพกับลายมือ สีหน้าอึมครึมมืดครึ้มเหมือนฟ้าจะถล่มลงมา
ความโกรธโมโหฉายแววอยู่ในดวงตา มีราชโองการถึงกู้ซือในทันที ให้จับตัวอ๋องจี้ไว้ก่อน แล้วรอคอยคำตัดสิน
เมื่อหยู่เหวินเห้ากลับมา ได้รู้ว่าหยวนชิงหลิงก็ถูกลอบทำร้าย ก็ร้อนใจอยากที่จะไปดูหยวนชิงหลิง แต่กลับถูกฮ่องเต้หมิงหยวนไล่ออกไปอีกครั้ง ให้เขาจัดวางกำลังทั่วทั้งเมือง ลาดตระเวน ไล่จับติดตามหานักฆ่าคนอื่นที่เหลือ
หยู่เหวินเห้าจึงต้องอ้างว่าจะไปดื่ม แล้วรีบวิ่งเข้าไป มองเห็นนางไม่เป็นอะไร ก็ไม่สนใจว่ามีพระชายาจี้อยู่ด้วย โอบกอดนางไว้แน่น แล้วจูบบนหน้าผากของนางอยู่เนิ่นนานไม่ยอมปล่อย
ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่หยวนชิงหลิงมองเห็นแววตาที่เจ็บปวดของเค้า ยังมีความโกรธโมโหที่อดกลั้นไว้
“ข้าไม่เป็นไร รีบไปทำงานเถอะ” หยวนชิงหลิงพูดขึ้นด้วยเสียงเบา
หยู่เหวินเห้าเดินออกไป แล้วก็หันกลับมามองนางแวบหนึ่ง ค่อยจากไป
ค่ำคืนนี้ คนมากมายต่างก็งานยุ่งจนเอวแทบขาด วิ่งจนขาแทบหัก
อ๋องจี้กลับสุขสบาย ตอนที่กู้ซือพาคนมา เขากำลังนอนกอดฉู่หมิงหยางอยู่ในห้อง ในงานเลี้ยง เขาดื่มไปเยอะ มีอะไรกับฉู่หมิงหยางเสร็จ แล้วก็นอนหลับ
ตอนที่กู้ซือมา เขายังโกรธโมโหอย่างมาก จนเมื่อกู้ซือนำราชโองการออกมา บอกว่าอ๋องฉีกับพระชายาฉู่ถูกลอบทำร้าย นักฆ่าที่ถูกจับได้ ยอมรับสารภาพว่าเป็นคนในจวนของเขา เขานิ่งอึ้งไปทันที สีหน้ากลายเปลี่ยนเป็นขาวซีด
กู้ซือพานางไป ฉู่หมิงหยางตามออกไปตะโกนด้วยความโกรธ แต่ราชโองการนางจะขัดได้หรือ? ต่อให้นางร้องไห้ตะโกนอย่างไร อ๋องจี้ก็ไม่กลับมา
ฉู่หมิงหยางก็ไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที แล้วก็กลับไปหาท่านปู่
ทางด้านตระกูลฉู่ ก็ได้ข่าวแล้วว่าอ๋องฉีถูกลอบทำร้าย
อ๋องฉีเป็นหลานของโสวฝู่ โสวฝู่ก็จะตื่นเต้นอย่างมาก รีบมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นตอนที่ฉู่หมิงหยางกลับไป ที่จริงโสวฝู่ไม่ได้อยู่ที่จวน
ประชาชนในเมืองหลวง ผ่านหนึ่งปีมาอย่างสุขสบาย
รุ่งเช้าวันขึ้นปีใหม่ เปิดประตูบ้านมาจุดประทัด ค่อยรู้ว่าทั่วทั้งเมืองมีกฎอัยการศึก และประตูก็ถูกปิดกั้น
ฮ่องเต้หมิงหยวนมีคำสั่ง ก่อนวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนหนึ่ง ล้วนห้ามออกจากเคหสถาน พูดอีกอย่างก็คือ งานเฉลิมฉลองทั้งหมดในปีนี้ อะไรก็ตามที่จัดขึ้นในเวลากลางคืน ถูกยกเลิกทั้งหมด
นอกจากนักฆ่าสองคนนั้นแล้ว ก็จับนักฆ่าคนอื่นๆไม่ได้แล้ว และเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็พูดว่า นักฆ่าสองคนนั้นมาด้วยกัน นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีคนอื่น
หลังจากนักฆ่ายอมรับสารภาพแล้ว ก็ได้ฆ่าตัวตายในคุก
คำสารภาพของพวกเขา ก็คือคำสารภาพสุดท้าย
ฮ่องเต้หมิงหยวนกับโสวฝู่ฉู่กลับวังแล้ว ฮองเฮาไม่ยอมกลับ จะเฝ้าลูกชายของตนเอง
หยวนชิงหลิงยังเฝ้าอ๋องฉีอยู่ในจวนรับรอง เจ้าอาวาสมาแล้ว เขาเห็นกล่องยาของหยวนชิงหลิง แล้วก็ช่วยอ๋องฉีจัดการบาดแผล มีการถามหยวนชิงหลิงบ้าง แล้วก็พูดขึ้นว่า “ค่อนข้างล้าสมัยแล้ว”
เขาเป็นคนรุ่นหลังหยวนชิงหลิงหลายปี เป็นช่วงเวลาที่วิทยาศาสตร์และการแพทย์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว แน่นอนเขาจึงเห็นว่าสิ่งของ ของหยวนชิงหลิงล้าสมัย
อ๋องฉีถูกลอบทำร้าย อ๋องจี้ถูกจับ ข่าวลือถูกพูดร่ำลือออกไปอย่างรวดเร็ว
พวกอ๋องต่างก็มาเยี่ยมเยือน อ๋องอานสองสามีภรรยาก็มา
อ๋องอานเห็นอ๋องฉีอยู่ในสภาพแบบนี้ ก็โกรธโมโหอย่างมาก เจ็บปวดใจอย่างที่สุด
เขาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฮองเฮา พูดว่าจะไม่ปล่อยให้คนร้ายลอยนวลเด็ดขาด ฮองเฮาเห็นเขาจริงจังขนาดนี้ ก็ซึ้งใจในความผูกพันระหว่างพี่น้องของพวกเขา ดึงมืออ๋องอานมาพูดว่า “เจ้าสี่ ขอบใจในความห่วงใยของเจ้า”
ต่อมาเมื่ออ๋องอานได้ยินว่าพระชายาฉู่ก็ถูกลอบทำร้าย ก็ตกใจจนคางแทบหลุด พร้อมพูดขึ้นอย่างตกตะลึงว่า “โอ้พระเจ้า ใครกันที่บ้าคลั่งได้ขนาดนี้? พระชายาฉู่กำลังตั้งครรภ์อยู่นะคะ”
เขาได้พาพระชายาอ๋องอานไปเยี่ยมหยวนชิงหลิง