บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 435 เจ้ายังจะทานข้าวอะไร
เจ้าอาวาสถามว่า “ผู้อาวุโส สมองของร่างกายนี้ถูกครอบครองโดยจิตใจและจิตสำนึกของเจ้าโดยสมบูรณ์ แต่เจ้าก็ยังสามารถควบคุมกล่องยาได้ รู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
หยวนชิงหลิงคิดถึงครั้งก่อนที่อยู่วัดฮู่กว๋อ ไม่กล้าพูดคุยเรื่องนี้กับเขา ครั้งนั้นเขารวบรวมเทววิทยากับงานวิจัยของตนรวมไว้ด้วยกัน ดังนั้นจึงทำให้นางตกใจ
“เพราะอะไร?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
แก้วใบนั้น ค่อยๆหล่นลงบนหลังมือของนาง นางหยิบมันขึ้นมาด้วยมืออีกข้างหนึ่ง วางลงบนโต๊ะ มองดูเจ้าอาวาส
เจ้าอาวาสพูดว่า “เพราะ สถานที่ที่เจ้าเคยอาศัยอยู่ บางคนอาจก็มีจิตสำนึกของเจ้า จิตสำนึกของพวกเจ้าประสานรวมกัน เพียงแค่ตัวเจ้าเองยังไม่รู้”
หยวนชิงหลิงครุ่นคิด พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าหมายความว่า ที่จริงงานวิจัยของข้าประสบความสำเร็จแล้ว สุดท้ายได้ถูกทำมาใช้แล้ว?”
“แผนงานวิจัยของเจ้าถูกพักไว้แล้ว ไม่มีใครทำวิจัยเหมือนกันอีกมาตลอด อย่างน้อย ไม่มีคนเปิดเผยงานวิจัย เพราะมนุษย์ฉลาดอย่างมากแล้ว” เจ้าอาวาสพูดขึ้น
“ดังนั้น เจ้าศึกษาแบบส่วนตัวหรือ?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
ดวงตาของเจ้าอาวาสยังคงเต็มไปด้วยความรักในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พร้อมพูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกายว่า “ไม่ผิด ข้าเริ่มศึกษาหัวข้องานวิจัยของเจ้าตั้งแต่อายุยี่สิบสาม หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเจ้าทั้งหมด เอกสารวิชาการของเจ้า บันทึกย่อที่เขียนด้วยลายมือของเจ้าต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวลที่มี”
ในใจหยวนชิงหลิงตกตะลึง หันไปมองดูเขาในทันใด พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นเจ้ารู้ไหม หลังจากที่ข้าตาย พ่อแม่คนในครอบครัวของข้าเป็นอย่างไร?”
เจ้าอาวาสพูดขึ้นว่า “หลังจากที่เจ้าตายแล้ว พ่อแม่ของเจ้ารับลูกสาวบุญธรรมมาคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาคล้ายกับเจ้า”
หยวนชิงหลิงตกตะลึง พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่เป็นความบังเอิญหรือ?”
“ยิ่งบังเอิญไปกว่านั้นก็คือ นางก็เป็นแพทยศาสตรบัณฑิต เคยคิดที่จะทดลองหัวข้องานวิจัยของเจ้า แต่หลังจากที่เจ้าตายไปแล้วสิบปี นางหายสาบสูญ อย่างไร้ร่องรอย”
หยวนชิงหลิงไม่พูดไม่จาเนิ่นนาน
สุดท้าย นางค่อยๆครุ่นคิดเรื่องนี้ แล้วถามขึ้นว่า “เกี่ยวกับเรื่องของข้า เจ้ายังรู้อีกแค่ไหน?”
เจ้าอาวาสถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโสหมายถึงทางด้านไหน? ข้ารู้มากมาย”
เขาไม่เรียกตนเองว่าอาตมาแล้ว
“ทั้งหมดที่เจ้ารู้ เจ้าล้วนพูดออกมาดู” หยวนชิงหลิงอยากรู้ว่าหลังจากที่ตนเองตาย ชื่อเสียงหลังจากความตายเป็นอย่างไร
เจ้าอาวาสพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโสเกิดที่โรงพยาบาลประชาชนแห่งแรกเมืองก่วง เรียนประถมตอนอายุหกขวบ ตอนอายุแปดขวบกระโดดฉันไปเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ห้า ในปีเดียวกันนั้นได้เข้าร่วมสอบเลื่อนชั้น โดยเลื่อนชั้นไปเรียนมัธยมปีที่หนึ่ง ตอนอายุเก้าขวบ เคยเข้ารับการรักษาเหตุเพราะการที่มีพัฒนาการเร็วเกินไป หลังจากทานยารักษาแล้ว มีประจำเดือนครั้งแรกตอนอายุสิบหก”
“หยุด หยุด” หยวนชิงหลิงยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าท่า จึงรีบพูดห้ามขึ้นว่า “ไม่ใช่พวกนี้ เจ้าพูดเกี่ยวกับงานวิจัยของข้า”
เจ้าอาวาสหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “งานวิจัยของเจ้า ข้าพูดแล้วว่า ไม่มีใครกล้าเปิดเผยงานวิจัยนี้อีก แต่คนที่เคยศึกษาเกี่ยวข้องกับงานวิจัยของเจ้านี้ ต่างก็ชื่นชมเจ้าในฐานะผู้บุกเบิก”
หยวนชิงหลิงยื่นมือโบกห้าม พร้อมพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ฟังแค่นี้ก็พอแล้ว ที่เหลือไม่ต้องพูดอีกแล้ว”
เจ้าอาวาสมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโส มีเรื่องหนึ่ง หากข้าพูดออกมา เกรงว่าท่านจะยิ่งตกใจกว่านี้”
“เรื่องอะไร?” หยวนชิงหลิงรู้ว่าไม่ควรรักพล่อยไปถาม แต่ก็ค่อนข้างแปลกใจและอยากรู้ว่าถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะมีอะไรที่สามารถทำให้ตนตกตะลึงได้อีก
“การถ่ายทอดทางพันธุกรรม” เจ้าอาวาสพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงคิ้วกระตุกหลายที พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้า….เจ้าหมายความว่า?”
เจ้าอาวาสมองดูท้องของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโสไม่เคยคิดหรือ?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างแทบไม่มีแรงว่า “ไม่กล้าคิด”
เจ้าอาวาสหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ถือเป็นเรื่องดี อย่างน้อย อีกไม่นานต่อจากนี้ พวกเราจะสามารถได้เห็นถึงงานวิจัยของเจ้า ว่าจะประสบความสำเร็จเจ็บแค่ไหน”
ในใจหยวนชิงหลิงตะโกนว่า ไม่เอา นางหวังว่าลูกของตนเองจะเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง
“ผู้อาวุโสวางใจ จากปริมาณการฉีดกับระดับความโง่เขลาของเจ้าในตอนนี้ ลูกของเจ้า สันนิษฐานได้ว่าคงไม่สามารถมีพลังเวทมนตร์ใดๆ เพียงแค่ดูความโชคดีของพวกเขาในอนาคต อย่างน้อย พ่อก็โง่เขลาคนหนึ่ง แม่ก็โง่เขลาทั้งตระกูล”
หยวนชิงหลิงยังคงมีท่าทีที่ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
“รอคอยและคาดหวังในสติปัญญาของพวกเด็กๆ ยิ่งรอคอยและคาดหวังจำนวนเซลล์สมองของพวกเขา หากเป็นไปได้ ข้ายังอยากดูด้วยว่าเซลล์สมองของพวกเขา มีความสามารถในการแบ่งตัวและสร้างใหม่หรือไม่” เจ้าอาวาสพูดขึ้น
เซลล์จำนวนมากในร่างกายมนุษย์สามารถแบ่งตัวและสร้างใหม่ได้ แต่มีเพียงเซลล์สมองเท่านั้นที่เป็นเซลล์ที่มีความแตกต่างกันมาก ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้อีก
เริ่มตั้งแต่เกิดก็สามารถกำหนดได้แล้วว่ามีเซลล์สมองที่สามารถใช้ได้เท่าไหร่ หลังจากอายุสิบแปด เซลล์สมองก็จะลดลงทุกปี จนถึงเสียชีวิต
งานวิจัยของหยวนชิงหลิงเอง เริ่มต้นด้วยการวิจัยเกี่ยวกับการสร้างเซลล์ประสาท ผลจากการวิจัย เซลล์ประสาทสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้โดยการกระตุ้นการสร้างความแตกต่างของเซลล์ต้นกำเนิดประสาท
แต่การสร้างเซลล์ประสาทนี้ จำกัดอยู่เพียงสองบริเวณของช่องด้านข้างด้านล่างและส่วนร่องนูนของฟันน้ำนมฮิปโปแคมปัส
หากพูดว่า เซลล์สมองสามารถแบ่งตัวและสร้างใหม่ได้ ถือว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตการวิจัยของนางแล้ว
ดังนั้น นางจึงไม่เอาคำพูดของเจ้าอาวาสมาใส่ใจ
แต่ต้องยอมรับว่า นางพูดคุยกับเจ้าอาวาส ถึงแม้จะน่าตื่นเต้น แต่นี่คือสิ่งที่นางคุ้นเคย
ไม่ใช่การแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ใช่การปัดแข้งปัดขากัน ไม่ใช่ปากหวานก้นเปรี้ยว
ความขัดแย้งทางวิชาการ ต่อให้มีทรรศนะที่เป็นปฏิปักษ์กัน ดุเดือดไม่หยุด แต่ก็ไม่ทำให้เหนื่อยใจ กลับยิ่งทำให้รู้สึกสนใจอย่างคึกคัก
ทำให้นางยิ่งมั่นใจอยากที่จะเปิดวิทยาลัยแพทย์
อาการของอ๋องฉียังคงไม่ดีขึ้น ดังนั้น ถึงแม้ฟ้าจะมืดแล้ว หยวนชิงหลิงก็ยังไม่ได้กลับ
คืนนี้คงต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ต่อไป
เจ้าห้าไม่ได้กลับมาเลย ยังคงยุ่งอยู่ด้านนอก ส่วนสวีอีพาคนผ่านมา จึงเข้ามาดูหยวนชิงหลิงแปบหนึ่ง บอกว่าท่านอ๋องคิดถึงนาง
หยวนชิงหลิงสนใจเพียงเรื่องเดียว จึงถามขึ้นว่า “เขาทานอะไรแล้วหรือยัง?”
สวีอีถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ทาน? น้ำสักหยดก็ไม่ได้ดื่ม”
หยวนชิงหลิงรีบคว้าหยิบเอาขนมแล้วใช้กระดาษมันห่อไว้ ยัดเข้าไปในกระเป๋าของสวีอี พร้อมพูดขึ้นว่า “หากเจอเขา เอาให้เขา”
สวีอีเองก็หยิบมาหลายชิ้น แล้วก็ยัดเข้าไปในปาก พูดอย่างอู้อี้ว่า “รู้แล้ว”
พูดเสร็จ แล้วก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงตอนเที่ยงคืน อ๋องฉีเริ่มเป็นไข้
ทำให้หยวนชิงหลิงเหนื่อยอย่างมาก กลัวว่าจะติดเชื้อ
ให้น้ำเกลือ ฉีดเข้ากล้าม ให้ยา ระบายความร้อนทางกายภาพ ด้วยสี่วิธีพร้อมกัน
ในที่สุดก็ยุ่งจนฟ้าสว่าง อุณหภูมิในร่างกายค่อยๆลดลง
หยวนชิงหลิงเหนื่อยจนเป็นลมล้มพับ
วันขึ้นปีใหม่ หมดแรงแล้ว
หลายคนช่วยกันอุ้มหยวนชิงหลิงไปพักในห้องด้านข้าง เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน หยู่เหวินเห้าก็กลับมาแล้ว
เขานั่งด้านข้างหยวนชิงหลิง เฝ้าอยู่สักพัก อยากรอให้นางฟื้นขึ้นมาพูดคุยกัน กลับได้ทราบว่าเสด็จพ่อมาอีกแล้ว และตามตัวเขาไปเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วน
หยู่เหวินเห้าคว้าหมั่นโถวแห้งมาหนึ่งลูก เดินไปด้วยทานไปด้วย หมั่นโถวแข็งเหมือนดั่งหิน เขาเคี้ยวไม่กี่คำแล้วก็กลืนลงคอ แทบเกือบสำลักตาย
ครั้งนี้ ฉางกงกงออกจากวังมาด้วย ทางด้านไท่ซ่างหวงก็ให้ความสนใจเรื่องนี้
ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นอาการอ๋องฉี ยังไม่มีวี่แววที่จะดีขึ้น จึงทั้งร้อนใจและโมโห ความโมโหนี้ล้วนระบายใส่หยู่เหวินเห้า เพราะตามจับมาทั้งวันทั้งคืน นอกจากนักฆ่าสองคนที่ฆ่าตัวตายไปแล้ว ก็จับใครคนอื่นไม่ได้อีก
ส่วนทางด้านจวนอ๋องจี้ ก็ได้พาคนไปตรวจค้นแล้ว นอกจากทหารในจวนแล้ว คนในยุทธภพคนอื่น หนีไปตั้งแต่แรกแล้ว
ที่ฮ่องเต้หมิงหยวนโกรธก็คือ ประตูเมืองถูกสั่งปิดเป็นอันดับแรก คนพวกนั้นหนีออกไปได้อย่างไร? หากไม่ได้หนีออกไป แล้วคนอยู่ที่ไหน? ในเมื่อตรวจค้นทั่วทั้งเมือง แล้วทำไมถึงหาคนไม่เจอ?
หยู่เหวินเห้ากินน้ำลายไปทั้งหน้า แล้วก็ถูกฮ่องเต้หมิงหยวนไล่ออกไปตามจับต่อ และครั้งนี้จะต้องขยายขอบเขตการค้นหา ให้เขาพาทหารไปค้นหาด้านนอกเมือง
ครั้งนี้ แม้แต่ฮองเฮาก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้ เขาเพิ่งกลับมาได้เพียงแป๊บเดียว ให้เขาพักผ่อนสักครู่ก่อนแล้วค่อยไปอีกเถอะ เขาคงยังไม่ได้ทานข้าวด้วยซ้ำ”
“จับตัวนักฆ่าไม่ได้ ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ไม่มีแล้ว ยังจะทานข้าวอะไรอีก?” ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นอย่างเย็นชา
หยู่เหวินเห้าได้ฟังเช่นนี้แล้ว ในใจก็หนักอึ้ง