บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 509 ราชฑูตมาเยือน
ฉากความฝันนั้นค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในสมองของหยวนชิงหลิง ทุกประโยค ทุกคำพูดค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ชัดเจนมากจนดูไม่เหมือนความฝัน
ถึงขั้นที่ว่า นางรู้สึกว่าตอนนี้ต่างหากถึงจะเป็นความฝัน บางทีอาจเป็นเพราะอาการง่วงงุนหลังเมาค้าง ทำให้นางรู้สึกเหมือนกำลังเหยียบอยู่บนก้อนเมฆและสายหมอกอันคลุมเครือ รู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน
ตอนที่ประสานสายตากับหยู่เหวินเห้า รอยยิ้มของนางก็เลื่อนลอยและซีดเซียวอย่างยิ่ง เหมือนกับว่านางพยายามฝืนบีบเค้นมันออกมา ดูแข็งทื่ออย่างมาก
บางครั้ง ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของแม่ที่ดังก้องอยู่ในหู หัวใจเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างน่ากลัว เจ็บมากจนแทบจะต้องขดตัวลง เพื่อหยุดความเจ็บปวดที่ว่านั้นเลยทีเดียว
ส่วนหยู่เหวินเห้าในเวลานั้น ก็คุกเข่าลงแล้วกอดนางเบา ๆ โดยไม่พูดไม่ถามอะไรทั้งสิ้น เพียงใช้สายตาที่เจ็บปวดจ้องมองนางเงียบ ๆ
หยวนชิงหลิงเข้าใจดีว่าเขารู้ทุกอย่าง ในความฝันนั้นยังมีอีกหนึ่งความฝัน นั่นคือ ตัวนางที่รั้นจะกระโดดลงไปตามหาแม่ และเขาที่กอดนางไว้ กอดแบบยอมตายก็จะไม่ยอมปล่อยให้นางไป
เขากำลังหวาดกลัวอย่างมาก เมื่อเห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของเขา หยวนชิงหลิงก็ซ่อนความเจ็บปวดและความปรารถนาของตัวเองไว้ ฝังลึกลงในก้นบึ้งของหัวใจเงียบ ๆ
เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ ตัวนางก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น ทำราวกับว่าไม่เคยมีฉากความเมามายที่ว่านี้เกิดขึ้นมาก่อน
แต่ในคืนนี้ขณะที่หยวนชิงหลิงนั่งดูดาวอยู่ข้าง ๆ เขาอยู่ในศาลา นางก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า: “เจ้าห้า เรื่องที่เจ้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ที่ว่า หากข้าไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า จะต้องหาวิธีกลับมาหาเจ้าให้ได้นั้น ข้ารับปากเจ้า ไม่ว่าข้าจะเผชิญสถานการณ์อะไรอยู่ก็ตาม ข้าจะต้องกลับมาหาเจ้าและลูก ๆ ให้ได้ จะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเจ้าเด็ดขาด”
หยู่เหวินเห้ากอดนางจนแน่น ทุกคำพูดอัดแน่นเข้าไปอยู่ในใจ จนทำได้เพียงส่งเสียง “อื้ม” ตอบรับออกไปเสียงหนึ่งเท่านั้น
ในใจของหยวนชิงหลิงยังคงรู้สึกเจ็บปวดหนัก ๆ ตื้อๆ ไม่หาย แต่นางก็พอจะเรียนรู้วิธีที่สามารถนำมาจัดการกับอารมณ์แบบนี้ได้บ้างแล้ว
หลังจากงานเลี้ยงครบเดือนของเด็ก ๆ ก็เป็นการเฉลิมฉลองพระราชพิธีสถาปนารัชทายาทแห่งราชวงศ์เป่ยถัง
ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงมีรับสั่งให้ส่งหนังสือราชการ เชิญราชทูตจากประเทศต่าง ๆ มา ในตอนนี้บรรดาราชทูตต่างก็ทยอยกันมาถึงอย่างต่อเนื่องแล้ว
หยู่เหวินเห้าก็มีความสุขเช่นกัน เพราะคนที่ส่งออกไปกลับมารายงานว่า แม่ทัพใหญ่จิ้งถิงจะมาถึงเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้แล้ว
หยู่เหวินเห้านอนไม่หลับทั้งคืนด้วยความตื่นเต้น กอดหยวนชิงหลิงไว้พลางเล่าถึงเรื่องราวของเขากับแม่ทัพใหญ่จิ้งถิงไม่หยุด
หยวนชิงหลิงไม่เคยเห็นเขาดีใจจนลืมตัวถึงขนาดนี้มาก่อน แม้ว่าในใจจะมีความสุขที่เขามีเพื่อนที่ดีเช่นนี้ แต่ก็ยังแอบกังวลใจว่าแม่ทัพใหญ่จิ้งถิงผู้นี้เป็นคนแคว้นต้าโจว การที่เขามาที่นี่อาจยังมีจุดประสงค์บางอย่างแฝงมาด้วย จะก่อให้เกิดพายุอะไรขึ้นมาหรือไม่ ? ถ้าหากเขามีความคิดแอบแฝงจริง ๆ ด้วยความไว้ใจของเจ้าห้า ก็น่ากลัวว่าเจ้าห้าอาจจะยอมให้เขาใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ลังเลทั้งยังไม่ปริปากบ่นก็เป็นได้
ดังนั้น ตอนที่หยู่เหวินเห้าพูดว่าเขาจะไปต้อนรับแม่ทัพใหญ่จิ้งถิงที่ประตูเมือง หยวนชิงหลิงก็เสนอตัวขอไปกับเขาด้วย
“เจ้าก็จะไปด้วยรึ ? แต่ไม่รู้นะว่าต้องรอนานแค่ไหน ข้าคิดว่าจะไปก่อนเวลา ” หยู่เหวินเห้ากลัวว่านางต้องรอนาน ตัดใจให้นางต้องไปลำบากไม่ได้ จึงเกลี้ยกล่อมนางว่าไม่ต้องไปจะดีกว่า
หยวนชิงหลิงยิ้มพลางพูดว่า: “ไม่เป็นไร ถ้าต้องรอนาน ข้าจะหาร้านน้ำชาแถว ๆ นั่งรอเอง ได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพจะพาฮูหยินมาด้วย ข้าไปต้อนรับด้วยก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว นอกจากนี้ แม่ทัพใหญ่จิ้งถิง ก็เป็นคนบอกเจ้าพระยาเจียงหนิงให้นำผงอู๋โยวมาให้พวกเรา บุญคุณนี้ก็ควรจะตอบแทนให้เหมาะสมถึงจะถูกต้อง”
“ใช่แล้ว ต้องขอบคุณเขาให้มากจริง ๆ ” หยู่เหวินเห้าได้ยินหยวนชิงหลิงพูดยกย่องแม่ทัพใหญ่จิ้งถิงเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจมาก “ในเมื่อเจ้าอยากไปด้วย พวกเราก็ไปด้วยกันเถอะนะ หลังจากไปถึงที่นั่นแล้ว เจ้าก็หาร้านน้ำชานั่งรอไปก่อน ข้าจะไปรอที่หน้าประตูเมืองเอง ถ้าเห็นว่ากองทัพมาถึง ข้าจะสั่งให้สวีอีมารายงานให้เจ้ารู้”
เมื่อได้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงและตื่นเต้นของเขา หยวนชิงหลิงก็อดส่ายหน้าไม่ได้ ในโลกใบนี้ มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งเหนียวแน่นขนาดนี้อยู่จริง ๆ น่ะหรือ? เคยแต่ได้ยินยังไม่เคยได้เห็นแม้แต่ครั้งเดียวเลยจริง ๆ
วันรุ่งขึ้น หลังกินมื้อเช้า ทั้งสองคนก็ออกเดินทางไปพร้อมกับอาซี่และสวีอี
เมื่อได้ยินว่าจะได้พบกับแม่ทัพใหญ่จิ้งถิง ทั้งอาซี่และสวีอีก็ตื่นเต้นกันมาก ตอนที่อยู่บนรถม้า อาซี่ก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินของแม่ทัพใหญ่จิ้งถิง ซึ่งมีนามว่าเฉินจิ่นหนิงให้หยวนชิงหลิงฟัง
“ฮูหยินเฉินผู้นี้ก็แซ่เฉินเช่นกัน ซึ่งนับว่าแปลกมาก ในแคว้นต้าโจวของพวกเขา ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องที่มีแซ่เดียวกันก็สามารถแต่งงานกันได้ ข้าได้ยินมาว่านี่เป็นกรณีที่ไทเฮาหลงทรงเอื้อให้ เฉินจิ่นหนิงผู้นี้เกิดในจวนกั๋วกง ต่อมาได้รับการอวยยศเป็นจวิ้นจู่ พ่อของนางเป็นแม่ทัพ นางเองก็เช่นกัน เคยนำกองทัพออกไปสู้รบ สู้จนแม่ทัพน้อยหงเล่แห่งเซียนเปยต้องหนีหัวซุกหัวซุน ได้ยินว่าเกือบจะต้องตายในสนามรบ ข้าแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะได้เจอวีรสตรีผู้นี้แล้ว ไม่รู้ว่านางมีสามเศียรหกกรหรืออย่างไรนะ? ” อาซี่พูดพลางหัวเราะซื่อบื้อ
หยวนชิงหลิงได้ยินแบบนี้ ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “คนธรรมดาจะไปมีสามเศียรหกกรได้อย่างไรกัน? นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าขำขันหรอกรึ?”
“ถึงจะไม่ได้มีสามเศียรหกกร เช่นนั้นก็ต้องสูงใหญ่ทรงพลังมากแน่ ๆ ท่านคิดดูสิ เป็นแม่ทัพหญิงเชียวนะ” อาซี่พูดอย่างมุ่งหาเหตุผลมารองรับ
หยวนชิงหลิงหลุดขำออกมาเสียงหนึ่ง “อาซี่ ข้าได้ยินมาว่าตระกูลหยวนของเจ้าก็เป็นแม่ทัพหญิงทั้งกลุ่ม คนในตระกูลหยวนของเจ้าต่างก็สูงใหญ่ทรงพลังกันหรือไม่ล่ะ?”
เมื่อพูดถึงตระกูลของตัวเอง อาซี่ก็ภูมิใจมากเช่นกัน แต่นางกลับพูดว่า: “แน่นอนว่าตระกูลหยวนของข้านั้นร้ายกาจมาก แต่ก็ไม่เหมือนจวิ้นจู่เฉินจิ่นหนิงหรอกนะ นางเป็นผู้นำกองทัพออกไปรบเพียงลำพัง เพื่อขจัดความขัดแย้งวุ่นวายภายในแคว้น จากนั้นจึงออกไปสู้รบกับเซียนเปยต่อ ช่างเป็นผู้หญิงที่องอาจผึ่งผายนัก อีกทั้งยังสามารถสร้างชื่อเสียงได้ภายในศึกแรกด้วย กระทั่งผู้ชายอกสามศอก ก็ยังแทบจะทำแบบนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำกระมัง?”
สร้างชื่อเสียงได้ภายในศึกแรก นั่นเป็นอะไรที่ร้ายกาจมากจริง ๆ หยวนชิงหลิงก็มีนิสัยยกย่องชื่นชมคนที่มีความสามารถด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงรู้สึกมีความคาดหวังรอคอยที่จะได้พบหน้าฮูหยินแม่ทัพใหญ่เฉินผู้นี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว
ที่ประตูเมือง ขบวนคนจากกรมพิธีการได้มารอต้อนรับเรียบร้อยแล้ว ในช่วงสองวันนี้ บรรดาราชทูตจากประเทศอื่น ๆ ต่างทยอยมากันอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่ากรมพิธีการซึ่งมีหน้าที่ต้อนรับ ย่อมต้องมาถึงก่อนเพื่อรอต้อนรับโดยไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ยึดตามการกลับมารายงานของคนที่ถูกส่งไป ผู้ที่จะมาถึงในวันนี้ คือราชทูตจากแคว้นต้าโจว
หลังจากหยู่เหวินเห้ามาถึง ก็พูดกับรองเจ้ากรมพิธีการว่า: “คณะราชทูตที่มาในวันนี้ ข้าจะต้อนรับเอง พวกเจ้าทั้งหมดกลับไปก่อนเถอะ”
ใต้เท้ารองเจ้ากรมยิ้มพลางพูดว่า “องค์ชายรัชทายาท พวกเรามาต้อนรับด้วยกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันรับคนแล้ว ก็ยังต้องส่งไปที่โรงเตี๊ยมด้วย ”
หยู่เหวินเห้าหันกลับไปมองหยวนชิงหลิง มีท่าทีอึกอักลังเลที่จะพูด
หยวนชิงหลิงมองเขาแล้วพูดว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไรรึ?”
หยู่เหวินเห้าจูงมือนางไปอีกฟากหนึ่ง แล้วถามเสียงเบาว่า: “ถ้าข้าชวนให้จิ้งถิงมาพักที่จวนของเรา เจ้าจะคัดค้านหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงตอบว่า “ไม่หรอก พักที่จวนของเราได้แน่นอน หากเจ้าอยากชวนพวกเขามาพักที่จวน เช่นนั้นก็ชวนเถอะ”
พักอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่เลว อย่างน้อยก็จะได้จับตามองได้ง่ายหน่อย
หยู่เหวินเห้ากระฉับกระเฉงสุดขีด พูดอย่างมีความสุขว่า: “เจ้าหยวน เจ้าช่างเป็นคนที่ใจดีจริง ๆ”
หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขามีความสุขมากขนาดนี้ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
หยู่เหวินเห้าให้พวกนางเข้าไปพักเท้าที่ร้านน้ำชาที่อยู่ข้าง ๆ ก่อน ในขณะที่ตัวเองไปดื่มชาอยู่กับทหารผู้เฝ้าประตูเมือง ทหารที่เฝ้าประตูเกร็งมาก ทำได้แค่คอยเติมชาให้เขาอย่างนอบน้อม แต่ตัวเองไม่กล้าดื่มด้วย
อากาศเริ่มค่อย ๆ ทวีความร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ประตูเมืองเชื่อมกับถนนสายหลัก สองข้างทางล้วนเป็นลานทราย ทันทีที่ลมพัด ก็จะเต็มไปด้วยทรายที่ถูกพัดมากับลม หน้าต่างโรงน้ำชาทั้งแปดบานเปิดกว้าง บางครั้งทรายจึงถูกลมพัดเข้ามา ทำให้เสี่ยวเอ้อต้องคอยใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดโต๊ะให้สะอาดอยู่เสมอ
เมื่อทราบสถานะอันสูงส่งของหยวนชิงหลิง ผู้คนในโรงน้ำชาทั้งหมดต่างก็ไม่กล้าละเลย รีบมายืนรอรับใช้เป็นแถวเป็นแนวเรียบร้อย ทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกอึดอัดมาก จึงตัดสินใจออกไป แล้วพาอาซี่ขึ้นไปบนหอกำแพงเมือง
หลังจากขึ้นไปบนนั้นแล้ว หยวนชิงหลิงก็คิดถึงจวิ้นจู่จิ้งเหอขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังผ่านเหตุการณ์อกสั่นขวัญหายในวันนั้น จนวันนี้พอนึกขึ้นได้ ก็ยังมีความรู้สึกกลัวอยู่ลึก ๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้นางไปอยู่ที่ไหน? ไม่รู้ว่าจะได้พบความสงบในใจบ้างแล้วหรือไม่?
นางใช้สองมือค้ำกำแพงเมือง เงยหน้าขึ้นแล้วถามอาซี่ว่า “เจ้าว่า ตอนนี้จวิ้นจู่จิ้งเหอจะไปอยู่ที่ไหนได้หรือ?”
อาซี่ส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ไม่แน่ว่าอาจจะไปค่ายเป่ยจวิ้นเพื่อตามหาอ๋องเว่ยก็เป็นได้ ?”