บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 51 นางร้องไห้
บทที่ 51 นางร้องไห้
หยู่เหวินเห้ารู้สึกฉุนเฉียว “ใครบอกว่ามีลูกสาวแล้วต้องลำบาก?”
หยวนชิงหลิงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ และพลันจัดท่านอนตัวเอง “ทำไมจะไม่ลำบาก?ยุคสมัยนี้เป็นยุคที่ผู้ชายสำคัญกว่าผู้หญิง ผู้หญิงมีทางเลือกเพียงแค่แต่งงานแล้วมีลูกเท่านั้นไม่สามารถเลือกทางอื่นได้เลย การดูแลรับใช้สามีคืออาชีพของนางตลอดชีวิต แต่อาชีพนี้ก็ยังมีคู่แข่งอีกเยอะ พวกท่านเป็นชายที่สามารถมีชายาหลายคน เจ้าชู้หลายใจ และไม่มีทางเข้าใจความรักจริงๆ ด้วยซ้ำ”
หยู่เหวินเห้าน้ำท่วมปากพูดไม่ออกทันที นี่มันเรื่องบ้าบออะไร?
อาชีพอะไร คู่แข่งอะไร?อีกอย่าง มีสิทธิ์อะไรมาว่าเขาไม่เข้าใจความรัก?
“ใครบอกว่าข้าไม่เข้าใจ?” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วจนแผลเป็นบิดเบี้ยว
“ท่านเข้าใจหรือ?งั้นถ้าท่านได้อภิเษกกับฉู่หมิงชุ่ย ท่านยอมที่จะมีนางเป็นชายาคนเดียวโดยไม่รับสนมหรือไม่?” หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นเสียงแข็ง “ข้าจะรับสนมหรือไม่รับ เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย?อีกอย่าง เจ้าจะลากนางเข้ามาพูดทำไม?”
“พวกเราก็แค่หารือกัน ท่านแค่ตอบว่าทั้งชีวิตนี้ท่านจะยอมมีนางคนเดียวหรือไม่”
“นางกับเจ้าไม่เหมือนกัน นางเฉลียวฉลาด”
“ใช่ เฉลียวฉลาด แถมนางยังจะหาสนมมาให้ท่านเองด้วย แต่ที่ข้าถามคือท่านจะยอมอยู่กับนางคนเดียวตลอดชีวิตหรือไม่?ถ้าหากว่าไม่ ก็แสดงว่าท่านไม่ได้รักนางเลยด้วยซ้ำ” หยวนชิงหลิงพูดกับชายสมัยโบราณ จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักไปแล้ว
แม้ว่านางเองจะไม่ได้สนใจเรื่องความรัก แต่สำหรับผู้ช่วยเอมี่ของนางนั้น มักจะพูดเรื่องความรักหลากหลายรูปแบบต่อหน้านาง
เอมี่คือนักเรียนปริญญาโท ตัวอ้วนๆ เล็กๆ จนถึงตอนนี้นางยังไม่เคยมีความรักกับใครเลย จูบแรกก็ยังไม่เคยเสีย
แต่เอมี่เป็นคนมองโลกในแง่ดี นางบอกว่าต้องมีสักวันที่ตัวเองจะได้เจอคนคนนั้น แล้วก็ทุ่มความรักเต็มหัวใจที่มีให้เขา
หยวนชิงหลิงพูดจบ ก็หันหน้าหนีทันที แล้วนอนต่อ
หยู่เหวินเห้าพูดอะไรไม่ออกอย่างกับเป็นใบ้
เขาไม่พอใจมาก ตกลงว่าใครกันที่บอกว่ารักคนคนหนึ่งแล้วต้องมีแค่คนคนนั้นคนเดียวตลอดชีวิต?เรื่องการมีสนมนั้นก็เพื่อเป็นการสืบทอดวงศ์ตระกูล ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความรักเลย
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจความรัก แต่นางต่างหากที่เผด็จการ
พอคิดได้แบบนี้ เขาก็ขนลุกซู่ หยวนชิงหลิงคงไม่ได้พูดแบบนี้ออกไปต่อหน้าเสด็จพ่อหรอกใช่ไหม?
เขาอยากจะถามนาง แต่พลันได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบา เหมือนว่าหลับไปแล้ว
อย่างกับหมู สถานการณ์แบบนี้ยังหลับได้ แถมยังไม่เล่าเลยว่านางพูดอะไรกับเสด็จพ่อไปบ้าง?
ตอนแรกหยวนชิงหลิงคิดว่าจะงีบสักพัก แต่ว่าพอหลับไปแล้ว ก็นานถึงสองชั่วยาม
หลังจากที่นางตื่น ก็เห็นสวีอีกับทังหยางนั่งเฝ้าอยู่ประตู โดยไม่พูดอะไร
พลันหันมามองด้านข้าง ก็เห็นหยู่เหวินเห้าหลับอยู่ เสียงเทียนส่องมาที่ใบหน้าของเขา รอยแผลเป็นนั่นพอมองตอนหลับก็ไม่ได้ดูน่ากลัวอะไร และก็ไม่ค่อยบวมแล้ว ดูแล้วน่าจะดีขึ้นไม่น้อย
นางยื่นมือมาลูบที่หน้าผากเขา อุณหภูมิดูสูงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอะไรมาก
นางถอนหายใจออกมา สมองก็พลอยโล่งขึ้น
ที่จริงไม่นึกเลยว่า สองสามวันก่อนเขายังจะฆ่านางอยู่เลย แต่ตอนนี้พวกเขากลับได้มานอนบนเตียงเดียวกัน
พอนึกถึงความเย็นชาของเขาแต่ก่อน หยวนชิงหลิงก็แทบอยากจะจัดการเขาให้รู้แล้วรู้รอด นางรู้ว่าตอนนี้ที่พวกเขาอยู่ด้วยกันได้เป็นเพราะอันตรายในวังที่ทั้งสองคนเจอ แต่ว่าถ้าเรื่องนี้ผ่านไป พวกเขาก็ต้องกลับมาทำสงครามกันต่อแน่
หยวนชิงหลิงคิดได้แบบนั้น ก็รู้สึกไม่อยากนอนบนเตียงกับเขาต่อแล้ว จึงลงจากเตียงแล้วเดินออกไปทันที
ทังหยางจึงถามขึ้นเบาๆ “พระชายาจะไปไหนเพคะ?”
หยวนชิงหลิงตอบเบาๆ “ข้าออกไปเดินรับลมข้างนอกหน่อย เดี๋ยวกลับมา”
“ถ้าอย่างนั้นพระชายาห้ามเดินไปไกลนะเพคะ เดินรอบๆ แถวนี้ก็พอ เพราะทหารเฝ้ายามในวังค่อนข้างเคร่งครัด ทหารพวกนั้นไม่รู้จักพระชายาด้วย เดี๋ยวจะทำร้ายเอาได้”
“เข้าใจแล้ว” หยวนชิงหลิงตอบรับ แล้วผลักประตูออกไป
พอออกมานอกตำหนัก นางก็สูดอากาศเข้าไปเต็มปอด ด้านนอกมีพวกทหารเฝ้ายามอยู่ พอเห็นหยวนชิงหลิงเดินออกมา ก็ไม่ได้ขวางไว้ เพียงแค่โค้งตัวเพื่อทำความเคารพ
หยวนชิงหลิงจึงถามขึ้น “กี่ยามแล้ว?”
“ทูลพระชายา พึ่งจะผ่านเที่ยงคืนขอรับ”
หยวนชิงหลิงจึงเดินออกมา มีโคมไฟแขวนตามทางเดิน ส่องให้เห็นตำหนักลางๆ
นางเองก็ไม่ได้เดินไปไกล แค่เดินออกมานั่งตรงใต้ต้นแม็กโนเลีย
ทุกอย่างเงียบสงัด
เสียงนก เสียงกบ เสียงแมลงทุกอย่างดังเข้ามาในหู หยวนชิงหลิงหลับตาลงเพื่อซึมซับบรรยากาศของธรรมชาติ
และทันใดนั้น นางก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น พลางหันไปที่พุ่มไม้พุ่มหญ้า เสียงร้องของพวกนก แมลงและกบพวกนั้น ไม่นึกเลยว่านางจะสามารถฟังรู้เรื่อง
ที่นางฟังเข้าใจฝูเป่า นางก็ตกใจมากแล้ว ตอนนี้นางยังจะสามารถสื่อสารกับพวกนกแมลงและกบได้อีก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?นางตายแล้วหรือ?นางเป็นวิญญาณเร่ร่อนหรือ?ในโลกใบนี้มีผีจริงๆ หรือ?
หยวนชิงหลิงสัมผัสได้ถึงเงาน่ากลัวบางอย่างอยู่ไกลๆ กำลังใกล้เข้ามา นางจึงกระวนกระวาย รีบลุกขึ้น เหมือนกับว่ามีวิญญาณตามหลอน จึงรีบกลับไปที่ตำหนักทันที
ทังหยางกับสวีอีก็พลันตกใจนางจนสะดุ้ง พลางเงยหน้ามองนาง แล้วเห็นท่าทางหวาดผวาวิ่งขึ้นเตียง พร้อมกับเอาผ้าห่มมาคลุมหัว
หยู่เหวินเห้าเองก็ตกใจตื่น พลันลืมตาขึ้น เห็นว่าสีหน้านางขาวซีด และหายใจเหนื่อยหอบ จึงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแล้วถามขึ้น “เป็นอะไรหรือ?”
หยวนชิงหลิงขยับเข้าไปใกล้เขา “ข้ากลัว!”
“เจ้ากลัวอะไร?” หยู่เหวินเห้าชะงักไปชั่วขณะ เพราะรับรู้ถึงความกลัวของนางจนตัวสั่น นางกลัวจริงๆ
นางเอาหัวมุดลงในผ้าห่ม ในสมองก็สับสนไปหมด แล้วก็อดจะหวาดกลัวกับสิ่งที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
มือเย็นๆ มือหนึ่งกุมมือที่สั่นของนางไว้
หน้ามือค่อนข้างหยาบ นิ้วเรียวยาว เขาใช้แรงของเขากุมเอาไว้แนบแน่น
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่ามือนั้นเหมือนมีพลังมากมายมหาศาล และสามารถดึงจิตใจที่ล่องลอยของนางกลับมาได้ เขากุมมือนางเอาไว้ในมือของเขา
นางไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำอะไรที่ดูอบอุ่นแบบนี้ ตอนแรกนึกว่าเขาจะหัวเราะเยาะตัวเอง แล้วสมน้ำหน้า
นางจึงค่อยๆ โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม แววตาสองดวงที่ดูหวาดกลัวก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบลง ดูแล้วเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว
หยู่เหวินเห้ากลับรู้สึกยังไงไม่รู้ หลังจากนั้นเหมือนกับโดนมดกัด พลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
แขนของสองคนแนบชิดกัน หยวนชิงหลิงที่กลัวมากจนไม่สนใจอะไร พยายามหายใจเข้า เพื่อดูดซับเอาความสบายใจอันสั้นนี้
“ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
หยวนชิงหลิงจึงพูดขึ้นเสียงสะอื้น “คิดถึงบ้าน”
เดิมทีนั่นเป็นเพียงแค่คำอธิบาย แต่พอหลังจากคำนี้ออกมา ความรู้สึกทรมานและทุกข์ใจก็ผุดขึ้นมา เหมือนกับเมฆที่ลอยเกาะกลุ่มกันไม่ยอมไปไหน นางรู้สึกหายใจไม่ออก จากนั้นก็ซบหน้าลงไปที่มือของเขา แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
ตั้งแต่ได้มาอยู่ที่นี่ ก็มีแต่เรื่องทรมานใจ ไม่มีเวลาให้นางได้หยุดพักเลย สิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายทำให้นางไม่สามารถที่จะร้องไห้ออกมา เหมือนกับว่าพอร้องออกมาก็ยิ่งทำให้จิตใจอ่อนแอลง และเหมือนตัวเองโดนกลืนกิน
ที่นี่นางไม่สามารถพึ่งใครได้ ดังนั้นนางจึงอ่อนแอไม่ได้
สิ่งเดียวที่นางพูดกับตัวเองคือ ตั้งแต่ที่เม็ดลูกอ๊อดเริ่มขึ้น นางก็เป็นคนที่เก่ง และฉลาดที่สุด ไอคิวของนางสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบ ไม่มีสถานการณ์ไหนที่นางรับมือได้
แต่ว่า ช่วงเวลานี้ถือว่าต้องเผชิญหน้ากับศัตรู นางไม่สามารถทำให้ตัวเองอ่อนแอได้
หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่ามือเริ่มชื้น และไหล่ของนางกำลังสั่น คิดถึงบ้านหรือ?อาจจะมี เหมือนเคยได้ยินทังหยางพูด หลังจากที่รู้ว่านางหายไปคนในครอบครัวนางก็ไม่ค่อยมาหาอีกเลย
เพียงแต่ ต้องไม่ใช่เหตุผลคิดถึงบ้านแล้วร้องไห้แน่นอน เป็นเพราะว่านางกลัว