บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 516 การโต้แย้งในราชสำนัก
หลังจากที่หยวนชิงหลิงตรวจนับบัญชีแล้ว เช่าบ้านสองหลังก่อน ในขณะเดียวกัน ในจวนอ๋องฉู่แบ่งอาณาบริเวณที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ออกมาส่วนหนึ่งเริ่มสร้างอาคารเรียน ดำเนินการทั้งสองฝั่งในเวลาเดียวกัน
บ้านเช่าสองหลังนี้ล้วนติดกันทั้งหมด ดังนั้นก็นับว่าสะดวก ทังหยางทำตามขั้นตอนเสร็จสิ้น หยวนชิงหลิงจึงจัดเตรียมงานอย่างอื่น และเป็นสิ่งที่ยากที่สุด นั่นก็คือหาอาจารย์
ต้องการสอน เป็นธรรมดาว่าเป็นการสอนแพทย์แผนจีน เหมือนกับที่หยู่เหวินเห้ากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ หมอที่จบจากการฝึกฝนของอาจารย์ โดยส่วนมากเปิดโรงหมอของตัวเอง ทุกวัน “ผู้ป่วยเข้ามาเหมือนเมฆ เงินทองเข้าเป็นถังทุกวัน” ถ้าหากหยวนชิงหลิงต้องการรับสมัครพวกเขา ก็จำเป็นต้องจ่ายเงินหนักๆ
แต่ว่า จ่ายเงินหนักกลับเป็นสิ่งรองลงมา ต้องการเชิญพวกเขามา อบรมหมอของโรงหมอหุ้ยหมิงและแย่งการค้าของพวกเขา พวกเขาไม่ยินยอมเป็นแน่ ดังนั้น นี่เป็นสภาพการณ์ที่จัดการได้ยากมาก
อีกทั้ง ถ้าหากต้องการถ่ายทอดความรู้การเรียนการสอน แน่นอนว่าจำต้องเป็นหมอที่ได้รับการนับหน้าถือตาในหมู่ชนอีกทั้งมีวิชาการรักษาสูงส่ง
ตอนนี้ในมือของนางมีหมอเพียงผู้เดียวที่ยืมมา นั่นก็คือหมอหลวงเฉา แต่หากว่าใช้เขาแล้ว ก็นับว่าเป็นการใช้ประโยชน์ของหลวงเป็นการส่วนตัว
เรื่องนี้เพียงพอที่จะทำให้หยวนชิงหลิงกลัดกลุ้มใจ อยากหารือกับหยู่เหวินเห้าสักหน่อย แต่หมู่นี้นายท่านผู้นี้ก็ยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก แม่ทัพใหญ่เฉินมาครั้งนี้ เพื่อต้องการส่งเสริมการร่วมมือกันของทั้งสองประเทศให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่ว่า กลุ่มขุนนางหัวโบราณต้องไม่ยินยอมเป็นแน่ หากว่าทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรกัน ก็เป็นการยั่วยุเซียนเปยและเป่ยโม่โดยตรงแล้วไม่ใช่หรือ? พวกเขาล้วนยุ่งอยู่กับเรื่องนี้น่ะ
งานเฉลิมฉลองจะจัดขึ้นแล้ว หลังจากที่จัดงานเฉลิมฉลองนี้ จึงนับได้ว่าเป็นการประกาศต่อหกประเทศ รัชทายาทของเป่ยถังแต่งตั้งอย่างมั่งคงแล้ว
เกี่ยวกับการเฉลิมฉลองนี้ ฮ่องเต้หมิงหยวนได้จัดวางกำลังป้องกันและเตรียมการล่วงหน้าแล้ว ดังนั้น ทั้งงานเฉลิมฉลอง ก็ไม่ได้เกิดความผิดพลาดใดๆ เหมาะสมเป็นอย่างมาก มีความสุขเป็นอย่างมาก
หลังจากงานเฉลิมฉลอง รัชทายาทหยู่เหวินเห้าเอ่ยขึ้นอย่างเป็นทางการในที่ว่าการราชสำนักตอนเช้า เปิดการค้าของทั้งสองประเทศกับแคว้นต้าโจว ขนส่งสินค้าผ่านทางทางบกและทางน้ำ ใช้แท่งเงินและทองคำเป็นเงินตราที่ใช้ได้โดยทั่วไป
ข้อเสนอนี้ ขุนนางในราชสำนักมากมายล้วนเห็นด้วย ฮ่องเต้หมิงหยวนก็เห็นด้วยเป็นธรรมดา อย่างไรเสีย เป่ยถังในตอนนี้ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างแข็งขัน หากสามารถแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันกับแคว้นต้าโจวได้ ก็สามารถกระตุ้นความเจริญรุ่งเรืองของกิจการการค้าได้อย่างมากมาย จากนั้นค่อยดึงดูดผ้าไหมและทักษะการทอผ้าของแคว้นต้าโจวเข้ามา
แต่การแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันนี้มีเงื่อนไขที่จำเป็นต้องตัดสินใจเป็นสิ่งแรกอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือทั้งสองประเทศจำเป็นต้องลงนามในพันธสัญญา เฝ้าสังเกตการณ์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แม่ทัพใหญ่ตี๋เว่ยหมิงยืนออกมาคัดค้าน เหตุผลในการคัดค้านของเขาก็สมเหตุสมผล ตอนนี้เป่ยโม่เซียนเปยพักสงครามกับเป่ยถังแล้ว อีกทั้งเซียนเปยและเป่ยโม่ก็ไม่ได้ก่อความวุ่นวายที่ชายแดนของเป่ยถังแล้ว เพียงแค่พุ่งเป้าไปที่แคว้นต้าโจวอย่างเดียว เป่ยถังควรจะเอาตัวอยู่นอกเหนือจากเรื่องนี้ พัฒนากำลังของประเทศอย่างแข็งขันจึงจะถูก
หลังจากพูดจบ เขากล่าวกับหยู่เหวินเห้าอย่างเฉียบขาด “ข้อเสนอนี้ขององค์ชายเห็นได้ชัดว่าขาดการไตร่ตรอง จะทำให้เป่ยถังของเราตกอยู่ในอันตราย พระองค์ก็มีฐานะเป็นแม่ทัพ ควรจะรู้ผลลัพธ์ในการร่วมมือกันในเรื่องของการทหารว่าอาจจะทำให้เกิดสงครามการต่อสู้ได้ ทำสงครามหมายความว่าราษฎรจะไร้ที่อยู่อาศัย แผ่นดินของประเทศสูญหาย ยังหวังว่ารัชทายาทจะหยุดความคิดประเภทนี้อย่างรวดเร็วพ่ะย่ะค่ะ เป่ยถังของเราจะได้ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ยังมีอีก ข้าน้อยสงสัยจริงๆ ผู้ใดเป็นคนส่งเสริมรัชทายาทกันแน่พ่ะย่ะค่ะ? นึกไม่ถึงว่าจะเสนอความคิดที่อันตรายเพียงนี้ขึ้นมาแนะนำรัชทายาทผิดๆ หากว่ารัชทายาทยืนกรานทำโดยพลการ ก็ไม่ใช่ความโชคดีของเป่ยถังของเรา แต่เป็นการเริ่มต้นความหายนะของเป่ยถังของเรานะพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดครั้งนี้ พูดจนคนมากมายล้วนหวาดกลัว
แต่ว่า โสวฝู่ฉู่กลับโต้แย้งความคิดเห็นของเขาแล้ว
เขาพูดต่อราชสำนักด้วยเสียงอันดัง “เป่ยโม่และเซียนเปยโหดร้ายมีความทะเยอทะยาน จ้องเป่ยถังตาเป็นมันตั้งนานแล้ว แต่ว่าม้าศึกของเป่ยถังเข้มแข็งกล้าหาญ พลทหารมีพละกำลังและห้าวหาญ จึงได้บีบบังคับให้พวกเขาถอยไปเป็นการชั่วคราว แต่รับรองได้ยากว่าพวกเขาจะไม่กลับมาอีก
ตอนนี้แคว้นต้าโจวศึกษาค้นคว้าอาวุธทหารและรถทำศึกแล้ว ถ้าหากทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรกัน แคว้นต้าโจวสามารถช่วยเหลือปรับปรุงอุปกรณ์ของเป่ยถังให้ดีขึ้นได้ นี่ก็สามารถเพิ่มกำลังการป้องกันของเป่ยถังได้มากขึ้น อีกทั้งพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมกัน นี่สำหรับเป่ยถังแล้วเป็นประโยชน์ในระยะยาว รัชทายาททรงมีความรู้ความคิดเห็นที่ลึกซึ้ง ความเห็นทางด้านการเมืองมีประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน และทรงไตร่ตรองในระยะยาวเพื่อเป่ยถัง อดทนรับผิดชอบหน้าที่ใหญ่ แม่ทัพใหญ่ตี๋ตั้งใจพูดให้คนหวาดกลัว หรือว่า เป่ยถังไม่ไปยั่วยุเป่ยโม่และเซียนเปย หลังจากที่พวกเขาค่อยๆยึดครองแคว้นต้าโจวไปทีละนิดแล้ว ก็จะปล่อยเป่ยถังไป? หรือจะบอกว่า ถึงเวลานั้นก็ตัดคูเมืองให้อีกเพื่อสงบศึกความวุ่นวาย?”
ตอนนั้นเป่ยถังเคยทำสงครามพ่ายแพ้ต่อเป่ยโม่ครั้งหนึ่ง พลทหารสามหมื่นนายถูกปิดล้อม สุดท้ายส่งแม่ทัพใหญ่ตี๋เว่ยหมิงไปเจรจาสงบศึก ต้องตัดคูเมืองแห่งหนึ่งให้เป่ยโม่ถึงจะยอมถอยทัพ
นี่เป็นความอัปยศของเป่ยถังมาโดยตลอด นี่ยังเกิดขึ้นในขณะที่ไท่ซ่างหวงอยู่ในตำแหน่งอีก เป็นความเจ็บปวดในจิตใจของไท่ซ่างหวงมาโดยตลอด ไท่ซ่างหวงเคยพูดว่า เอาเมืองโล่กลับมาไม่ได้ เขาก็ตายตาไม่หลับ
หลังจากเรื่องนี้ ผู้คนมากมายล้วนคิดว่า ตอนนั้นไม่ควรที่จะอ่อนข้อให้โดยง่าย แต่ว่าตอนนั้นนายทหารชั้นสูงมากมายของตี๋เว่ยหมิง มีอำนาจควบคุมการพูดจาในราชสำนักเป็นอย่างมาก แถลงให้สาธารณชนรับรู้ว่าทหารสามหมื่นนายถอยกลับมาทั้งหมดด้วยความปลอดภัยเป็นความดีความชอบของแม่ทัพให้ตี๋มาโดยตลอด ราชสำนักจึงจดว่าเป็นความดีความชอบของตี๋เว่ยหมิงด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แต่ตี๋เว่ยหมิงรู้สึกอัปยศต่อเรื่องนี้มาโดยตลอด ตอนนี้โสวฝู่ฉู่เอ่ยขึ้นมาในราชสำนัก ยิ่งเป็นการตบหน้าเขา ทันใดนั้น เห็นเพียงสีหน้าของเขาแดงฉาน ความโกรธเคืองแตกปะทุออกมาจากในตา “โสวฝู่ ความหมายของท่านคือจะบอกว่าตอนนั้นข้าทำความผิดหรือ? ชีวิตของทหารสามหมื่นนาย ยังเทียบไม่ได้กับคูเมืองแห่งหนึ่งเชียวหรือ? การพูดเช่นนี้ของท่าน ไม่ทำให้จิตใจของทหารเย็นเยือกหรอกหรือขอรับ?”
โสวฝู่ฉู่กล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยได้ยินเพียงทหารสาบานว่าจะตายเพื่อปกป้องคูเมือง ไม่เคยได้ยินว่าต้องใช้คูเมืองมาปกป้องทหารทั้งหมด วันนี้ถูกบีบให้ต้องจำใจยอมทำเช่นนี้ความจริงก็คือความอัปยศ เป่ยโม่เป็นศัตรูที่ปล้นชิงแผ่นดินประเทศของพวกเรา ตอนนี้พวกเราส่งเสริมการเป็นพันธมิตรกับแคว้นต้าโจวให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ก็เพราะหวังว่าจะมีวันหนึ่ง พวกเราสามารถเสริมความแข็งแกร่งของกำลังทหารและประเทศได้ ไม่ต้องทนรับการดูถูกข่มเหงรังแกจากเป่ยโม่อีก”
ตี๋เว่ยหมิงเดือดดาลด้วยความอับอาย “ตอนนี้โสวฝู่คือคิดบัญชีย้อนหลังหรือ? รู้ว่านายทหารกลัวอะไรที่สุดหรือไม่? ที่กลัวก็คือพวกเขาอยู่หน้าค่ายสังหารศัตรูอย่างกล้าหาญ แต่มักจะถูกขุนนางแอบลอบทำร้ายจากทางด้านหลังเสมอ เหยียดหยามใส่ร้าย”
เซียวเหยากงได้ยินคำนี้ ก็โกรธอย่างฉับพลัน คำรามเสียงหนึ่ง “ขณะที่โสวฝู่ฉู่และข้าร่วมทำสงครามปราบปรามกับไท่ซ่างหวง เจ้ายังใส่กางเกงของเด็กน้อยอยู่เลยน่ะ กล้าต่อสู้ชนะสงครามไม่กี่สนามได้รับใจทหารเล็กน้อยก็กล้าคุยโวโดยไม่รู้จักละอายที่นี่ หากว่าต้องออกไปทำสงครามจริงๆรอบหนึ่ง เจ้าหนุ่มเจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อกรของข้าและโสวฝู่เลย”
คราวนี้ตี๋เว่ยหมิงเพิ่งจะจำได้ว่าเวลานั้นโสวฝู่ฉู่ได้ร่วมรบพร้อมกับไท่ซ่างหวง หลังจากนั้นกลับราชสำนักมาเป็นขุนนาง ทำให้หลายคนไม่รู้จึงคิดว่าเขาเป็นขุนนางพลเรือน
เขาไม่กล้าโต้กลับเซียวเหยากง เพราะว่าอารมณ์ของเฒ่าทารกผู้นี้ฉุนเฉียวเป็นอย่างมาก ระเบิดขึ้นมาก็ไม่แยกแยะกาลเทศะแล้ว
อีกทั้งหากกล่าวถึงตำแหน่งกับชื่อเสียงความนิยมในกองทัพที่สามารถตีเสมอคู่กับเขาได้ ก็มีเพียงเซียวเหยากงแล้ว ยั่วโมโหเขา ตอนนี้ไม่เป็นผลดี
คิดถึงตรงนี้ เขาอ่อนลงมาแล้ว แต่กลับคงความคิดเห็นของตัวเอง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเพียงแค่คิดว่า ตอนนี้เป่ยถังของพวกเราไม่จำเป็นต้องปะปนเข้าไปในความวุ่นวายของแคว้นต้าโจวและเป่ยโม่ อีกทั้งเป่ยถังได้มีการทำการค้าไปมาหาสู่กับแคว้นต้าโจวมาโดยตลอด แม้ว่าจะไม่เป็นพันธมิตร เชื่อว่าก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อความมั่นคงในปัจจุบัน หม่อมฉันคิดว่า การคุมเชิงของแคว้นต้าโจวกับเป่ยโม่เซียนเปย กลับมีประโยชน์ต่อเป่ยถังของพวกเรา พวกเราแอบซ่อนความสามารถไม่เผยไปด้านนอก แอบซ่องสุมกำลังทหาร อนาคตแม้ว่าจะมีศัตรูมาจริงๆ พวกเราก็สามารถรับมือได้พ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าออกจากแถวแล้วกล่าว “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ วางแผนทำเพื่อเป่ยถังอีกร้อยปี หม่อมฉันคิดว่าควรจะเป็นพันธมิตรกับแคว้นต้าโจว ด้านหนึ่งเรียนรู้อาวุธรูปแบบใหม่ๆของพวกเขา ทำให้กองกำลังการป้องกันมีเสถียรภาพ ด้านหนึ่งทำความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นกับพวกเขา บรรลุถึงความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนฟังจบ ไม่ได้แสดงท่าที เพียงแค่กล่าวอย่างราบเรียบ “เรื่องนี้ค่อยเสนอวันหลัง จบการว่าการราชสำนัก!”