บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 518 ท่าทีของข้า
หยวนชิงหลิงไม่วางใจ อย่างไรเสียเจ้าข้าวเหนียวก็ยังมีไข้
นางกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เสด็จย่าเพคะ พวกเขาชั่งก่อกวน เกรงว่าจะทำให้ท่านเหนื่อยเท่านั้นเพคะ”
ไทเฮาสีหน้าไม่พอใจทันที กล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “กลัวข้าเหนื่อยหรือว่าไม่วางใจให้ข้าดูล่ะ? กลัวว่าข้าจะเลี้ยงพวกเขาไม่ดีตัดใจให้พวกเขากินนมไม่ลงใช่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงยิ้มแล้วกล่าว “ดูท่านพูดสิเพคะ ท่านยังจะสามารถเลี้ยงพวกเขาไม่ดีได้หรือเพคะ? ท่านรักและเอ็นดูจนเหมือนดั่งแก้วตาดวงใจ……”
“นี่นี่นี่ แก้วตาดวงใจอะไร? ไม่ใช่ลูกผู้หญิงสักหน่อย นี่คือหัวแก้วหัวแหวน หัวแก้วหัวแหวนข้า” ไทเฮาอุ้มเจ้าข้าวเหนียว กล่าวอย่างหวงแหน
นางเงยหน้ามองดูหยวนชิงหลิง กล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ต้องพูดมาก ก็ทิ้งไว้ในวังเลี้ยงดูไม่กี่วัน รอหายแล้วก็ส่งออกไปให้เจ้าเป็นธรรมดา หากว่าเจ้าไม่วางใจ เรียกไท่ซ่างหวงมารับรองให้เจ้า”
หยวนชิงหลิงได้ยินนางยกแม้กระทั่งไท่ซ่างหวงออกมาแล้ว ยังจะกล้าพูดว่าไม่อีกได้อย่างไร? เพียงแค่ เด็กเพิ่งจะครบเดือน ต้องส่งออกจากข้างกายตัวเองไม่กี่วัน นางจะต้องโหยหาตัดใจไม่ได้เป็นแน่
แต่ว่า นึกถึงเรื่องโรงเรียนแพทย์ที่ตัวเองต้องตระเตรียม ยังไงไม่กี่วันนี้ก็ไม่ได้สนใจดูแลพวกเขา จึงตอบรับแล้ว
แม่นมก็ต้องอยู่ในวังเป็นธรรมดา ไทเฮาเข้มงวดกับพวกนางเป็นที่สุด เรียกแม่นมในวังมาอบรมสั่งสอนระเบียบกฎเกณฑ์ ขั้นตอนทั้งหมดตั้งแต่การกินดื่มตลอดจนการให้นมของพวกนาง ไทเฮาก็ควบคุมดูแลอย่างละเอียดรอบคอบ
หยวนชิงหลิงออกจากวังกลับถึงในจวน แม่นมสี่ได้ยินว่าเด็กๆถูกทิ้งไว้ในวังแล้ว ก็แทบจะร้อนอกร้อนใจขึ้นมา แต่ว่า ก็รู้นิสัยของไทเฮา นางต้องการดูแลเหลน ไม่ให้นางดูแลได้หรือ? หากไม่ให้จริงๆ คาดว่าจะมาหาเรื่องบ่อยๆ คนแก่ก็คือจะยั่วโมโหไม่ได้
ความคิดเห็นความด้านการเมืองของหยู่เหวินเห้า เพราะได้รับการสนับสนุนของโสวฝู่ฉู่เป็นอย่างมากจึงได้รับการสนับสนุนของขุนนางในราชสำนักจำนวนมาก
ตี๋เว่ยหมิงทางนั้นก็ควบคุมเส้นสายไว้ส่วนหนึ่งเป็นธรรมดา อีกทั้งโดยส่วนมากเป็นนายทหาร
ท้ายที่สุดเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการทหาร การสนับสนุนของนายทหารสำคัญเป็นที่สุด ดังนั้น หยู่เหวินเห้าสองวันนี้ก็พาจิ้งถิงไปหาพวกเหล่านายทหารบางส่วน แล้วพาโม่ยี่ไปอธิบายถึงอาวุธใหม่ๆต่อพวกเขาอีก
วันนี้พระชายาจี้ใช้การชื่นชมและพิเคราะห์อาวุธทหารเป็นเหตุผล เชื้อเชิญขุนนางบางส่วนผ่านมาที่จวน ในนั้น ก็มีแม่ทัพไม่กี่คน
พระชายาจี้ให้การต้อนรับด้วยความจริงใจ หลังจากดื่มเหล้าสามรอบ มีขุนนางถามถึงสุขภาพของพระชายาจี้ พระชายาจี้เมาดวงตาสะลึมสะลือ มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ได้รับยาดีจากพระชายารัชทายาท ข้าไม่มีปัญหาแล้ว เพียงแค่ ชีวิตนี้รักษาไว้ได้แล้ว แต่ก็ติดหนี้ชีวิตนี้ไว้แล้วน่ะสิ หนี้อะไรก็ล้วนคืนได้ง่าย มีเพียงหนี้ชีวิตคนนี้อย่างเดียวที่คืนไม่ง่าย ไม่เช่นนั้นใต้เท้าทุกท่านเสนอข้อคิดเห็นให้ข้า ว่าข้าควรจะตอบแทนบุญคุณของพระชายารัชทายาทอย่างไรดีล่ะ?”
แม่ทัพจี้เป็นคนฉลาด ได้ยินคำนี้ เขาคิดแล้วคิดอีก กล่าวว่า “พระชายา ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าในราชสำนักรัชทายาทได้เสนอ ต้องการกับแคว้นต้าโจว…….”
พระชายาจี้ยื่นมือออกไปห้ามไว้ ดวงตาเปล่งประกายทันที “แม่ทัพจี้รีบหยุดก่อนเถอะ ข้าไม่ก้าวก่ายการเมือง เรื่องราวในราชสำนักนี้ ข้าไม่กล้าเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ว่า เดิมทีได้ยินว่ารัชทายาทเป็นคนที่มีคุณธรรมมีสติปัญญาและมีความห้าวหาญ เขาเสนอความคิดเห็นทางการเมืองออกมาคิดว่าจำต้องคิดเพื่ออนาคตที่ยาวไกลของเป่ยถังของเราแน่ คุ้มค่าที่ใต้เท้าทุกท่านจะพิจารณาและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ”
ที่นั่งอยู่มีแม่ทัพท่านหนึ่งนามสกุลสุย อดีตติดตามตี๋เว่ยหมิงมาก่อน ตี๋เว่ยหมิงได้ติดต่อกับเขาล่วงหน้าแล้ว ได้ยินพระชายาจี้กล่าวเช่นนี้ เขาพูดอย่างเรียบๆ “รัชทายาทเสนอการเป็นพันธมิตรกับแคว้นต้าโจว ก็เป็นเพียงแค่การกระทำของคนขี้ขลาดเท่านั้น คิดว่ามีแคว้นต้าโจวเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เป่ยถังของเราก็สามารถปลอดภัยไร้กังวลได้ แล้วพอเป็นเช่นนี้ เป่ยถังของเราไม่ใช่ว่าจะต้องดูสีหน้าของแคว้นต้าโจวในทุกๆเรื่องแล้วหรือ? ข้าน้อยคิดว่าไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาจี้มองดูเขา น้ำเสียงเย็นชาลงสองสามระดับ “แม่ทัพสุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ก็รู้ว่ารัชทายาทเสนอคือสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือไม่ใช่การก้มหัวยอมลดเกียรติให้ฝ่ายตรงข้าม ทำไมจากปากของท่านจึงต้องดูสีหน้าของแคว้นต้าโจวทุกเรื่อง?”
แม่ทัพสุยกล่าวด้วยความไม่ยอมแพ้ “นี่พระชายาไม่รู้แล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ? นี่ทันทีที่เป็นพันธมิตร ก็จะมีการควบคุมซึ่งกันและกัน การควบคุมเรื่องการทหารก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาจี้หัวเราะขึ้นมาแล้ว ในตายิ่งเผยให้เห็นความเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ “ใช่หรือ? เช่นนั้นทำไมข้อกำหนดของสนธิสัญญาที่ข้าได้ยินนี้คือหมายถึงการไม่รุกราน? หรือว่า แม่ทัพสุยมีความคิดที่จะรุกรานประเทศของคนอื่นเขาหรือ?”
แม่ทัพสุยตะลึง “นี่…….ข้าน้อยไม่มีเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อไม่มี ท่านจะเป็นกังวลอะไร?” พระชายาจี้ถามกลับ
สีหน้าของแม่ทัพสุยแข็งทื่อเล็กน้อย ชะงักครู่หนึ่ง กล่าว “นี่ก็ไม่ใช่ข้าน้อยผู้เดียวที่เป็นกังวล ข้าน้อยก็คิดเพื่ออนาคตในระยะยาวของเป่ยถัง”
พระชายาจี้หัวเราะอย่างเย็นยะเยือก สายตามองไปที่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์รอบๆ กล่าวอย่างเรียบๆ “คิดเพื่อเป่ยถังจริงๆหรือไม่ ในใจของทุกท่านล้วนรู้ดี วันนี้พูดถึงเรื่องราชสำนักการเมืองขึ้นมาโดยไม่มีมูลเหตุ ตามหลักข้าผู้หญิงคนหนึ่งก็ไม่ควรพูดมาก เพียงแค่ฟังคำพูดของแม่ทัพสุย ข้าก็รู้สึกว่าในราชสำนักมีแม่ทัพบางคนขี้ขลาดอยู่บ้างจริงๆ เหตุผลในการคัดค้านรัชทายาทคืออะไรล่ะ? แค่กลัวว่าจะไปยั่วเซียนเปยและเป่ยโม่ให้ขุ่นเคือง กลัวรับปัญหาสงครามหรือ? มีประโยคหนึ่งบอกว่าถูกทำร้ายเพราะมีความสามารถและอุดมการณ์ เป่ยถังของเราดินน้ำอุดมสมบูรณ์ ถูกเซียนเปยและเป่ยโม่จ้องตาเป็นมันมานานแล้ว ตั้งแต่เป่ยถังของเราเปิดราชสำนักถึงวันนี้ เซียนเปยและเป่ยโม่มักจะเข้ามารุกรานบ่อยๆ แม้ว่าถูกหยุดยั้งตีให้ล่าถอย แต่ผ่านไปช่วงหนึ่งก็กลับมาอีก พวกเขาหมุนเวียนมาตีเช่นนี้ เป่ยถังของเราได้รับคำสั่งให้เอาชีวิตพุ่งเข้าไปด้วยความลำบาก ท้องพระคลังของประเทศว่างเปล่านานแล้ว ทนรับการก่อกวนครั้งใหญ่ไม่ได้แล้ว การเป็นพันธมิตรสำหรับพวกเรามีผลดีมากว่าผลเสีย อย่างน้อยก็ทำให้ประเทศที่ไร้อารยธรรมรอบข้างหวาดกลัว ทำให้เป่ยถังของพวกเรามีโอกาสได้หายใจ เหตุผลตื้นๆเหล่านี้ แม้แต่ข้าผู้หญิงที่อยู่ในลานบ้านผู้หนึ่งก็ล้วนเข้าใจ ใต้เท้าทุกท่านยืนอยู่ที่สูงทัศนคติกว้างไกล ไม่มีที่จะไม่รู้เหตุผลเด็ดขาด สำหรับการคัดค้านเกิดจากความคิดอะไร นั่นก็ต้องถามใจใต้เท้าทุกท่านจริงๆแล้ว ประตูใหญ่จวนอ๋องจี้ของข้าเปิดอ้า ต้อนรับคนที่อยู่ในเส้นทางเดียวกัน หากคิดว่าข้าพูดไม่มีเหตุผล สามารถจากไปได้”
แม่ทัพสุยตบโต๊ะทันที ยืนขึ้นมา กล่าวอย่างเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยทูลลา!”
พระชายาจี้ยกแก้วเหล้าขึ้น กล่าวอย่างช้าๆไม่รีบร้อน “แม่ทัพสุย ข้าดื่มให้ท่านอีกเป็นแก้วสุดท้าย ออกจากประตูใหญ่จวนอ๋องจี้แล้ว กลัวเพียงแค่ข้าและแม่ทัพสุยจะไม่มีโอกาสพบกันอีกแล้วในวันหน้า”
นางพูดจบ ยืนขึ้นแล้วดื่มเหล้าในแก้วจนหมด หลังจากที่ดื่มหมด จ้องมองแม่ทัพสุยด้วยสายตาที่ดุร้าย
สีหน้าของแม่ทัพสุยเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ในทันที จับจ้องพระชายาจี้ “พระชายา นี่ท่านข่มขู่ข้าหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
รอยยิ้มมุมปากของพระชายาจี้ลึกขึ้น “ใช่!”
แก้วในมือของนางลื่นตก เพล้งตกลงบนพื้น แก้วแตกเป็นสองสามชิ้น ชิ้นส่วนที่แตกหนึ่งในนั้นกระเด็นไปถึงใต้เท้าของแม่ทัพสุย หมุนวนหนึ่งรอบแล้วหยุดลง เปล่งเสียงหึ่งหึ่ง พร้อมกับคำพูดที่เย็นชาและเฉียบขาดของพระชายาจี้ “เลี้ยงทหารหนึ่งพันวันใช้ทหารชั่วขณะหนึ่ง หรือแม่ทัพสุยคิดว่าในอดีตข้ามีเงินเยอะเกินไป จึงได้ทำเพื่อไถ่ตัวคนงามของแม่ทัพสุย และทำเพื่ออนาคตของแม่ทัพสุย? ข้าสามารถยกยอปอปั้นท่านได้ ก็สามารถโยนท่านให้ตายได้ แม่ทัพสุยคิดทบทวน”
สีหน้าของแม่ทัพสุยเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก มองดูพระชายาจี้ด้วยความโกรธ “ท่าน……”
พระชายาจี้กล่าวอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องท่านข้าแล้ว ที่นั่งอยู่ มีมากน้อยเท่าไหร่ที่จริงใจภักดีต่ออ๋องจี้และข้า? ไม่ใช่เพราะล้วนได้รับบุญคุณจากข้าหรือถูกข้าคว้าหางเปียไว้ถึงได้อยู่ตรงนี้หรือ? โดยปกติข้าเคารพและเชื่อมั่นว่าเจ้าดีข้าดีทุกคนดี เรื่องให้เกียรติไม่เคยทำความลำบากใจให้กับใต้เท้าทุกท่าน วันนี้เป็นครั้งแรก เพราะพวกท่านต้องการเห็นท่าทีของข้า ตอนนี้อ๋องจี้ถูกกักขังบริเวณ ข้าก็ต้องคิดเพื่อจวิ้นจู่ พูดถึงการตอบแทนบุญคุณก็ดี วางแผนอนาคตของจวิ้นจู่ก็ดี ข้าล้วนต้องการท่าทีที่ชัดเจน และพวกท่านก็ทำได้เพียงทำตามท่าทีของข้า ไม่มีทางเลือกอื่น”