บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 519 การคัดค้านของจูกั๋วกง
พระชายาจี้พูดจบ กลับไปนั่งบนเก้าอี้แล้ว
เก้าอี้ที่นางนั่งใหญ่มาก แต่ว่าเพราะนางป่วยเป็นเวลานาน ซูบผอมมาก นั่งเก้าอี้ไม่ถึงหนึ่งส่วนสาม ยังเหลือที่ว่างอีกใหญ่มาก ผู้หญิงตัวเล็กๆเช่นนั้นผู้หนึ่ง นั่งด้วยสีหน้าขึงขังอยู่บนเก้าอี้ที่กว้างใหญ่นั่น แต่กลับทำให้ขุนนางมากกว่าสิบคนที่อยู่ในเหตุการณ์หวาดกลัวเป็นที่สุด
แม่ทัพสุยไม่กล้าพูดจาอีก ความโกรธเคืองบนใบหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความกลัว
ผู้คนที่เหลือก็ล้วนเงียบเสียง ก้มศีรษะ
พระชายาจี้รออยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวเบาๆ “รัชทายาทเป็นถึงการลิขิตของสวรรค์ หากว่าทุกท่านติดตามดีๆ วันหน้าไม่ขาดความร่ำรวยรุ่งเรือง วันนี้ข้าพูดถึงตรงนี้ ใต้เท้าทุกท่านกลับไปอย่างสงบเถอะ”
พูดจบ นางยืนขึ้นเอามือไขว้หลังแล้วเดินออกไป เงาด้านหลังที่ผอมและอ่อนแอนั่นยืดจนตัวตรง ราวกับว่าสามารถค้ำยันท้องฟ้าอีกครึ่งด้านได้
การสนับสนุนของหยู่เหวินเห้า ก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ว่า ท้ายที่สุดก็มีผู้หนึ่งยืนหยัดคัดค้านความคิดเห็น จนกระทั่งตำหนิขึ้นโดยตรงในท้องพระโรง ทำให้บรรยากาศวันนั้นแย่เป็นอย่างมาก แม้แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนก็หน้าดำคร่ำเครียดแล้ว
คนผู้นี้ก็คือจูหรุเผยพ่อตาของตี๋เว่ยหมิง จูกั๋วกง
จูกั๋วกงและเซียวเหยากงเป็นเพื่อนพี่น้องที่ดีต่อกันในช่วงสองสามปีแรก แต่หลังจากนั้นไม่รู้เพราะเรื่องอะไรสร้างความบาดหมางกันแล้ว หลายปีนี้ เพียงแค่เซียวเหยากงสนับสนุน เขาก็จะคัดค้าน เซียวเหยากงคัดค้าน เขาสนับสนุน
แม้ว่าจูกั๋วกงจะอาวุโส แต่มีผลกระทบมากมาย
ถ้าหากเขาสามารถสนับสนุนข้อเสนอการสร้างพันธมิตรที่หยู่เหวินเห้าเสนอออกมาได้ โดยพื้นฐานก็ไม่มีปัญหาแล้ว
แต่หยู่เหวินเห้าพาจิ้งถิงไปสามครั้งแล้ว จูกั๋วกงล้วนบอกปัดว่าป่วยไม่พบ
หยู่เหวินเห้าโกรธเป็นอย่างมาก เบื่อหน่ายที่สุดก็คือคนขวางโลกประเภทนี้
เขาไม่ได้มีเหตุผลในการคัดค้าน เพราะคัดค้านเซียวเหยากงจึงคัดค้าน
เซียวเหยากงก็โกรธเป็นที่สุด พุ่งตรงไปที่จวนจูกั๋วกง อยากถกเถียงกับเขาสักรอบ นึกไม่ถึงว่าจะถูกปิดประตูใส่ปฏิเสธไม่ต้อนรับแขก ยังบอกให้คนเอาฉี่ไปสาดเซียวเหยากงอีก
ภายใต้ความโกรธของเซียวเหยากง รื้อประตูใหญ่บ้านเขาแล้วแบกจากไป
เรื่องนี้ก่อความวุ่นวายใหญ่โตขึ้นในเมืองหลวงทันที จูกั๋วกงได้รับการดูถูก ยืนออกมาแสดงท่าทีบอกว่าเรื่องการสร้างพันธมิตรของทั้งสองประเทศเป็นวิธีการที่เป็นหายนะต่อประเทศและประชาชนโดยตรง นี่ทำให้เซียวเหยากงโกรธจนแทบตาย
หยู่เหวินเห้าก็หงุดหงิดเป็นอย่างมาก สุดท้ายขาดแค่เนื้อตัวสั่นเทาแล้ว ตาแก่นี่ทั้งนิสัยน่ารังเกียจทั้งแข็งกระด้าง ยังจะไม่พบเจอคนอีก พูดก็ไม่มีทางได้พูด
จนปัญญา เขาเข้าวังไปพบฮ่องเต้หมิงหยวน บอกว่ายังไงซะตอนนี้คนส่วนใหญ่ของทั้งราชสำนักล้วนสนับสนุนแล้ว ไม่จำเป็นต้องสนใจจูกั๋วกงผู้นี้
ท่าทีของฮ่องเต้หมิงหยวนค่อนข้างแข็งกร้าว “จูกั๋วกงนี่ เป็นท่านตาของกุ้ยเฟย เละเป็นผู้อาวุโสของเป่ยถังของพวกเรา หากเขาไม่แสดงท่าทียังดี ตอนนี้แสดงท่าทีแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะละเลยได้แล้ว”
หยู่เหวินเห้าโมโห “แต่เขาก็บ้าอำนาจเกินไปแล้ว เพราะคัดค้านจึงได้คัดค้านโดยสิ้นเชิง ก็เพราะมีความแค้นส่วนตัวกับเซียวเหยากง ตอนนี้เซียวเหยากงยังรื้อประตูใหญ่บ้านของเขาอีก เขายิ่งแก้แค้นมากขึ้น เสด็จพ่อ ปล่อยตามใจเขาไม่ได้ เขาแก่แล้วยังไม่รู้จักเคารพตัวเองอีก”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตำหนิ “อย่าพูดมั่วซั่ว เจ้านี่นะ เพิ่งจะได้ขึ้นตำแหน่งรัชทายาท ก็เริ่มขับไล่ขุนนางเก่าแล้ว? เขามีอำนาจในราชสำนักมาก ตี๋เว่ยหมิงยังต้องดูสีหน้าของเขา ที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าจำเป็นต้องช่วงชิงการสนับสนุนของเขาให้ได้ รู้หรือไม่?”
“ทำไมล่ะพ่ะย่ะค่ะ?” หยู่เหวินเห้าไม่เข้าใจแล้ว เรื่องนี้แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วย ก็สามารถผ่านได้โดยตรงแล้ว ต้องการการสนับสนุนของเขาทำไม?
ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ทำไม? ก็เพราะว่าเขากับตี๋เว่ยหมิงมีความเห็นไม่เหมือนกัน”
“เขามีความคิดเห็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ? ก็เพราะเขาคัดค้านจึงได้คัดค้าน อีกทั้งตอนนี้เขากลับไปยืนอยู่กับตี๋เว่ยหมิงแล้ว” หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างกลัดกลุ้ม
ฮ่องเต้หมิงหยวนตบโต๊ะ “บอกให้เจ้าไปพยายามเจ้าก็ไปพยายาม พูดจาไร้สาระมากมายขนาดนั้นทำอะไร? เรื่องนี้ช้าเร็วก็ต้องผ่าน เจ้ารีบร้อนอะไรกัน? ยืดยาดไม่ผ่าน ไม่ได้สามารถทำให้เฉินจิ้งถิงยังอยู่เป่ยถังได้อีกหลายวันหรือ? สำหรับเจ้าไม่ใช่เรื่องดีหรือ?”
หยู่เหวินเห้ากล่าวเสียงเบา “รู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขากลับจวนไปอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นเขาใบหน้าละห้อย ก็รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องพันธมิตรอีก จึงพูดปลอบใจครู่หนึ่ง
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างโมโห “เสด็จพ่อก็ตั้งใจทำให้ข้าลำบากใจ เรื่องนี้เขาจูกั๋วกงเห็นด้วยไม่เห็นด้วย สำคัญเพียงนี้เชียวหรือ?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะขึ้นมา “เจ้าคือคนที่อยู่ในสถานการณ์ อีกทั้งยังรีบร้อนต่อเรื่องนี้เกินไป มองความหมายของเสด็จพ่อไม่เข้าใจ เสด็จพ่อต้องการให้เจ้าหยิบยืมสิ่งนี้เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนของจูกั๋วกง ไม่ใช่การสนับสนุนเพียงเรื่องนี้ แต่เป็นการสนับสนุนการทำงานของเจ้าในวันข้างหน้าทั้งหมด เพราะว่าตอนนี้ที่สามารถกดความผยองของตี๋เว่ยหมิงได้ ก็คือเขาพ่อตาผู้นี้”
หยู่เหวินเห้าตะลึงครู่หนึ่ง “ความหมายของเจ้าคือบอกว่า เสด็จพ่อก็มองตี๋เว่ยหมิงทะลุแล้ว?”
หยวนชิงหลิงพิงข้างกายของเขา “สิ่งที่เสด็จพ่อรู้ต้องมากกว่าที่ท่านรู้แน่นอน ก็ดีกว่าเมื่อก่อนที่ท่านบอกว่าเขามักจะเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ อันที่จริงในใจของเขารู้ เพียงแค่ให้โอกาสพี่ใหญ่มาโดยตลอด แต่เมื่อพบโอกาสที่เหมาะสม ก็ไม่ใช่ว่าได้จัดการเหมือนกันแล้วหรือ? ในใจของเขากระจ่างแจ้ง ท่านก็ไปทำตามความประสงค์ของเขาเถอะ ขัดเกลาจูกั๋วกงท่านนี้ให้ดีๆ”
หยู่เหวินเห้าเข้าใจแล้ว พยักหน้าแล้วกล่าว “วางใจได้ พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มไปสกัดเขากับพี่จิ้งถิง”
หยวนชิงหลิงจับมือของเขา “ท่านว่า ครั้งนี้พระชายาจี้ช่วยเหลือช่วยเหลือท่านมากมาย ข้าควรขอบคุณนางมากๆหน่อยหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าคิดแล้วคิดอีกจึงกล่าว “ไม่จำเป็นแล้ว พวกเรารู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว ความจริงขอบคุณนางมากๆ กลับทำให้นางไม่อิสระ อีกทั้ง ไม่เหมาะสมที่นางจะพัวพันกับเรื่องนี้มากนัก ไม่ดีทั้งต่อนางและต่อจวิ้นจู่ คนเหล่านี้ที่อยู่ใต้เงื้อมมือของนาง อาศัยวิธีการใดควบคุมเจ้าก็รู้ หากว่าถูกกดดันอย่างรุนแรงจริงๆ ก็อาจจะไม่เป็นผลดีต่อนาง หลังจากนี้ข้าค่อยๆเก็บกวาดคนเหล่านี้ ให้พวกเขาทำงานให้ข้าด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ เป็นไปได้นางก็พยายามไม่ต้องออกหน้าแล้ว ไมตรีจิตนี้ พวกเราจำไว้ ปกป้องพวกนางแม่ลูกให้ดีๆก็ได้”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่ามีเหตุผล “เช่นนั้นก็ว่าตามท่านทั้งหมด”
นางได้ไปมาหาสู่กับพระชายาจี้ระยะหนึ่ง รู้ว่าคนเช่นนางนี้ไม่ได้ปรารถนาคำสวยงามที่ออกจากปาก ดำเนินการตามความเป็นจริงของเนื้องานอย่างที่สุด
สิ่งที่นางปรารถนาทั้งหมดได้รับแล้วก็ดี
หยู่เหวินเห้ากอดนางไว้ “ช่างเถอะ ไม่พูดแล้ว พวกเราไปดูลูกๆกัน”
หยวนชิงหลิงแหงนหน้ามองดูเขา “ดูลูก? ลูกๆเข้าวังได้สองสามวันแล้ว ท่านไม่รู้?”
หยู่เหวินเห้าตกใจ “เข้าวังแล้ว? ทำไมเข้าวังไปแล้ว?”
หยวนชิงหลิงตีเขาเล็กน้อย “ดีนะ เป็นพ่อแบบท่าน ลูกชายไม่อยู่ในบ้านสามวันแล้วท่านก็ไม่รู้? สองสามวันมานี้ท่านไม่คิดอยากจะไปดูพวกเขาเลยหรือ?”
หยู่เหวินเห้าขอโทษด้วยความละอายใจ “นี่ไม่ใช่เพราะข้ายุ่งวุ่นวายกับเรื่องใหญ่อยู่หรือ?”
“ตอนกลางวันท่านงานยุ่ง กลางคืนก็ยุ่ง?”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะแฮะแฮะเสียงหนึ่ง “กลางคืนไม่อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนจิ้งถิงหรือ? เช่นนี้หาได้ยากที่ได้พบกันสักครั้งนะ”
“ทำไมพวกท่านทั้งสองถึงได้รักใคร่สนิทกันขนาดนั้นนะ? คนเช่นเขานี้เป็นอย่างไร?” หยวนชิงหลิงถามด้วยความอยากรู้
หยู่เหวินเห้ายกนิ้วโป้งขึ้นมา “ดี!”
“แค่คำว่าดีหนึ่งคำก็ครอบคลุมทุกอย่างแล้ว?”
หยู่เหวินเห้าคิดครู่หนึ่ง กล่าว “โดยละเอียดข้าก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ก็คือพรหมลิขิต น่าแปลกเป็นอย่างมาก น้อยมากที่ข้าจะชื่นชมคนผู้หนึ่ง พี่จิ้งถิงในสายตาของข้า อะไรก็ดีไปหมด ทำเรื่องรอบคอบ หนักแน่น ฉลาด ตรงไปตรงมา……”
หยวนชิงหลิงขัดจังหวะเขา “คนที่เฉลียวฉลาดผู้หนึ่งกับคนตรงไปตรงมาไม่ข้องเกี่ยวกันสิ?”
“คำพูดนี้ของเจ้าผิดแล้ว ทำไมคนที่ฉลาดก็ไม่สามารถตรงไปตรงมาได้? เช่นนี้คือเจ้าลำเอียง ข้าต้องวิจารณ์เจ้าอย่างจริงจัง”
“ได้ ได้ ข้าผิดไปแล้ว” หยวนชิงหลิงควงแขนของเขา “เช่นนั้นท่านพูดคุยเรื่องของเขากับข้าอีกสิ”
หยู่เหวินเห้าเหลือบมองนาง “ยายหยวน เจ้าไม่ไว้วางใจมากๆที่ข้าเป็นเพื่อนกับเขาใช่หรือไม่? อยากตรวจสอบเขา?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะแล้วตบไหล่ของเขา “ไม่ได้ไม่วางใจ สายตาของท่านเชื่อมั่นได้” เมื่อนางเก็บรอยยิ้ม กล่าวด้วยความจริงจังเล็กน้อย “เพียงแค่ ท่านว่าคนผู้หนึ่งไม่มีจุดด้อยสักนิด ความจริงค่อนข้าง……ก็คือค่อนข้างปลอม ข้าจึงกลัว……..หากว่าท่านไม่ได้ระวัง มองคนผิดไปแล้ว เช่นนั้นเรื่องราวก็ใหญ่โตแล้ว รู้ไหม?”