บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 521 ตัวเล็กสามตัวที่แสนเจ้าเล่ห์
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 521 ตัวเล็กสามตัวที่แสนเจ้าเล่ห์
สองสามีภรรยาเห็นด้วยที่จะไปหาเซียวเหยากงเพื่อที่จะทำความเข้าใจ แต่ว่า สวีอีกลับพูดประโยคที่น่าสนใจประโยคหนึ่ง “รัชทายาทไยไม่รอเวลาค่อยพาเหล่าเจ้านายตัวน้อยไปพบวันหลังเล่า หมาป่านี้ไม่ได้จะให้พวกท่านเสียหน่อย”
หลังจากพูดประโยคที่มีหลักปรัชญาเช่นนี้แล้ว เขาก็เอามือปิดปากหลุดเสียงหัวเราะออกมา พูดว่า “คงไม่ใช่วาสนาแปลกประหลาดอะไรหรอกนะ หรือจะให้หมาป่าหิมะแต่งงานกับเหล่าเจ้านายตัวน้อยใช่หรือไม่”
หยู่เหวินเห้าเคาะไปที่ศีรษะเขาหนึ่งที “นี่เจ้าดูนิยายมากไปหรือว่าสมองเจ้ามีปัญหากันแน่ หมาป่าหิมะสามตัวนี้ล้วนเป็นตัวผู้ ภายหน้าเจ้าแต่งงานสู่ขอภรรยาก็ไปขอผู้ชายหรืออย่างไร ”
สวีอีจับที่ศีรษะ พึมพำอย่างน้อยใจว่า “เย่กงก็มิใช่คนที่เลื่อมใสมังกรหรอกหรือ”
หมาป่าทั้งสามกรูกันเข้าไป ฉีกทึ้งชายเสื้อของเขา ร่างเล็กอันอ่อนนุ่ม กลับดึงจนทำให้สวีอีที่ตัวสูงใหญ่โซเซไปหลายก้าว
สวีอีกำหมัดขึ้นมาแยกเขี้ยวเอ่ยว่า “เจ้าพวกลืมบุญคุณทั้งหลาย จำไม่ได้แล้วหรือว่าใครป้อนอาหารให้”
เขาโยกกำปั้นไปมา ไม่ได้ทุบตีลงไปจริงๆ หมาป่าทั้งสามกลับแหงนหน้าขึ้นหอนทันที เสียงหนึ่งสูงขึ้นกว่าอีกเสียง เสียงดังขึ้นเรื่อยๆราวกับจะทำให้หลังคาทะลุ ทำเอาหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงต่างก็ตกใจไปตามๆกัน
สวีอีตกใจจนร่างไปแนบชิดติดกำแพง มองเจ้าตัวเล็กสามตัวที่ดูอ่อนแอ จะกลายเป็นปีศาจหรืออย่างไร
ตอเป่าวิ่งพุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน หูสองข้างตั้งขึ้น แยกเขี้ยวคำรามสองที พุ่งไปเห่าให้กับตัวเล็กสามตัวหนึ่งเสียง ตัวเล็กสามตัวหมอบลงทันที หยุดหอนและมีท่าทีเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
นี่ยิ่งทำให้หยู่เหวินเห้ารู้สึกประหลาดใจเข้าไปใหญ่ “นี่มันอะไรกัน หมาป่ากลัวหมาบ้านด้วยหรือ”
สวีอีมองตอเป่า เอ่ยเสียงสั่นว่า “ตอเป่าคงไม่ใช่หมาป่ากระมัง ดูหูกับเขี้ยวที่แหลมคมนั่นสิ”
หยวนชิงหลิงเรียกตอเป่าเข้ามาหา ตอเป่าส่ายหางเดินเข้าไป นั่งลงตรงหน้าหยวนชิงหลิง แลบลิ้นออกมาราวกับจะเอาใจ หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไปลูบที่หัวของตอเป่า พูดว่า “ไม่ ตอเป่าไม่ใช่หมาป่า มันเป็นสุนัข อาจเป็นเพราะว่ามันเป็นคนดูแลเจ้าตัวเล็กสามตัวนี้ มีความน่าเกรงขามของความเป็นพ่อ ฉะนั้นจึงสยบพวกมันได้ ”
สวีอีมีท่าทีหวาดกลัว “แล้วทำไมพวกมันจึงเอาแต่รังแกข้าคนเดียว”
“ตอเป่ารังแกเจ้าด้วยหรือ ตอเป่าชื่นชอบเจ้ามาตลอดเลยมิใช่หรือ ”หยวนชิงหลิงถาม
สวีอีอ้ำอึ้งไปชั่วครู่ “ข้าเคยเตะก้นตอเป่า หลังจากนั้นเป็นต้นมา มันก็ไม่สนใจข้าอีกเลย”
“หมาก็มีศักดิ์ศรี ทำไมเจ้าต้องเตะก้นมันด้วย”หยวนชิงหลิงถามอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
สวีอีหน้าแดงขึ้น “มันเอาแต่กอดขาข้าเอาไว้ ทำท่าทางอย่างนั้น เอาแต่ถูไถไปมา ข้าโมโหจึงเตะมันไปหนึ่งที”
หยู่เหวินเห้ามองสวีอีอย่างมึนงง “มันกอดเจ้าเอาไว้แล้วถูไถไปมาหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าหมาอันธพาล ตัวเหม็น”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะฮ่าๆออกมา หันไปมองหยวนชิงหลิง “ยายหยวน พวกเราควรพิจารณาหาสะใภ้ให้กับตอเป่าได้แล้วกระมัง”
หยวนชิงหลิงมองตอเป่า “เจ้าอยากจะมีภรรยาแล้วหรือ”
ตอเป่าเห่า “โฮ่ง”หนึ่งเสียง ค่อยๆหมอบลงไป ด้วยท่าทีเขินอายอยู่หลายส่วน
หยวนชิงหลิงรู้ถึงความหมายของมัน ก็พูดยิ้มๆว่า “ได้ ข้าจะหาสะใภ้ให้เจ้า ดูแลเจ้าตัวเล็กสามตัวนี้ให้ดี”
ตอเป่ายิ่งหมอบต่ำลงไปอีก แลบลิ้นออกมาเลียไปที่รองเท้าของหยวนชิงหลิง ทำท่าราวกับสาวน้อยขี้อ้อนอย่างไรอย่างนั้น
วันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเข้าวังไปพบกับเหล่าของว่าง
ไทเฮาที่ได้รับรายงานว่าพวกเขามา สีหน้าก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ต้องมาแย่งเด็กๆไปแน่ ข้าก็ดูแลอย่างดี ไม่ให้พวกเขาพากลับไปแน่”
แม่นมหูพูดยิ้มๆว่า “ไทเฮา พวกเขาเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดนะเพคะ ทำไมจะพาลูกกลับไปไม่ได้ พระองค์อย่าเอาแต่ใจนักเลย”
“พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดแล้วอย่างไร ข้าเองก็เป็นย่าโดยกำเนิดของพวกเขานะ”ไทเฮาพูดด้วยเสียงไม่ชอบใจ
หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าเข้ามาในตำหนัก ก็ได้ยินคำพูดนี้เข้า เดินเข้าไปคำนับก่อน หยู่เหวินเห้าก็รีบวิ่งเข้าไปทุบไหล่นวดให้กับไทเฮาทันที “เสด็จย่าหลายวันมานี้คงเหนื่อยมากสินะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เหนื่อย รู้สึกสนุกมาก ”ไทเฮารู้ทันความคิดของเขา แต่ก็ไม่หลงกล “เด็กๆอยู่กับข้าก็ดีมาก เสด็จปู่ของเจ้ายังมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว อาการป่วยของข้าวเหนียวก็ดีขึ้นแล้ว ซาลาเปากับทังหยวนก็ไม่มีอาการไอแล้ว ดูแล้วดีกว่าตอนอยู่ในจวนซะอีก”
หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้นมองไปทางหยวนชิงหลิง ให้สัญญาณนางว่าใจเย็นๆอย่าเพิ่งวู่วาม แล้วก็เอ่ยอย่างประจบประแจงต่อไปว่า “พวกเขาอยู่ข้างกายเสด็จย่า นั่นเป็นการได้รับวาสนาจากตัวเสด็จย่าไปด้วย เพราะว่า ที่ว่ากันว่าเด็กที่เกิดในวันเกิดของพระพุทธเจ้าก็ต้องอาศัยอยู่ในถิ่นที่กำเนิดเพื่อซึมซับโชคลาภวาสนา นี่ล้วนเป็นคำพูดเหลวไหลของเจ้าอาวาส วาสนาอะไรเล่าจะเทียบได้กับวาสนามากมายของเสด็จย่าจริงหรือไม่”
ไทเฮาได้คำพูดประโยคนี้ ก็ใช้ฝ่ามือตีลงไปเบาๆบนหลังมือของหยู่เหวินเห้า รีบท่องคำว่าอามิตตาพุทธขึ้นมาทันที “อย่าพูดเหลวไหลนะ อย่าพูดจาเหลวไหล วาสนาของพระพุทธเจ้า ย่อมต้องยิ่งใหญ่กว่าวาสนาของข้า ข้ายังต้องให้พระโพธิสัตว์คอยปกป้องคุ้มครองนะ อย่าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้”
หยู่เหวินเห้าเบิกตากว้าง “เช่นนั้นที่เจ้าอาวาสพูดก็เป็นเรื่องจริงหรือ”
“เจ้าอาวาสไหนเลยจะกล้าพูดจาเหลวไหล”ไทเฮาพูดเสียงดุ
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างกลัดกลุ้มใจว่า “ถ้าหากสิ่งที่เจ้าอาวาสพูดเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นพวกของว่างเข้ามาอาศัยอยู่ในวังจะทำให้……หรือไม่นะ จะว่าไปแล้ว หมาป่าหิมะที่ไท่ซ่างหวงมอบให้กับพวกของว่าง หลายวันนี้ไม่รู้เป็นอะไร ไม่กินเนื้อและดูจะหงอยๆซึมๆ ไม่รู้ว่าจะตายหรือเปล่า ”ปลายเสียงเห็นได้ชัดว่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าของไทเฮาดูหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้น ก็ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่ออีกสักวันสองวันค่อยกลับเถอะ เดือนหน้าค่อยเข้าวังมาอยู่ที่นี่อีก ทำอย่างนี้เจ้าว่าดีหรือไม่ ”
หยู่เหวินเห้าเดินอ้อมมาตรงหน้าไทเฮา “นี่ย่อมเป็นการดีมาก พวกเขาต้องเข้าวังเพื่อมาแสดงความกตัญญูต่อเสด็จย่าแน่”
หยู่เหวินเห้าหันไปขยิบตาให้กับหยวนชิงหลิงทีหนึ่ง หยวนชิงหลิงแอบยิ้มในใจ และยังเป็นเจ้าห้าที่โม้เป็น
ไทเฮายิ้มขึ้นมา “จะกตัญญูต่อข้าหรือ กตัญญูอย่างไร บรรพบุรุษตัวน้อยสามคนนี้เอาใจยากมาก ต้องพาออกไปเดินเล่นทุกวัน ถ้าไม่ไปก็งอแง ยังต้องให้บ่าวรับใช้ในวังเปลี่ยนวิธีการเล่นใหม่ๆกับพวกเขาทุกวัน ถ้าไม่เล่นก็ร้องไห้อีก ”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”หยวนชิงหลิงประหลาดใจ “แล้วเปลี่ยนวิธีการเล่นด้วยอย่างไรเล่า”
เด็กตัวเล็กแค่นี้ จะเล่นอะไรเป็น
แม่นมหูที่อยู่ข้างๆพูดยิ้มๆว่า “ให้พวกบ่าวรับใช้ร้องเพลงเต้นรำ โบกสะบัดสิ่งของที่มีสีสันสดใส หรือบางทีก็ต้องอุ้มวิ่งด้วย ปะทะลม แค่ได้ออกไปเล่นข้างนอก ก็จะฉีกยิ้มจนตาหยี”
หยวนชิงหลิงประหลาดใจ “ตอนอยู่ที่จวนไม่เป็นเช่นนี้ อยู่ในจวนกินอิ่มก็นอนหลับ ตื่นมาก็กิน น้อยมากที่จะงอแง”
ไทเฮานิ่งอึ้งไป “เช่นนั้นก็เท่ากับรังแกคนแก่อย่างข้าสินะ”
หยู่เหวินเห้าถามขึ้น “พวกเขาล่ะ หลานจะไปดูเสียหน่อย”
“ออกไปเดินเล่นกันแล้ว”ไทเฮาพูด จากนั้นก็หันไปสั่งการแม่นมหู “ไปอุ้มกลับมา”
แม่นมหูพูดว่า “นี่เพิ่งจะออกไปได้ประเดี๋ยวเดียวเอง ถ้าอุ้มกลับมาตอนนี้เกรงว่าจะงอแง”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “อุ้มกลับมา งอแงไม่ได้ อยู่ในจวนไม่เคยเป็นเช่นนี้ ”
แม่นมหูได้ยินหยู่เหวินเห้าพูดเช่นนี้ ก็ได้แต่ไปอุ้มกลับมา
ผ่านไปชั่วครู่ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ส่งมาจากนอกตำหนัก เสียงร้องไห้ดังจ้า ทำให้หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าที่ได้ยินแล้ว รู้สึกเสียงดังคล้ายกันกับเสียงร้องของเหล่าหมาป่าหิมะในวันนี้
สองสามีภรรยาต่างก็สบตากัน นี่มันเรื่องอะไรกัน งอแงจริงๆหรือ
ไทเฮาได้ยินเหล่าของว่างร้องไห้ ก็รีบลุกขึ้นมา “ยังเดินเล่นไม่พอใจ ดูสิ งอแงใหญ่แล้ว ช่างเถอะ อย่าเพิ่งดูเลย รอให้เล่นพอแล้วค่อยอุ้มกลับมาเถอะ ”
ระหว่างที่พูด แม่นมก็ได้อุ้มเด็กๆเข้ามาแล้ว เสียงร้องไห้ยิ่งดังเข้าไปใหญ่
หยวนชิงหลิงมองไป เห็นเพียงตอนที่แม่นมอุ้มพวกเขาเอาไว้นั้น ยังมีการดิ้นรนอย่างสุดแรง มือเท้าประสานกัน เตะถีบอย่างสะเปะสะปะ บนใบหน้ายังมีน้ำตาไหลหยด ราวกับได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างใหญ่หลวง
หยวนชิงหลิงสีหน้าขรึมลง เอ่ยเสียงดุว่า “หุบปาก อย่าร้องไห้”
พอได้ยินเสียงดุอย่างโมโหราวกับฟ้าผ่าที่มาจากแม่ เสียงร้องก็หยุดลงในทันที