บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 524 ชาวหมาป่า
โสวฝู่ฉู่ราวกับจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะถามเรื่องนี้ จัดระเบียบชายเสื้อครู่หนึ่ง เอนร่างค่อยๆพิงไปข้างหลัง ในมือถือน้ำชาไว้แก้วหนึ่ง ค่อยๆยกฝาแก้วน้ำชาไล่ฟองน้ำชาในแก้ว เข้าสู่วังวนแห่งความทรงจำ แต่มุมปากกลับมีแววยิ้มขึ้นมาสองส่วน พูดว่า “ว่าแล้วเรื่องนี้ ในสายตาของคนนอกนั้นเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง เพียงแค่ทั้งสองคนในตอนนั้นต่างก็ดื้อดึงไม่ยอมกัน ไม่สามารถถอยกันคนละก้าว และไม่ยอมฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย สุดท้ายเพียงเพราะความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อย ต่างก็หาเรื่องกันไม่หยุดหย่อน ทำให้ความแค้นสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบัดนี้ก็ถึงจุดที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว”
หยู่เหวินเห้าถาม “แล้วท่านว่า นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ได้ยินมาว่าพวกเขาเคยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดมาก่อน ทะเลาะกันจนถึงขั้นนี้ จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยจริงหรือ ”
โสวฝู่ฉู่พูดขึ้นอย่างช้าๆว่า “สมัยนั้นพวกเขาปราบโจรอยู่ที่หวยอัน เรื่องปราบโจรเดิมทีเป็นหน้าที่ของจูกั๋วกง พอดีเซียวเหยากงผ่านไปแถวนั้น ก็ไปหาและดื่มเหล้ากับจูกั๋วกง ภารกิจปราบโจรเดิมทีก็ไม่ได้ยุ่งยากลำบากอะไร เพียงแต่ตำแหน่งที่อยู่ของโจรค่อนข้างห่างไกลโจมตีได้ยาก จูกั๋วกงจึงปิดกั้นทางขึ้นลงภูเขาเอาไว้ อยากจะตัดขาดเสบียงอาหารของพวกโจรจากนั้นก็จับตะพาบในไหไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ตอนที่พวกเขาดื่มเหล้าด้วยกันในงานเลี้ยง ก็พูดถึงเรื่องการปราบโจรในครั้งนี้ขึ้นมา เซียวเหยากงได้ยินว่ามีโจรแค่สองร้อยกว่าคนเท่านั้น ทหารห้าร้อยของจูกั๋วกงยังโจมตีไม่สำเร็จ ยังต้องคอยเฝ้าต้นไม้รอกระต่ายให้เสียเวลาอีก ด้วยความมึนเมาจึงพูดออกไปว่าจะขึ้นเขาไปเพียงลำพัง ปราบโจรให้ราบคาบ จูกั๋วกงเองก็ดื่มไปมากพอสมควร จึงได้ถือมีดขึ้นมาตามเขาไป ทั้งสองพุ่งขึ้นไปบนภูเขาด้วยความมึนเมา ไม่พาทหารไปแม้แต่คนเดียว”
โสวฝู่ฉู่พูดถึงตรงนี้ ก็หยุดไปชั่วครู่ หัวเราะออกมาจากนั้นก็ดื่มชาไม่หลายคำ
แม่ทัพใหญ่จิ้งถิงได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “ตอนนั้นทั้งจูกั๋วกงกับเซียวเหยากงต่างก็เป็นแม่ทัพใหญ่แล้วหรือ ทำไมจึงได้บ้าบิ่นเช่นนี้ ”
โสวฝู่ฉู่พูดว่า “ไม่ผิด ตอนนั้นทั้งสองคนได้มีชื่อเสียงแล้ว แต่ชาตินี้ทั้งชาติของเซียวเหยากงนั้นได้ถูกเหล้ากับของเล่นถ่วงเอาไว้ ด้วยความกล้าบ้าบิ่นของเขา บวกกับจูกั๋วกงที่วรยุทธสูงส่งและการวางแผนกลยุทธ์ที่ล้ำเลิศ ทั้งสองสามารถพูดได้ว่าเป็นผู้อยู่ยงคงกระพันในสนามรบ เรื่องปราบโจรในครั้งนั้น จูกั๋วกงในตอนนั้นเป็นมิตรที่ดีต่อกันกับเซียวเหยากงมาก ร่วมมือกันราวกับเป็นพี่น้องร่วมสาบานขึ้นเขาไปปราบโจรด้วยกันอย่างไม่รู้สึกเสียดายชีวิต เขาย่อมต้องตามขึ้นไปด้วย เพียงแต่ คนสองคนต่อโจรจำนวนสองร้อยกว่าคน แค่คิดก็รู้แล้ว นั่นเป็นสงครามที่โหดเหี้ยมอเนจอนาถแค่ไหน ทั้งสองถูกบีบต้อนจนต้องหลบไปอยู่ในร่องน้ำของภูเขา หลบอยู่สามวัน สุดท้ายกองทัพก็บุกโจมตีขึ้นมา ปราบโจรจนสิ้นซาก แต่ตอนที่ทหารหาตัวพวกเขาจนพบ พวกเขากลับกำลังต่อสู้กัน สู้กันจนใบหน้าเขียวช้ำไปทั้งสองคน หลังจากกลับไปแล้ว ข้าได้ถามถึงเหตุการณ์จากทั้งสองฝ่าย เซียวเหยากงบอกว่าตอนที่ติดอยู่บนภูเขา ไม่มีน้ำดื่มและของกิน จากนั้นก็ไปเด็ดผลไม้ป่าที่เหลือเพียงลูกเดียวอยู่บนต้น เดิมทีคิดว่าผลไม้ป่านี้จะแบ่งกันกินคนละหนึ่งคำ แต่หลังจากที่เซียวเหยากงไปถ่ายหนักกลับมา ผลไม้ป่านั้นก็หายไปแล้ว ถูกจูกั๋วกงแอบกินไปแล้ว จากนั้นข้าก็ไปถามจูกั๋วกง จูกั๋วกงบอกว่าไม่ได้ขโมยกิน ตอนนั้นเขาเอาแต่รอให้เซียวเหยากงกลับมา เห็นเขาไปนานแล้วไม่ยอมกลับมาสักที ตอนที่ไปตามหาเขาเพราะความหิวจนตาลาย ผลไม้ที่วางไว้บนพื้นก็กลิ้งลงเขาไปแล้ว เขาโกรธเซียวเหยากงที่สงสัยว่าเขาขโมยกินผลไม้ป่าไปไม่เชื่อในการวางตัวของเขา ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันตั้งแต่เรื่องผลไม้ป่า สุดท้ายก็โทษอีกฝ่าย บอกว่าเรื่องนี้เดิมทีก็เป็นความผิดของเซียวเหยากง ไม่ควรจะสะเพร่าขึ้นมาไล่ฆ่าโจรบนภูเขา เซียวเหยากงได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ่งรู้สึกโกรธ บอกว่าหวังดีแต่กลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ สรุปคือเพราะผลไม้ป่าลูกเดียว ทั้งสองทะเลาะกันจนแตกหัก หลายปีมานี้เอาแต่ตาต่อตาฟันต่อฟัน มาถึงจุดที่สะสมยาวนานจนยากจะแก้ไขได้แล้ว”
หยู่เหวินเห้ากับจิ้งถิงต่างมองหน้ากัน เพราะผลไม้ป่าลูกเดียวหรือ
“แล้วภายหลังพวกท่านก็ไม่มีการพูดกล่อมเลยหรือ”หยู่เหวินเห้าถามขึ้น “ตามหลักแล้วตอนนั้นก็แค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย อธิบายให้ชัดเจนแล้วก็คงไม่เป็นไร ”
โสวฝู่ฉู่พูดว่า “ทำไมจะไม่กล่อมเล่า แต่ใครเล่าจะฟัง สุดท้ายก็ทะเลาะกันไปจนถึงจุดสูงสุดที่ว่ากันถึงเรื่องนิสัยใจคอความเป็นคนไปแล้ว ตำหนิข้อบกพร่องของอีกฝ่ายออกมายกใหญ่ คำพูดหยาบคายทิ่มแทงใจอย่างที่สุด คำพูดที่ไม่น่าฟังล้วนถูกพูดออกมาจนหมด และยังเป็นการตำหนิต่อหน้าเหล่าทหารอีกด้วย ตอนนั้นทั้งสองต่างก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะลงจากหลังเสือแล้ว บวกกับสุดท้ายทหารที่ตนเองมีอยู่ต่างก็ขัดแย้งกันขึ้นมา นี่ยิ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถประนีประนอมเข้าไปใหญ่ หลายปีมานี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นปรปักษ์กันเพราะความแค้นส่วนตัวหรือเพราะจุดยืนของตนเอง สรุปแล้ว ที่ที่มีเซียวเหยากงอยู่ ก็ไม่มีจูกั๋วกง ที่ที่มีจูกั๋วกง ก็ไม่มีเซียวเหยากง ถ้าหากมีสถานการณ์บีบบังคับให้ทั้งสองคนต้องอยู่ในสถานที่เดียวกัน สุดท้ายก็ต้องทะเลาะกันหรือไม่ก็ต่อสู้กันเป็นการปิดฉาก ฉะนั้น บ้านไหนจัดงาน จะไม่มีการเชิญทั้งสองมาในเวลาเดียวกัน ”
หยู่เหวินเห้าฟังเรื่องที่โสวฝู่ฉู่เล่ามา ก็ยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรง“เพราะผลไม้ป่าผลเดียว เพื่อนรักต้องแตกหักกัน จนกระทั่งถึงขั้นตายจากกันก็ไม่ยอมเผาผี นี่เดิมทีก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา แต่มีผลกระทบต่อการใหญ่โดยตรง นี่ไม่ใช่วิธีการที่ฉลาดเลยจริงๆ ”
โสวฝู่ฉู่พูดว่า “รัชทายาท ข้าขอร้องว่าท่านอย่าได้คิดจะประสานรอยร้าวระหว่างพวกเขาเด็ดขาด มาจนถึงขั้นนี้แล้ว แก้ไขไม่ได้แล้ว”
“ถ้าแก้ไขไม่ได้ เขาเอาแต่เป็นปรปักษ์กับเซียวเหยากง เซียวเหยากงสนับสนุนความคิดเห็นทางการเมืองของข้า เขาก็เอาแต่ต่อต้านคัดค้าน แล้วจะทำอย่างไร ”หยู่เหวินเห้าพูดอย่างจนใจ
โสวฝู่ฉู่ยิ้มบางๆ “ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีเลย”
หยู่เหวินเห้าเบิกตากว้าง “มีวิธีหรือ มีวิธีทำไมท่านไม่บอกตั้งแต่แรก ทำเอาข้าร้อนใจแทบตาย”
โสวฝู่ฉู่โบกมือลง “จะร้อนใจทำไมกัน ก็จะบอกอยู่นี่อย่างไรเล่า เรื่องนี้จะว่ายากก็ไม่ยาก แต่ถ้าบอกว่าไม่ยาก ก็ถือว่ายากอยู่”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองเขา “โสวฝู่ ท่านพูดจาวกไปวนมาอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน กลายเป็นคนช่างพูดไปแล้ว ท่านยังคู่ควรต่อภาพลักษณ์ของตนเองอยู่หรือเปล่า ”
โสวฝู่ฉู่กลอกตาให้เขาทีหนึ่ง พูดเสียงเรียบๆว่า “จูกั๋วกงรักภรรยายิ่งกว่าชีวิต เรื่องนี้พวกเจ้าคงเคยได้ยินกระมัง ฮูหยินของเขาล้มป่วยไปตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว ถ้าหากพระชายารัชทายาทสามารถรักษาฮูหยินของเขาให้หายจากโรคร้ายได้ ท่านให้เขาทำอะไรเขาก็ยอม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเล็กอย่างการสนับสนุนความคิดเห็นทางการเมืองของท่าน ”
หยู่เหวินเห้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ “ฮูหยินของเขาล้มป่วยเป็นอะไร”
“ไม่รู้ ฮ่องเต้ทรงเมตตา สั่งให้หมอหลวงไปตรวจดู แต่ก็รักษาไม่หาย ว่ากันว่าแม้แต่เป็นโรคอะไรก็ยังไม่รู้”
หยู่เหวินเห้าหดหู่ “แม้แต่สาเหตุของโรคก็ยังไม่รู้ จะให้ยายหยวนรักษาอย่างไร ถ้าหากไปดูถึงจวนแล้วบอกว่ารักษาไม่ได้ นี่ไม่ยิ่งเป็นการทำร้ายจิตใจของเขาหรอกหรือ ”
“คงได้แต่ลองดูแล้ว ถ้าหากไม่ได้ เลวร้ายที่สุดก็คงเป็นเช่นนี้ ”โสวฝู่ฉู่พูด
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิด รู้สึกว่านี่ก็เป็นโอกาสหนึ่ง แต่ว่า เรื่องนี้ต้องปรึกษากับยายหยวนก่อน
หยู่เหวินเห้านึกถึงเรื่องหมาป่าหิมะกับอาจารย์ของเซียวเหยากงขึ้นมา จึงถามว่า “ใช่แล้ว โสวฝู่ ท่านรู้เรื่องอาจารย์ของเซียวเหยากงหรือไม่ เซียวเหยากงบอกว่าเขามีอาจารย์เห็นว่าเป็นคนของชาวหมาป่า มอบหมาป่าสามตัวให้กับเหล่าของว่าง ช่างน่าประหลาดใจนัก พวกมันรู้จักยอมรับเจ้านายด้วย เรื่องนี้ทำเอาค่อนข้างกังวลใจทีเดียว”
สีหน้าของโสวฝู่ฉู่แสดงความนับถือขึ้นมาทันที “รู้ เซียนโล่น่ะหรือ นางเป็นแม่ทัพน้อยของชาวหมาป่า หมาป่าหิมะที่นางเลี้ยงมาจงรักภักดีต่อเจ้านายมาก รัชทายาทสบายใจได้ ของขวัญชิ้นนี้ เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ ได้ผลประโยชน์ตลอดชีวิต แม้แต่ร้องขอยังไม่สามารถได้มา บางทีอาจเห็นแก่ไท่ซ่างหวงจึงได้มอบให้กับเหล่าพระราชนัดดา”
“จริงหรือ”หยู่เหวินเห้าได้ยินโสวฝู่พูดเช่นนี้ ก็รู้สึกอยากรู้ขึ้นมา “แล้วแม่ทัพน้อยแห่งชาวหมาป่านี้เป็นอะไรกันแน่ ชาวหมาป่าที่ไหน มีเผ่าเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ”
“ชาวหมาป่าน่ะสิ ทำไมจะไม่มี ”โสวฝู่ฉู่พูด
หยู่เหวินเห้ายังคิดไม่ออก “ใช่ ชาวหมาป่าที่ไหนกัน ”
โสวฝู่ฉู่มองเจ้าคนหัวสมองทึ่มทื่อ “หมาป่า หมาป่าที่มีอยู่ทั้งหมด นางเป็นคนควบคุมดูแล มีนางเป็นผู้นำสูงสุด”
หยู่เหวินเห้าได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจทันที เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “หา อาจารย์ของเซียวเหยากงเป็นหมาป่าหรือ”