บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 530 ไท่ซ่างหวงก็ไม่สบาย
ตี๋เว่ยหมิงได้ยินคำพูดนี้ ก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา โดยเฉพาะ คำพูดนี้ได้พูดต่อหน้าคนของตระกูลจูมากมาย ไม่ให้เกียรติเข้าเลยแม้แต่น้อย ยังคิดว่าเขาเป็นไอ้หนุ่มไม่รู้ประสาเหมือนสมัยก่อน
เพียงแต่ เขารู้ว่าอารมณ์ของพ่อตานั้นรุนแรงมาก ตอนนี้คงล่วงเกินไม่ได้จริงๆ
กลับเป็นนางจูใหญ่ที่ช่วยสามีพูดขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เขาเองก็หวังดีกับท่าน เกรงว่าท่านจะหลงกล เดิมทีท่านก็ไม่สนใจและไม่เลือกข้าง ถ้าหากถูกคนอื่นเอาจุดอ่อนจากการป่วยของท่านแม่มาบีบท่านให้ยืนอยู่ฝ่ายรัชทายาท แล้วท่านจะเอาอ๋องอันไปไว้ที่ไหน ”
สีหน้าของจูกั๋วกงขรึมลงทันที ใช้สายตาอันโกรธเคืองจ้องมองนางจูใหญ่ “รัชทายาทกับอ๋องอันยืนอยู่คนละฝั่งหรือ รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ภายหน้าจะสืบทอดอำนาจของประเทศที่ยิ่งใหญ่ เจ้าว่าอ๋องอันจะตั้งตนเป็นปรปักษ์กับรัชทายาท เท่ากับกำลังชี้ให้เห็นว่าอ๋องอันเป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูงใช่หรือไม่ ไม่รู้ถึงเป็นอะไรทั้งคืน เอาแต่พูดจาเหลวไหล ถ้าหากคำพูดนี้หลุดรอดออกไป เท่ากับเจ้าทำร้ายอ๋องอัน เมื่อครู่ข้าก็อยากจะด่าเจ้า พระชายารัชทายาทออกมาตรวจรักษาอาการของแม่เจ้าในเวลาดึกดื่น เจ้าไม่ขอบคุณสักคำยังจะพูดจาขัดขวางสร้างความลำบากใจ เจ้าคิดอยากจะทำอะไร เจ้าลองพูดสิว่าเจ้าจะทำอะไร ไม่เข้าใจจริงๆ”
ใบหน้าของนางจูใหญ่เต็มไปด้วยความอับอาย เอ่ยอย่างโมโหว่า “ท่านพ่อ ลูกก็แค่เป็นห่วงท่าน ทำไมท่านต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟด้วย ลูกเขยของท่านกับข้าทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ”
จูกั๋วกงเอ่ยอย่างไร้เยื่อใยว่า “ถ้าเจ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าเจ้าทำอะไรผิดไป ก็ไม่สมควรเกิดเป็นคน ไม่ยินดีต้อนรับพวกเจ้า กลับไปเถอะ”
พูดจบ จูกั๋วกงก็เดินจากไปทันที
ทิ้งทุกคนเอาไว้ ชั่วขณะนั้นทำเอาทุกคนทำตัวไม่ถูกไปเลยทีเดียว ท่านพ่อยังไม่เคยแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อตี๋เว่ยหมิงเลย การตำหนิในค่ำคืนนี้ ทำเอาทุกคนไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรต่อไป
เมื่อพูดถึงหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงที่รถม้าเพิ่งจะกลับมาถึงจวนอ๋องฉู่ ก็เห็นรถม้าของในวังก็มาถึงพอดี หยู่เหวินเห้าเลิกผ้าม่านขึ้นประคองหยวนชิงหลิงลงมา “ใครกัน”
รถม้าฝั่งนั้นก็หยุดลง ฉางกงกงลงมาจากรถม้า เดินอย่างรวดเร็วเข้ามาหาและพูดว่า “พระชายารัชทายาท ท่านยังไม่นอนหรือ เอ๋ ยังถือกล่องยาเอาไว้ด้วย นี่ช่างดีจริงๆ ท่านรีบตามข้าน้อยเข้าไปในวังเถอะ”
หยู่เหวินเห้าถามขึ้นว่า “ฉางกงกง เกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนนี้ประตูวังก็ปิดหมดแล้ว ทำไมท่านจึงออกจากวังมาได้เล่า ”
สีหน้าของฉางกงกงเต็มไปด้วยความร้อนใจ พูดว่า “ไท่ซ่างหวงไม่สบาย รีบขึ้นรถม้าเถอะ ค่อยคุยกันตอนอยู่บนรถม้า ”
ได้ยินว่าไท่ซ่างหวงไม่สบาย หยวนชิงหลิงนึกว่าอาการโรคหัวใจกำเริบ รีบดึงตัวหยู่เหวินเห้าขึ้นรถม้าทันที
พอขึ้นรถม้าก็สอบถามอย่างละเอียด ฉางกงกงกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้สามสี่วัน ไท่ซ่างหวงเริ่มมีอาการท้องร่วงท้องเสีย วันละเจ็ดแปด และไม่ยอมให้เรียกหมอหลวง ได้แต่กินยาที่ท่านให้เขาเอาไว้ เมื่อวานเดิมทีก็ดีขึ้นมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คืนนี้กลับอาเจียนตลอดทั้งคืน เวียนหัว ยังบอกว่าเห็นภูตผีมากมายลอยไปมาตรงหน้าเขา บอกว่าจะเอาชีวิตเขา ทำเอาทุกคนตกใจไปหมด สั่นสะเทือนไปถึงฮ่องเต้ ฮ่องเต้มาแล้วก็เรียกหมอหลวง หลังจากหมอหลวงให้ยากินไปแล้ว ท้องนั้นก็ดีขึ้นมาก แต่ยังบอกว่าเวียนหัว มองเห็นผี มีผีมากมายอยู่ข้างเตียง แต่ละตนยื่นมือเข้ามาจะฆ่าเขา ยังมีเสียงวิ่งของม้าศึกที่ดังขึ้นข้างหูเขาอีก”
“ยังมีเสียงม้าศึกด้วย”หยู่เหวินเห้าประหลาดใจ “ฝันไปกระมัง”
“ภาพหลอน ท้องเสียจนเสียน้ำมาก เกลือแร่ในร่างกายแปรปรวน ค่อนข้างอันตราย ”หยวนชิงหลิงพูด ได้ยินฉางกงกงพูดเช่นนี้ นางก็เข้าใจแล้ว
ไท่ซ่างหวงท้องเสียจนสูญเสียน้ำในร่างกายไปมาก ยังกินยาที่นางเอาไว้ให้อีก ยาที่นางให้ไม่ได้มีที่ใช้รักษาอาการท้องร่วง ช่างมั่วซั่วจริงๆ
พอได้ยินว่าค่อนข้างอันตราย หยู่เหวินเห้าก็รีบพูดกับคนขับรถม้าทันทีว่า “เร็วหน่อย”
ฉางกงกงก็ร้อนรนขึ้นมาทันที “ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ หยุดท้องร่วงแล้วก็ดีขึ้นไม่ใช่หรือ”
“ต้องดูสถานการณ์ อย่าเพิ่งร้อนใจไป”หยวนชิงหลิงเอ่ยเสียงขรึม
รถม้าห้อตะบึงด้วยความเร็ว ขับเข้าไปในวัง จนถึงตำหนักฉินคุน ในตำหนักฉินคุนสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เงาคนวูบวาบ เห็นได้ชัดว่าอาการป่วยของไท่ซ่างหวงทำให้วังหลังตื่นตระหนกไม่น้อย
หยู่เหวินเห้าลากตัวหยวนชิงหลิงเดินเข้าไป ฮ่องเต้หมิงหยวนกับฮองเฮาฉู่ต่างก็อยู่ เห็นหยวนชิงหลิงเข้ามา ฮ่องเต้ไม่รอให้นางคำนับก็พูดขึ้นว่า “รีบเข้าไปดูไท่ซ่างหวงก่อน ”
หยวนชิงหลิงตอบรับหนึ่งเสียง ถือกล่องยาเข้าไป
ไทเฮากับแม่นมหูเฝ้ารับใช้อยู่ในตำหนักบรรทม หมอหลวงก็อยู่ ไท่ซ่างหวงนอนอยู่บนเตียง ดวงตาเบิกกว้าง ตาทั้งคู่ไร้สติ มองหน้าเตียง เอาแต่ยกมือขึ้น “ไปให้พ้น ออกไปให้หมด พวกเจ้าจะมาทวงชีวิตอะไรกับข้า สองประเทศรบกัน ไม่ใช่เจ้าตายก็มีข้าที่ต้องตาย นี่เป็นกฏเกณฑ์ตายตัวไม่เคยเปลี่ยน ไสหัวไป ไป ไป”
ไทเฮาน้ำตาตก พูดอย่างร้อนใจว่า “นี่เป็นอะไรกันแน่ มีคนที่ไหนกัน ใครกันที่ตายแล้ว โธ่”
หยู่เหวินเห้าเดินเข้าไปประคองไทเฮาให้ลุกขึ้น พูดปลอบใจว่า “เสด็จย่าอย่าห่วงเลย ไม่เป็นไร ให้เจ้าหยวนดูก่อน ”
ไทเฮาเช็ดน้ำตา มองหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง “เจ้ารีบเข้าไปดู ว่าเป็นอะไรกันแน่ คงไม่ใช่เจอเคราะห์ร้ายหรอกนะ”
หยวนชิงหลิงรับคำและพูดว่า “เสด็จย่าอย่าร้อนใจ ข้าขอตรวจดูก่อน”
นางเดินเข้าไป เห็นเพียงผิวหนังของไท่ซ่างหวงแห้งกร้าน ดวงตาโบ๋ลึก ริมฝีปากแห้งแตกร้าว เป็นอาการสูญเสียน้ำจริงๆ
ตรวจร่างกายสักพัก และถามหมอหลวงไม่กี่คำ ก็ทำการให้น้ำเกลือก่อน
ไท่ซ่างหวงยังคงพูดจาเหลวไหลถึงเรื่องผีสางเทวดาอยู่ หยวนชิงหลิงให้คนไปเอาน้ำร้อนมา ให้เขากินยาไปหลายเม็ด กลับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กลืนยาเข้าไปทันที จากนั้นหยวนชิงหลิงก็เปิดน้ำเกลือแร่ให้เขาดื่ม ดื่มหมดแล้วเขาก็ล้มลงไปนอน
ผ่านไปชั่วครู่ ดวงตาของไท่ซ่างหวงค่อยๆรวบรวมจุดสังเกตมองไปยังหยวนชิงหลิง ราวกับเพิ่งจะตื่นขึ้นมา “มาทำไม”
หยวนชิงหลิงมองเขา “กินอะไรมั่วอีกแล้ว ทำไมจึงท้องเสียได้”
“ไม่ได้กินอะไรนี่นา วันหนึ่งสามมื้อ ก็กินตามที่เจ้าบอก เน้นอาหารจืดย่อยง่ายเป็นหลัก ”ไท่ซ่างหวงเผยให้เห็นแววตาที่ค่อนข้างฉงนน่าสงสารเป็นพิเศษออกมา เป็นเพราะท้องร่วงทำให้ผอมลงไปมาก ดวงตาดูแล้วค่อนข้างใหญ่ขึ้นมาก กลับเพิ่มความหล่อเหลาขึ้นมาอีกหลายส่วน “ไม่กินอะไรก็มีอาการท้องร่วง ทำไมจึงได้ซวยนักนะ หรือจะเป็นเพราะอายุมากแล้ว”
ฉางกงกงเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง เปิดโปงเขาว่า “ท่านว่าท่านไม่ได้กินหรือ ขาหมูทั้งขา ถูกท่านกินจนหมด กินขาหมูหมดแล้ว ยังกินแตงกว่าแช่น้ำแข็งไปครึ่งหนึ่ง ข้าน้อยขอร้องท่านแล้ว ท่านก็ไม่ยอมฟัง ”
ไท่ซ่างหวงโมโหมาก เพียงแต่ยังไร้เรี่ยวแรง เสียงดุคำรามจึงไม่ดังนัก ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำร้าย “เจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าเคยกันที่ไหนกัน ช่วงที่ผ่านมาก็กินแต่ของจืดๆมิใช่หรือ ใครจะเคยกินขาหมู ไม่ชอบกินที่สุดเลี่ยนจะตายไป”
ฉางกงกงพูดยิ้มๆว่า “ใช่ พระองค์ไม่กิน ขาหมูทั้งขานั้น พระองค์ประทานให้ข้าน้อย เป็นข้าน้อยที่กิน พอใจหรือไม่ พระองค์อย่าโมโหเลย รอพระองค์หายดีแล้ว ค่อยทำให้พระองค์ใหม่ ”
หยวนชิงหลิงร้องห้ามเสียงเข้มจริงจัง “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านต้องรักษากฎการกินอาหารรสอ่อนเป็นเวลาสามเดือน ภายในสามเดือน อาการมันเลี่ยนกับของสดเย็นชืด ห้ามให้ลงท้องเด็ดขาด ไม่สามารถดื่มเหล้า สูบบุหรี่ให้น้อยลง ไปเดินออกกำลังทุกเช้าเย็น อย่าอุดอู้อยู่แต่ในตำหนักไม่ออกกำลังกาย”
ไท่ซ่างหวงพูดเสียงเรียบๆว่า “เดิมทีก็ไม่ได้ดื่มเหล้า บุหรี่ก็ลดน้อยลงแล้ว ส่วนเรื่องออกไปเดินเล่นเช้าเย็น ฝนตกลมพัดไม่หยุดสักวัน เรื่องนี้เจ้าลองถามเสี่ยวฉางชี่(ฉางกงกง)ดูได้”
ไทเฮาเห็นเขาดีขึ้นมาหน่อยก็ได้ใจ อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ยังจะบอกว่าไม่ดื่มเหล้าอีก ทุกเดือนก็เห็นรวมตัวดื่มเหล้ากับพวกโสวฝู่ ไม่นับว่าดื่มเหล้าหรืออย่างไร ”
“หนึ่งเดือนดื่มหนึ่งครั้งนับว่าดื่มเหล้าได้หรือ ไม่รู้ก็หุบปากไปซะ”ไท่ซ่างหวงถลึงตาให้ไทเฮา
“ดื่มจนเมาทุกครั้งไป”ไทเฮาพูดอย่างตำหนิ