บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 551 หยวนชิงหลิงโง่เหลือเกิน
หยวนชิงหลิงมองพฤติกรรมที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งของฉู่หมิงหยาง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าในใจ หญิงสาวอารมณ์ร้อนดุจเปลวเพลิงอย่างฉู่หมิงหยาง นางกับอาซี่มีลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกัน อาจทนดูการกระทำชี้ฟ้าด่าทอไม่ได้ เพียงแต่ท่าทีในตอนนี้ บ้าบอไร้สติ พฤติกรรมที่น่าละอายก็เผยออกมาจนหมดสิ้น ราวกับอับจนไร้สิ้นหนทางอย่างไรอย่างนั้น ไม่เหมือนนิสัยของฉู่หมิงหยางเลยสักนิด
เห็นที คนบางคนก็ไม่จำเป็นต้องลงมือจัดการาดเอง ชีวิตย่อมให้บทเรียนแก่นางเอง
ฉะนั้น หยวนชิงหลิงถามอย่างเจตนาดีว่า “พระชายารอง เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ต้องการให้ตามหมอมาดูเจ้าหรือไม่”
ฉู่หมิงหยางยิ้มเย็น “ข้าสบายดีมาก เจ้าอย่าได้ใจไปเลย ที่ข้าพูดไปทั้งหมดต้องเป็นจริงแน่ เจ้ารอร้องไห้ได้เลย”
หยวนชิงหลิงยิ่งรู้สึกมึนงง “ข้าไม่ได้ได้ใจเสียหน่อย”
ฉู่หมิงหยางฮึในลำคอเอ่ยว่า “เจ้าได้ใจอยู่ข้างใน เจ้าคิดว่าข้าดูไม่ออกหรือ เจ้าคิดว่าข้าคิดวางแผนทบทวนเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง สุดท้ายก็แต่งให้กับอ๋องจี้ แต่อ๋องจี้ไม่เอาไหน เจ้าต้องคิดแน่ๆว่าข้าคงต้องหัวใจสลายรู้สึกหดหู่ เสียใจในสิ่งที่ทำเป็นอย่างยิ่ง ข้าฉู่หมิงหยางไม่เคยรู้สึกยินดียินร้ายกับเรื่องผู้ชายมาก่อน และไม่จำเป็นต้องเหมือนหญ้าฝอยทองเช่นเจ้าที่ต้องอาศัยพึ่งพาผู้ชาย ที่จริงเจ้าน่าเศร้าใจมาก เจ้ารู้หรือไม่ ”
หยวนชิงหลิงเห็นแววเกลียดชังที่ลุกโชนในตาของนาง แล้วก็ฟังนางพูดราวกับคำประกาศของหญิงหัวหน้าครอบครัว รู้สึกว่าตนเองสมควรต้องระวังคำพูด อย่ากระตุ้นผู้ป่วยโรคประสาท ไม่เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวถ้านางเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาเอามีดไล่ฟันคน เช่นนั้นจะได้ไม่คุ้มเสีย ด้วยเหตุนี้ นางจึงพยักหน้าเออออด้วย
“พระชายารองฉู่เจ้าพูดได้ถูกต้อง ผู้หญิงอย่างข้าช่างนักเศร้าใจนัก ”
นางยกแก้วน้ำชาขึ้น อยากจะดื่มน้ำสักหน่อย ฉู่หมิงหยางกลับตบโต๊ะเสียงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ชี้หน้านางและตะคอกว่า “นี่เจ้ากล้าหัวเราะเยาะข้าหรือ”
หยวนชิงหลิงถูกเสียงคำรามของนางทำเอาตกใจจนมือไม้สั่น เกือบทำให้แก้วชาคว่ำไปแล้ว นางรีบวางแก้วชาลง มือกุมอกเอาไว้มองฉู่หมิงหยางที่โมโหเป็นอย่างมาก “ข้าไม่ได้หัวเราะเยาะเจ้า”
“เจ้าทำ”ฉู่หมิงหยางมองนางอย่างอาฆาตมาดร้าย “ในใจเจ้ากำลังบอกว่า ข้าฉู่หมิงหยางกำลังแสร้งมีรอยยิ้ม กำลังสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตา ”
หยวนชิงหลิงมองใบหน้าที่เย็นชาเคร่งขรึมของนาง ค่อยๆหันหน้าออกไปทางประตู นานแล้วทำไมพระชายาจี้ตัวดียังไม่ออกมาอีก
เคราะห์ดี ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของพระชายาจี้แล้ว สีเขียวตรงประตูเลิกขึ้น พระชายาจี้ได้พาบ่าวรับใช้เข้ามา
เมื่อเห็นฉู่หมิงหยาง นางก็พูดเสียงเรียบๆว่า “คนของตระกูลฉู่มา รอเจ้าอยู่ในเรือน”
ฉู่หมิงหยางมองหยวนชิงหลิงอย่างได้ใจ “ไม่ว่าอ๋องจี้จะเป็นอย่างไร ตระกูลมารดาข้าเจ้าก็ไม่มีวันเทียบได้ แม้แต่องค์รัชทายาท ยังต้องดูสีหน้าท่านปู่ข้าเพื่อวางตัว”
พูดจบแล้วก็ยืนขึ้น จากไปอย่างหยิ่งยโส
หยวนชิงหลิงสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ รอนางจากไปไกลแล้ว ค่อยหันกลับมามองพระชายาจี้และถามว่า “นางเป็นอะไรไป ราวกับแม่ไก่ที่เพิ่งจะออกไข่ ร้องกะต๊ากไปทั่ว บ้าไปแล้วหรือ”
พระชายาจี้หลุดเสียงหัวเราะออกมา “เปรียบเทียบได้เหมาะเจาะจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตั้งแต่นางกลับมาจากบ้านมารดาก็เป็นเช่นนี้ตลอดมา ทุกวันแต่งตัวสวยราวกับองค์หญิง พาบ่าวรับใช้สองคนลาดตระเวนไปทั่วจวน เห็นบ่าวไพร่ไม่ว่ากำลังทำอะไร ก็ต้องเข้าไปชี้แนะสักคำสองคำ หรือไม่ก็สั่งสอนเป็นวรรคเป็นเวร บอกว่าเป็นบ้า ก็ไม่ถึงขั้นนั้น แต่ว่าไม่ค่อยปกติเท่าไหร่”
“นี่ไม่เหมือนกับเป็นนางเลย”หยวนชิงหลิงพูด
พระชายาจี้พยักหน้าพูดว่า “ใช่ไม่เหมือน เป็นอย่างตอนนี้ข้ากลับไม่กล้าแหย่นาง เมื่อก่อนนางก็อวดดี แต่ว่า ความอวดดีก่อนของเมื่อก่อนนั้นทำให้คิดอยากจะตบนางสักฉาดสองฉาด แต่การอวดดีในตอนนี้ทำให้รู้สึกเศร้าใจมาก แม้แต่ความสนใจที่อยากจะทะเลาะกับนางสักหน่อยก็ไม่มี ”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ก็จริง เมื่อครู่ข้าเองก็ไม่คิดจะตอบโต้นาง รู้สึกว่าความหยิ่งยโสกับความอวดดีของนางช่างน่ารันทดนัก รู้หรือไม่ว่าช่วงที่นางกลับบ้านมารดาไปเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
พระชายาจี้เอ่ยว่า “ได้ยินว่าไม่เป็นที่รักสักเท่าไหร่ ก็ไม่น่าแปลกใจ ตอนนี้จวนฉู่เคร่งครัดมาก ฮูหยินใหญ่ควบคุมดูแลเรื่องในจวนไม่ได้ แม่ของนางก็ตายแล้ว ตอนนี้ผู้ที่กำกับดูแลเรื่องในตระกูลฉู่เป็นคนของบ้านรอง ความอวดดีของนางในวันวาน ทางบ้านรองไม่ชอบใจมาแต่ไหนแต่ไร แต่งงานแล้วกลับมายังบ้านมารดา คำพูดคำจาคงไม่น่าฟังนัก เริ่มจากนิสัยของนางเองคงทนไม่ได้แน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครช่วยนางได้ นางเป็นคนรู้สถานการณ์ รู้ว่ากร่างไม่ขึ้นอีกแล้ว ก็ได้แต่เหน็บหางของตัวเองเอาไว้วางตัวดีๆ
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ก็จริง ถ้าหากอยู่บ้านมารดาแล้วมีชีวิตที่ดี นางก็คงไม่กลับมาที่จวนอ๋องจี้ ”
พระชายาจี้เอ่ยว่า “อย่าไปพูดถึงนางเลย เจ้ามาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือไม่ ”
หยวนชิงหลิงนั่งตัวตรงเป็นทางการขึ้นมา เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาตรงๆ
หลังจากพระชายาจี้ได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกลำบากใจมาก “เกรงว่าจะหาไม่พบง่ายๆ เจ้าจะใช้ในการสอน เช่นนั้นฝีมือต้องดีมาก แต่หมอที่มีฝีมือดี ทั้งในเมืองหลวงก็ดี หรือตามเมืองต่างๆก็ดี ต่างก็อยู่ในฐานะหมอที่มีชื่อเสียง เปิดโรงหมอเองตั้งหลายแห่ง เกรงว่าจะเชิญมาไม่ได้ง่ายๆ อีกอย่าง ข้าคิดว่าไม่มีหมอคนไหนยินดีจะมาแน่ สอนลูกศิษย์จนเชี่ยวชาญแล้วอาจารย์ต้องอดตาย เจ้าเองก็รู้ดีว่าหมอคนหนึ่งจะอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ที่รับช่วงต่อนั้นเคร่งครัดแค่ไหน ราวกับบ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติอาจารย์หลายปี ต้องปรนนิบัติได้ถูกใจแล้วจึงจะสอนความสามารถเล็กๆน้อยๆให้ หมอคนหนึ่งกว่าจะสำเร็จการฝึกฝน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสิบห้าถึงยี่สิบปี ถ้าหากเจ้าสร้างโรงเรียนแพทย์ขึ้นมา มีหมอสำเร็จการศึกษาในสามสี่ปี ทำงานที่โรงหมอหุ้ยหมิงอีกสามปี จากนั้นก็ออกไปเปิดโรงหมอของตนเอง ผ่านไปสิบกว่ายี่สิบปี คงมีโรงหมอเต็มท้องถนนไปหมด ไม่มีหมอคนไหนยินดีทำเรื่องนี้หรอก”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ “ข้ารู้ว่ามันยากมาก ข้าได้ให้ทังหยางไปลองหาดูแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีหมอคนไหนตอบตกลง นี่ก็เพราะคิดว่าท่านรู้จักคนมาก จึงมาถามท่านดูอย่างไรเล่า”
พระชายาจี้มองนาง “เจ้าสามารถสอนเองได้หนึ่งชั้นหรือไม่ เจ้าเองก็เป็นหมอนี่นา”
“ข้าทำไม่ได้”นางไม่ได้ชำนาญด้านแพทย์แผนจีน
พระชายาจี้กลับเข้าใจผิด “ก็จริง ตอนนี้เจ้าเป็นพระชายารัชทายาท ย่อมไม่ดีหากจะปรากฏตัวในวงสังคม”
หยวนชิงหลิงก็ขี้เกียจจะอธิบาย ได้แต่พยักหน้าส่งๆไป
พระชายาจี้เอ่ยว่า “ที่จริงถ้าหากเรื่องนี้สามารถทำได้ จะเป็นผลดีต่อเจ้าห้ามาก ที่จริงเจ้าก็คิดเผื่อเจ้าห้าได้มากจริงๆ เจ้าห้าแต่งงานกับเจ้า ถือว่ามีวาสนามาก”
หยวนชิงหลิงยิ้มขม “ข้ายังไม่เคยคิดเรื่องหาผลประโยชน์หรือสร้างผลงานอะไรเพื่อเขาเลยจริงๆ เพียงแค่รู้สึกว่าตอนนี้การแพทย์ตกต่ำ การรักษาในโรงหมอค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง โรงหมอหุ้ยหมิงก็ไม่เพียงพอ คนไม่สบายไม่สามารถหาหมอได้ แค่อยากจะคลี่คลายปัญหานี้เท่านั้น ”
พระชายาจี้นิ่งอึ้ง “นี่เจ้าคิดเผื่อประชาชนอย่างจริงใจหรือนี่ เจ้าช่าง……”
พระชายาจี้อยากจะชื่นชมนาง แต่รู้สึกว่าการชื่นชมคนคนหนึ่งนั้นมันช่างน่าเก้อเขินนัก จึงได้เอ่ยอย่างเขินอายไปว่า “ทำไมเจ้าจึงได้โง่เช่นนี้”
หยวนชิงหลิงลุกขึ้นขอตัวลา “รบกวนเจ้าช่วยข้าจับตาดูเรื่องนี้ด้วย ส่วนเรื่องว่าโง่หรือไม่ ข้าเองก็ไม่ได้ทำเรื่องโง่ๆครั้งแรก ชีวิตของคน ย่อมต้องทำเรื่องโง่ที่ถูกต้องบ้าง ไม่เช่นนั้นคุณค่าของคนคืออะไร ”
หยวนชิงหลิงพูดจบก็จากไป
พระชายาจี้มองตามเงาหลังนาง ชีวิตของคนเราย่อมต้องทำเรื่องโง่ที่ถูกต้องบ้าง ไม่เช่นนั้นคุณค่าของคนคืออะไร
นางไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน ถ้าหากให้คิดจริงๆ สถานะของนางคือแม่ คุณค่าของนางคือต้องคิดวางแผนอนาคตเพื่อจวิ้นจู่
ส่วนเรื่องความเป็นความตายของคนอื่น นางจะไปสนใจทำไม เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางสักนิด
หยวนชิงหลิงช่างโง่เหลือเกิน เดิมทีนางสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้บ้าง ไยต้องหาเรื่องทรมานด้วยเล่า
ทำเรื่องโง่เหล่านั้นไป จะมีผลดีอะไรกับตนเอง
ถ้าหากจะบอกว่าเพื่อผลงานทางการเมืองของเจ้าห้าก็แล้วไป แต่นี่ไม่ใช่ ถ้าหากไม่ได้ทำเพื่อเอาผลงาน นี่เป็นเรื่องที่เสียแรงเปล่าจริงๆ ภายหน้ายังต้องล่วงเกินคนอีกกลุ่มใหญ่ ก็ไม่แน่ว่าจะมีคนสนใจในการเสียสละของนาง
พระชายาจี้ลุกขึ้นมาค่อยๆเดินออกไป ชั่วพริบตาที่ก้าวขาออกจากประตูเพื่อรับแสงอาทิตย์ เห็นเงาร่างของหยวนชิงหลิงที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างของพระอาทิตย์ เอวยืดตรง ก้าวอย่างมั่นคง นางรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที เกือบจะน้ำตาตกแล้ว
หยวนชิงหลิงเคยช่วยชีวิตนาง เรื่องที่นางทำไร้ซึ่งความหมายหรือ
ถ้าหากจะบอกว่าใครที่สนใจในการเสียสละของนาง คนที่นางเคยช่วยเอาไว้ ล้วนสนใจ
ความบริสุทธิ์หมดจดอย่างเหมาะเจาะของหยวนชิงหลิงส่วนนี้เป็นสิ่งที่คนมากมายทำหายไป