บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 553 หยั่งเชิง
พระชายาอันครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน กลางคืนก็นอนไม่หลับ ศีรษะหนุนอยู่ที่แขนของอ๋องอัน นางพูดเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง อะหลูติดตามท่านก็หลายปีแล้ว จะให้นางอยู่อย่างไร้สถานะเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้ ท่านลองคิดดู ใช่สมควรแต่งตั้งนางเป็นพระชายารองดีหรือไม่”
อ๋องอันยื่นมือออกไปจับเส้นผมของนาง พูดยิ้มๆว่า “ทำไมจึงได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ”
ในใจของพระชายาอันซ่อนคำพูดไว้ไม่อยู่ เอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “ตอนนี้เกรงว่าคนส่วนมากต่างก็คิดว่านางต่างหากที่เป็นพระชายาอันแล้วกระมัง ท่านพึ่งพานาง เรื่องสำคัญทั้งหมดล้วนมอบหมายให้นางเป็นคนจัดการ ตำแหน่งของนางในจวนได้สูงกว่าตำแหน่งพระชายาของข้าไปไกลแล้ว หลายครั้งข้ายังต้องฟังและทำตามความคิดของนาง”
อ๋องอันเอ่ยเสียงอ่อนว่า “ยายโง่ ข้าจะพึ่งพานางมากสักแค่ไหน สุดท้ายนางก็แค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง ส่วนตำแหน่งพระชายารอง ไหนเลยจะถึงมือนางได้ ภายหน้าเจ้าไม่ต้องสนใจนาง สนใจแต่เรื่องที่เจ้าคิดว่าทำถูกต้องก็พอ นางนับว่าเป็นอะไร ”
“แล้วท่านอ๋องกับนาง……”พระชายาอันถอนหายใจเบาๆ “พวกท่านอยู่ด้วยกันนานแล้ว นางไร้ชื่อเสียงสถานะเช่นนี้ ก็ไม่เป็นธรรมกับนาง ยังไม่สู้ให้สถานะหนึ่งกับนาง นางจะได้ตายใจเสียที”
“หึงหรือ”อ๋องอันจับปลายคางของนางเอาไว้ ถามขึ้นยิ้มๆ
อ๋องอันเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า“ย่อมต้องเป็นเรื่องจริงแน่นอน ไม่เช่นนั้นอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปีแล้ว คงจะแต่งพระชายารองเข้ามานานแล้ว ข้าสามารถมีหญิงอื่นข้างนอกได้ ตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งแล้วก็มีแต่เจ้าคนเดียวมาตลอด และคงจะเป็นแค่เจ้าเท่านั้น ยังจำตอนที่เจ้าแต่งงานกับข้าได้หรือไม่ คำพูดที่ข้าเคยให้สัญญากับเจ้าเอาไว้”
พระชายาอันดวงตารื้นขึ้นมา “จำได้ ท่านอ๋องบอกว่าชาตินี้ไม่รับพระชายารอง”
“เช่นนั้นเจ้าก็จงจำคำพูดนี้ไว้ตลอดชีวิต ”อ๋องอันเอ่ยอย่างรักใคร่เอ็นดู
พระชายาอันจับมือของเขาเอาไว้ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข “ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ข้าได้แต่อิจฉาในความรักอันลึกซึ้งของอ๋องฉู่กับพระชายาฉู่ตลอดมา อ๋องฉู่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่แต่งพระชายารอง จะรักเดียวใจเดียวต่อพระชายาฉู่คนเดียวเท่านั้น นี่เป็นความรู้สึกที่น่าอิจฉาเหลือเกิน แต่ว่า ตอนนี้มาคิดดูแล้วข้าก็ไม่จำเป็นต้องอิจฉา เพราะท่านอ๋องก็ปฏิบัติต่อข้าเช่นนั้นเหมือนกัน
“ถูกต้อง”อ๋องอันพอได้ยินว่าพูดถึงอ๋องฉู่ สายตามีแววเคร่งขรึมลงทันที แต่น้ำเสียงยังคงความอ่อนโยน “เจ้าไม่จำเป็นต้องอิจฉาใครทั้งนั้น ที่ข้าทำทั้งหมด ความสำเร็จของข้าทั้งหมด เกียรติยศของข้าทั้งหมด ล้วนมีของเจ้าหนึ่งส่วน ”
พระชายาอันซาบซึ้งจนน้ำตาไหล ยิ่งรู้สึกลุ่มหลงคลั่งไคล้ “แล้วจะไม่สนใจอะหลูแล้วหรือ ”
อ๋องอันเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องสนใจนาง นางรู้สถานะของตัวเองดี ถ้าหากยังมีการล้ำเส้นอีก ข้าจะสั่งสอนนางเอง”
พระชายาอันเอ่ยอย่างหวานซึ้งว่า “ไม่จำเป็นต้องสั่งสอนนาง นางทำงานเพื่อท่านอย่างจริงใจ ข้าได้รับความอยุติธรรมเล็กน้อยไม่เป็นไร จะว่าไปนางเองก็เป็นหญิงของท่านอ๋อง ไร้ตำแหน่งสถานะก็น่าสงสารพออยู่แล้ว อย่าไม่ว่านางอีกเลย”
อ๋องอันมองนาง ขมวดคิ้วขึ้นมา “เจ้าอย่าได้ใจดีเช่นนี้เชียว จะถูกคนอื่นรังแกเอาได้รู้หรือไม่ ตอนนี้ข้าอยู่ที่กองทัพทางใต้ ไม่สามารถดูแลเจ้าได้ทุกเรื่อง เจ้าจำเป็นต้องใจแข็งขึ้นมาบ้าง อะหลูปรนนิบัติรับใช้ข้า โดยใช้สถานะของการเป็นบ่าวรับใช้ พูดอย่างไม่น่าฟังเท่าไหร่ ก็คือเมียทาส ใช้ในยามที่ร่างกายของเจ้าไม่พร้อมเท่านั้น ไม่เข้าห้อง ไม่ขึ้นเตียงของข้า กระทั่งหลังเสร็จกิจแล้วก็ต้องดื่มยาขับเลือด เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจในจุดนี้ นางไม่มีทางเข้าตาข้าได้ ก็แค่เป็นเมียทาสและใช้เป็นที่ปรึกษาในการทำงาน สถานะต้อยต่ำ แต่เจ้าเป็นพระชายาของข้า สถานะสูงส่ง ถ้าหากภายหน้านางยังสั่งให้เจ้าทำนั่นทำนี่ เจ้าตำหนิได้เต็มที่เลย”
“รู้แล้ว”พระชายาอันค่อยคลายความสงสัยลงไป รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ว่า นางคงไม่มีทางตำหนิอะหลู อะหลูทำงานเพื่อท่านอ๋อง ถ้าหากเป็นแค่บ่าวไพร่คนเดียวที่จงรักภักดี แล้วจะมีความสำคัญอะไร
ด้วยเหตุนี้ การรับประกันเช่นนี้ของอ๋องอัน กลับทำให้นางเกรงใจต่ออะหลูขึ้นมา กระทั่งยินดีรับฟังคำพูดของนาง
อะหลูที่เห็นพระชายาที่ปฏิบัตต่อนางอย่างสุภาพมีมารยาทขึ้นมา ก็คิดว่าอ๋องอันได้กำชับเน้นย้ำถึงสถานะและความสำคัญของนางต่อหน้าพระชายาอันแล้ว ยิ่งรู้สึกจงรักภักดีต่ออ๋องอันมากยิ่งขึ้น
อะหลูหาคนให้ไปนัดแนะหมอหลวงเฉาออกมาพูดคุย
ตอนนี้คนที่สนับสนุนอ๋องอัน ส่วนมากจะเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งสำคัญ ขุนนางใหญ่เหล่านี้ปกติแล้วถ้ามีคนในบ้านไม่สบาย ก็จะได้รับพระกรุณาให้เชิญหมอหลวงไปรักษา ด้วยเหตุนี้ คนที่คุ้นเคยกันดีกับหมอหลวงเฉาก็มีหลายคน วันปกติธรรมดาก็มีการนัดรวมตัวบ้างเป็นครั้งคราว
แม่ยายของพระมาตุลาคนนี้เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายหลายปีแล้ว และได้แต่รับพระกรุณาธิคุณผ่านกุ้ยเฟย หมอหลวงเฉาเคยไปหลายครั้ง ไปๆมาๆ ก็คุ้นเคยกับพระมาตุลาขึ้นมา
วันนี้พระมาตุลาเชิญให้มาดื่มเหล้า หมอหลวงเฉาไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ
แต่ว่า หมอหลวงเฉาก็ไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้คลื่นใต้น้ำระหว่างอ๋องอันกับรัชทายาทเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ก่อนเขาจะไป ก็ไปถามหยู่เหวินเห้า
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เจ้าไปเถอะ ถ้าหากระหว่างงานเลี้ยงมีการถามถึงแม่นมสี่ เจ้าก็บอกไปว่าแม่นมสี่นั้นไม่สบายจริงๆ แต่ว่า เจ้าไม่ได้เข้าร่วมการรักษา เป็นพระชายารัชทายาทที่ทำการรักษาด้วยตนเอง และเจ้าจำเป็นต้องบอกว่าแม่นมสี่นั้นได้อยู่คนเดียวในเรือนเดี่ยว ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก”
หมอหลวงเฉาไม่รู้ว่าแม่นมสี่เป็นโรคอะไร แต่ว่ารัชทายาทกำชับ แน่นอนว่าต้องมีจุดประสงค์ของเขา จึงได้ตอบรับ
หลังไปพบปะกับพระมาตุลาตี๋แล้ว ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันตามมารยาทแล้ว ก็ให้คนยกเหล้าเข้ามาดื่มทันที
รวดเร็วเช่นนี้ ก็แค่การคารวะเหล้าเท่านั้น หมอหลวงเฉาจึงระวังตัวเป็นพิเศษ ผ่านการดื่มเหล้าไปสามรอบ เขาก็แสร้งทำเป็นเมาขึ้นมา
พระมาตุลาตี๋เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ก็วางแก้วเหล้าลง พูดสะเปะสะปะอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามขึ้นว่า “ใช่แล้ว ได้ยินคนข้างนอกพูดกันว่าแม่นมสี่ที่เคยรับใช้ไท่ซ่างหวงตอนนี้ได้ไปรับใช้ที่จวนอ๋องฉู่ ใต้เท้าเฉาท่านคุ้นเคยกับนางหรือไม่”
หมอหลวงเฉาได้ยินว่าที่แท้ก็ถามเรื่องของแม่นมสี่จริงๆ ก็รู้สึกว่ารัชทายาทมีความสามารถในการหยั่งรู้ล่วงหน้า เขาพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้ว แม่นมสี่รับใช้พระชายารัชทายาทจริง ข้าเองก็คุยกับนางบ้างเป็นบางครั้ง แต่นับไม่ได้ว่าคุ้นเคยกันมาก”
พระมาตุลาตี๋หัวเราะฮึฮึอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกกาเหล้าขึ้นมารินเหล้าให้กับเขา “ได้ยินมาว่านางป่วย ตอนนี้หายดีหรือยัง”
หมอหลวงเฉาส่ายหน้า “ไม่รู้ พระชายารัชทายาทขังนางเอาไว้ในเรือนเดี่ยวหลังเล็ก ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก แม้แต่ข้าวปลาอาหารก็ส่งเข้าไปให้ทางหน้าต่างเท่านั้น ”
พระมาตุลาตี๋ได้ยิน ก็ยิ่งประหลาดใจ “ทำไมหรือ เป็นโรคอะไรกัน ถึงกับต้องปิดไม่ให้ผู้ใดเข้าออกได้ คงไม่ใช่เป็นโรควัณโรคกระมัง”
หมอหลวงครุ่นคิด “ไม่เหมือนการเป็นวัณโรค ไม่เคยได้ยินนางมีอาการไอสักเท่าไหร่”
“ไม่ใช่วัณโรค แล้วเป็นโรคอะไร จึงต้องปิดเรือนขังเอาไว้ ”พระมาตุลาตี๋หลอกล่อหมอหลวงเฉาที่เกือบจะเมาแล้ว“แต่ไหนแต่ไรมามีแต่โรคที่สามารถแพร่กระจายได้เท่านั้นที่ต้องแยกตัวกักกันเอาไว้”
ทันใดนั้นสีหน้าของหมอหลวงเฉาก็เปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย “พระมาตุลาพูดเช่นนี้ ทำให้ข้านึกถึงเมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ พระชายารัชทายาทมาหาข้าเพื่อถามเรื่องโรคเรื้อนอย่างกะทันหัน ”
พระมาตุลาตี๋แววตาไหววูบ ยังคงรินเหล้าคารวะเหล้าต่อเนื่อง “มา ดื่มอีกสักแก้ว”
หมอหลวงเฉาโบกมือ “ไม่ดื่มแล้ว สู้ฤทธิ์เหล้าไม่ได้แล้ว”
พระมาตุลาตี๋ยัดแก้วเหล้าใส่มือเขา “คออย่างเจ้าไม่ถึงสามสี่ชั่งเจ้าไม่เมาหรอก ข้าเองก็ไม่ได้เพิ่งจะดื่มเหล้ากับเจ้าเป็นครั้งแรก ไว้หน้าข้าบ้าง แก้วนี้ดื่มให้หมด”
หมอหลวงเฉาแบ่งรับแบ่งสู้ แล้วก็ดื่มไปอีกแล้ว
พระมาตุลาตี๋วางแก้วเหล้าลง มองหมอหลวงเฉาและถามว่า “แล้วตอนนั้นท่านเคยถามพระชายารัชทายาทหรือไม่ ว่าใครที่เป็นโรคเรื้อน”