บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 556 เช่นนั้นก็เข้าวังพร้อมกัน
หัวหน้าโรงหมอหลวงตรวจอย่างละเอียดมาก จ้องมองใบหน้าของแม่นมสี่เป็นเวลานาน จากนั้นก็สำรวจข้อต่อระหว่างนิ้วมือ นอกจากนี้ แม้แต่การกินดื่มขับถ่ายในชีวิตประจำวันก็ถามอย่างละเอียด สุดท้าย หัวหน้าโรงหมอหลวงลุกขึ้นมา “ข้าได้ตรวจสอบแล้ว แม่นมสี่ไม่ได้เป็นโรคเรื้อน ”
คำพูดนี้พูดออกไป สีหน้าของพระมาตุลาตี๋ดุร้ายอยู่ชั่วครู่ “ตรวจละเอียดแล้วหรืออย่าง”
หัวหน้าโรงหมอหลวงพยักหน้า “คนที่เป็นโรคเรื้อน บนใบหน้าบนมือและลำตัวจะมีจุดสีแดงเกิดขึ้น ข้อต่อกระดูกมีการเปลี่ยนรูป ชีพจรจะยุ่งเหยิงรุนแรง แต่แม่นมสี่ไม่ได้มีอาการเหล่านี้ ชีพจรก็นิ่งสงบมาก กระดูกข้อต่อก็ไม่มีการเปลี่ยนรูป ยิ่งไม่พบว่ามีผิวหนังที่ขาดแหว่งไปและจุดด่างดำ”
หัวหน้าโรงหมอหลวงพูดจบ ก็หยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบๆว่า “แม่นมสี่ไม่มีร่องรอยของการเป็นโรคเรื้อนเลยสักนิดเดียว คนที่สร้างข่าวลือว่าแม่นมสี่เป็นโรคเรื้อน คงจะเป็นโรคประสาทอย่างที่พระชายารัชทายาทว่าจริงๆ ”
เหล่าขุนนางได้ยินดังนี้ ต่างก็วางใจ ถ้าหากแม่นมสี่เป็นโรคเรื้อนจริงๆ เช่นนั้นคงน่าตกใจมาก นั่นเท่ากับว่าคนในราชวงศ์ก็อาจจะติดเชื้อด้วย
โดยเฉพาะแม่นมสี่นั้นเคยรับใช้ไท่ซ่างหวงมาก่อน
พระมาตุลาตี๋ไม่ยินดีจะเชื่อ เขาจ้องมองแม่นมสี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า มองเห็นปานแดงสีชมพูเพียงเล็กน้อยจากใบหน้าของแม่นมสี่ รีบร้องเสียงสูงขึ้นว่า “ไม่ พวกเจ้าดู ดูใบหน้าของนาง ใบหน้าของนางมีปาน นี่เหมือนกับปานแดงจากโรคเรื้อนเลย รีบดู ”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนี้ ต่างก็มองไปอย่างตกใจ
สายตากว่ายี่สิบคู่ ต่างจ้องมองแม่นมสี่อย่างพร้อมเพรียงกัน
แม่นมสี่ตบโต๊ะหนึ่งที โมโหจนสั่นไปทั้งตัว “ข้าอายุหกสิบแล้ว คอยรับใช้ไท่ซ่างหวงตั้งแต่วัยเยาว์จนแก่ชรา บนใบหน้ามีร่องรอยจุดด่างดำคนแก่เกิดขึ้นแล้วอย่างไร ถึงกับต้องจ้องมองข้าทุกคนเชียวหรือ ในเมื่อพวกท่านว่าข้าเป็นโรคเรื้อน ก็จับข้าไปกักกันโรคที่เขาโรคเรื้อนสิ ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกโมโห เอ่ยเสียงเย็นว่า “แต่ไหนแต่ไรข้ามองแม่นมเป็นผู้อาวุโสกว่า ในจวนอ๋องฉู่ ไม่มีใครกล้าทำกิริยาไม่ให้เกียรตินางเช่นนี้ พวกท่านบอกว่ามาด้วยพระบัญชาจากฮ่องเต้ แม่นมสี่ก็ให้ความร่วมมือในการตรวจวินิจฉัยของหมอหลวง ใต้เท้าหัวหน้าโรงหมอหลวงก็ได้บอกเองว่านางไม่ได้เป็นโรคเรื้อน พวกท่านยังคงไม่คงไม่ปล่อยหาเรื่องไม่จบรังแกคนแก่คนหนึ่งหมายความว่าอย่างไร คิดว่าจวนอ๋องฉู่ของเราอ่อนแอรังแกกันได้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ”
พระมาตุลาตี๋เอ่ยเสียงขึ้นจมูกว่า “พระชายารัชทายาทไยต้องพาลโกรธเช่นนี้ด้วย รอยด่างดำคนแก่กับรอยแดงนั้น สามารถมองออกด้วยตาเปล่าได้ ”
หัวหน้าโรงหมอหลวงเอ่ยเสียงเรียบว่า “รอยแดงจางๆนี้ ไม่ใช่โรคเรื้อน ที่จริงเวลาผิวของทุกท่านแห้งกร้านก็จะปรากฏรอยแดงเช่นนี้เหมือนกัน แม่นมสี่อายุหกสิบแล้ว ผิวขาดน้ำทำให้แห้งกร้านเกิดเป็นรอยแดงขึ้นมาเป็นเรื่องปกติ พระมาตุลาจับจุดนี้มาบอกว่าแม่นมสี่เป็นโรคเรื้อน ก็เหลวไหลไปสักหน่อย และเป็นการรังแกคนแก่อยู่บ้าง ”
สายตาของพระมาตุลาขุ่นเคืองเล็กน้อย “หัวหน้าโรงหมอหลวง ข้าสงสัยว่าเจ้าคงไม่……”
โสวฝู่ฉู่ตบโต๊ะเสียงดังหนึ่งที ตะคอกเสียงดังว่า “พระมาตุลาตี๋ ข้าสงสัยว่าท่านนั่นแหละที่เป็นคนสร้างข่าวลือ”
เสียงดุจสายฟ้าฟาด สะเทือนจนหูของคนที่อยู่ในโถงต่างก็หูเกือบจะดับ พระมาตุลาตี๋มองไป สีหน้านิ่งอึ้งทันที เอ่ยอย่างจงใจว่า “คำพูดของโสวฝู่นั้นเข้าข้างอย่างขาดความยุติธรรมแล้ว”
โสวฝู่ฉู่เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้ารู้เรื่องการแพทย์หรือไม่ ”
พระมาตุลาตี๋ส่ายหน้า “เรื่องนี้ ข้าไม่รู้”
“ในเมื่อไม่รู้เรื่องการแพทย์ ทำไมเจ้าจึงไม่เชื่อที่หัวหน้าหมอหลวงพูด ”โสวฝู่ฉู่ถาม
พระมาตุลาตี๋กำลังจะเอ่ยปากโต้เถียง แต่ได้รับสายตาแจ้งเตือนจากตี๋เว่ยหมิงเสียก่อน เขารีบหลุบตาลง “ข้าไม่ได้ไม่เชื่อ ข้าแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ต้องระมัดระวังให้มาก”
สีหน้าของโสวฝู่เย็นชาดุจน้ำแข็ง “หมอหลวงในสังกัดโรงหมอหมอหลวงหลายคนจะทำการวินิจฉัยพร้อมกัน ยังระมัดระวังไม่พอหรือ”
พระมาตุลาตี๋ในภายใต้การเค้นถามของโสวฝู่ฉู่ รู้สึกผิดในใจ ทันใดนั้นก็นึกถึงหมอหลวงเฉาขึ้นมา รีบพูดว่า “ในจวนอ๋องฉู่ยังมีหมอหลวงอีกคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ไม่สู้ลองเชิญมาถามดูพร้อมกันเลย”
“ยังไม่ต้องรีบ”โสวฝู่ฉู่ยื่นมือออกมาทำท่ากดลงไปทีหนึ่ง “เจ้าบอกมาก่อน วันนี้ที่เจ้าถวายรายงานเรื่องแม่นมสี่เป็นโรคเรื้อน ต้นตอของข่าวมาจากที่ใด แล้วได้ทำการตรวจสอบอะไรแล้วบ้าง เหล่าขุนนางถวายฎีกานั้นมีบทบัญญัติที่กำหนดไว้ ข่าวลือที่ไม่มูลความจริงทั้งหลายไม่สามารถถวายฎีกาได้”
พระมาตุลาตี๋เอ่ยว่า “ใช่ข่าวไม่มีมูลความจริงหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่ชัดเจน ”
เขาหันหน้าไปทางหยู่เหวินเห้า “พระองค์ รบกวนท่านเชิญหมอหลวงเฉาออกมา ”
หยู่เหวินเห้ายิ้ม “ได้สิ”
เขายกมือขึ้น สั่งให้คนไปเชิญหมอหลวงเฉามา
ผ่านไปชั่วครู่ หมอหลวงเฉาแบกกระเป๋ายาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เห็นคนมากมายอยู่ในโถงใหญ่ ก็ตกใจสะดุ้ง หลังจากคำนับแล้ว ก็ถามอย่างสงสัยว่า “สวีอีบอกว่าแม่นมสี่ป่วยให้ข้าน้อยมาตรวจวินิจฉัยไม่ใช่หรือ ทำไมทุกท่านจึงอยู่ที่นี่ด้วย”
พระมาตุลาตี๋เห็นหมอหลวงเฉา ราวกับเจอเข้ากับคนช่วยชีวิต รีบดึงตัวเขามาถามทันที “หมอหลวงเฉามาได้พอดี ก่อนหน้านี้สองวันข้าดื่มเหล้ากับท่าน ท่านเคยบอกว่าแม่นมสี่ไม่สบายถูกรัชทายาทขังเอาไว้ในเรือนใช่หรือไม่ ยังบอกว่าพระชายารัชทายาทเคยไปขอคำชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องโรคเรื้อน อีกทั้ง ท่านยังบอกว่าพระชายารัชทายาทได้ให้สาวใช้ไปซื้อยาในการรักษาโรคเรื้อนอีกด้วย”
หมอหลวงพยักหน้า “ใช่ เป็นอย่างที่เคยพูดจริงๆ ”
พระมาตุลาตี๋ก็กลัวหมอหลวงเฉาจะกลับลำ ตอนนี้ได้ยินเขายืนยันแล้ว ก็รู้สึกดีใจขึ้นมา กวาดมองใบหน้าของทุกคนแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงสูงว่า“ถ้าหากว่าไม่ใช่เป็นโรคร้าย ไยจึงต้องกักตัวเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า ทำไมต้องให้คนไปซื้อยาในการรักษาโรคเรื้อน ขอพระชายารัชทายาทชี้แจงให้เข้าใจด้วย ”
หยวนชิงหลิงที่เห็นเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาเหมือนไก่ตัวผู้ที่ยืดคอขึ้นสูงอย่างหยิ่งยโสราวกับเห็นนิมิตหมายอันดี กลับไม่ได้รู้สึกโกรธ เพียงแต่อธิบายด้วยเสียวเรียบๆว่า
“แม่นมสี่ไม่ได้ถูกขังเอาไว้ นางไม่ยอมออกจากเรือนเอง ส่วนเรื่องยารักษาโรคเรื้อน ไม่ผิด ข้าให้หมันเอ๋อไปซื้อหามาจริงๆ เชื่อว่าทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างก็รู้ดี ข้าเองก็พอมีความรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ตอนที่คุยกับรัชทายาทได้พูดถึงเรื่องโรคเรื้อนอันหวาดกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามีผู้ป่วยที่มีโรคฟักตัวอยู่อีกเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าจะเกิดการระบาดหนักอีกครั้งตอนไหน ข้าเห็นรัชทายาทเป็นห่วงสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง จึงคิดอยากจะศึกษาตำรับยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคนี้ ดูสิว่าพอมีอะไรสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ ถ้าหากเกิดการระบาดขึ้นจริง ก็สามารถยับยั้งได้ทันท่วงทีหรือไม่ก็รักษาได้ จุดประสงค์ของข้าก็แค่อยากจะแบ่งเบาภาระของรัชทายาท ทำไมสุดท้ายจึงถูกแพร่ออกไปว่าแม่นมสี่เป็นโรคเรื้อน จวนอ๋องฉู่ปกปิดอำพรางคนเป็นโรคเรื้อนไปได้ และเรื่องนี้ยังถูกนำไปกล่าวถึงในราชสำนัก ข่าวลือที่ไม่เป็นจริงเลยสักนิดเช่นนี้ พระมาตุลาไม่มีการตรวจสอบก่อน และไม่เคยมาถามรัชทายาท ก็ขึ้นทูลฮ่องเต้ทำให้ราชสำนักและประชาชนตื่นตระหนกไปหมด ไม่รู้ว่ามาจากจิตใจอันมืดบอดอะไรกัน ”
พระมาตุลาตี๋ไม่โกรธกลับยิ้ม “พระชายาพูดจาโอ้อวดใหญ่โตเสียงจริง โรคเรื้อนนั้นเป็นโรคร้าย ไม่มีทางรักษาได้ ท่านกลับบอกว่าพัฒนาตำรับยาก็สามารถรักษาได้ พูดจาไร้สาระ คนที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกท่านต่างก็เป็นคนฉลาด จะเชื่อได้อย่างไร ”
หยวนชิงหลิงพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “ท่านพูดถูก ใต้เท้าทุกท่านล้วนเป็นคนฉลาด ไหนเลยจะเชื่อคำพูดใส่ร้ายไร้ที่มาเหล่านั้น โรคเรื้อน ขอบคุณท่านจริงๆที่พูดออกมาได้ ถ้าหากแม่นมสี่เป็นโรคเรื้อนจริง ข้าจะให้นางอุ้มพระราชนัดดาได้อย่างไร ”
พระมาตุลาตี๋ไม่เชื่อว่านั่นคือพระราชนัดดา เอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “ใช่พระราชนัดดาหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ทำไมไม่อุ้มพระราชนัดดาอีกสองคนออกมาดูเล่า”
คนที่อยู่ในเหตุการณ์หลายคนต่างเริ่มรู้สึกว่าพระมาตุลาตี๋กำลังหาเรื่องอย่างไร้เหตุผล นี่เดิมทีแค่จะมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง หัวหน้าโรงหมอกับหมอหลวงต่างก็บอกแล้วว่าแม่นมสี่ไม่ได้เป็นโรคเรื้อน เขายังคงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ทำเกินไปจริงๆ
แต่ว่าหยู่เหวินเห้าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สั่งให้ไปอุ้มทังหยวนกับข้าวเหนียวออกมา
ใบหน้าที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วปรากฏขึ้นตรงหน้าของพระมาตุลาตี๋ และแม่นมสี่ยังยื่นมือออกไปอุ้มทังหยวน มองพระมาตุลาตี๋ด้วยสายตาเย็นๆ
“ดูให้ชัด ว่าใช่พระราชนัดดาหรือไม่ ข้าเป็นโรคเรื้อนจริงหรือไม่ ”
พระมาตุลาตี๋เกิดอาการอึ้งพูดไม่ออกขึ้นมากะทันหัน ตี๋เว่ยหมิงที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดจามาตลอดยิ้มบางๆ “เช่นนั้นก็ดีมาก แม่นมสี่ไม่เป็นอะไร ฮ่องเต้ก็คงวางใจ ใต้เท้าทุกท่าน ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้วพวกเราก็กลับกันเถอะ”
หยู่เหวินเห้าจึงยืนขึ้นมา มือหนึ่งวางพาดไว้บนไหล่ของพระมาตุลาตี๋ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ต้องกลับแน่ แต่ว่า รบกวนเชิญพระมาตุลาตี๋เข้าวังพร้อมข้าเพื่อรายงานต่อเสด็จพ่อ พอดีข้าเองก็มีปัญหาหลายข้ออยากจะขอคำชี้แนะจากพระมาตุลา”