บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 557 ชิงอำนาจแม่ทัพใหญ่
เพราะพระมาตุลาตี๋ปั้นน้ำเป็นตัวถวายรายงานว่าจวนอ๋องฉู่มีการปิดบังซ่อนเร้นคนป่วยโรคเรื้อน ในการประชุมราชสำนักช่วงเช้าของวันถัดมาจึงถูกฮ่องเต้หมิงหยวนตำหนิเป็นการสั่งสอน และลงโทษตัดเงินตอบแทนหนึ่งปี ลดตำแหน่งสองขั้น
ลดเงินตอบแทนไม่เป็นไร ลดขั้นก็ไม่เป็นไร เพราะมีกุ้ยเฟยที่เป็นพี่น้องกันอยู่ในวัง ท่านพ่อเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ อยากจะเลื่อนขั้นก็ไม่ยาก แต่ว่าฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ได้ตำหนิถึงผู้อื่น เพียงแต่ลงโทษพระมาตุลาตี๋เท่านั้น กระทั่งทางฝั่งตี๋เว่ยหมิงยังไม่ถูกตำหนิเลยสักคำ
แต่ว่า คนของตระกูลตี๋ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า ได้ล่วงเกินโสวฝู่ฉู่แล้ว
เป็นครั้งแรกที่โสวฝู่ฉู่ “ใช้เรื่องงานแก้แค้นเรื่องส่วนตัว”ลากตัวตี๋เว่ยหมิงไปตรงหน้าไท่ซ่างหวง บอกว่าเขารวมหัวกับพระมาตุลาตี๋ใส่ร้ายแม่นมสี่ว่าเป็นโรคเรื้อน โดยมีจุดประสงค์ต้องการให้ปิดกั้นจวนอ๋องฉู่ แช่แข็งรัชทายาท สั่นคลอนรากฐานของเป่ยถัง
ไท่ซ่างหวงที่เดิมทีบอกว่าตนเองไม่สนใจไม่ยุ่งเรื่องการบ้านการเมือง แต่พอได้ถ้อยคำอันรุนแรงดุเดือดของโสวฝู่ฉู่ มีสัญญาณบ่งบอกว่าความดันเลือดที่พุ่งทะยานขึ้นสูงจนเส้นเลือดจะระเบิดได้ ราวกับว่าถ้าไท่ซ่างหวงกับตี๋เว่ยหมิงไม่มีคำอธิบายดีๆสักข้อ ก็ต้องตายอยู่ในตำหนักฉินคุน
ไท่ซ่างหวงลำบากใจมาก และได้พูดกับตี๋เว่ยหมิงว่า “เจ้าดูสิ เรื่องนี้เป็นเพราะพวกเจ้าสองพ่อรู้ทำไม่ถูกต้องจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีคำอธิบายให้ทุกคน”
ในใจของตี๋เว่ยหมิงรู้สึกโกรธมาก และตื่นเต้นมากเช่นกัน เขาเคยคิดไว้แล้วว่าถ้าหากจะลงโทษในเรื่องนี้ ก็ไม่ควรลงโทษเขา เพราะนี่เป็นเรื่องที่ตี๋หยุนเป็นคนทำ
แต่ว่าตอนนี้ไท่ซ่างหวงพูดออกมาตรงๆว่าเรื่องนี้พวกเขาพ่อลูกทำไม่ถูกต้อง ลากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
เขาคุกเข่าลงอย่างตระหนก “ไท่ซ่างหวง เดิมทีกระหม่อมไม่รู้เรื่องนี้ด้วย เหมือนกับทุกคนที่รับรู้พร้อมกันตอนอยู่ในราชสำนัก ส่วนเรื่องที่สนับสนุนตี๋หยุน ก็เพราะเกรงว่าโรคร้ายที่เคยระบาดเมื่อห้าปีก่อนจะกลับมาอีก ไม่เคยคิดจะตรวจสอบอย่างละเอียด จึงได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของจวนอ๋องฉู่ กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง ส่วนเรื่องแช่แข็งรัชทายาท สั่นคลอนรากฐานของชาติ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่กระหม่อมสะเพร่าไปจริงๆ กระหม่อมยินดีรับโทษ ถ้าโสวฝู่รู้สึกว่า ศีรษะบนคอของกระหม่อมสามารถคลายความโกรธของแม่นมสี่ได้ เช่นนั้นก็เอาไปเถอะ กระหม่อมไม่มีทางตำหนิแน่นอน”
คำพูดของเขาหมายถึงโสวฝู่ฉู่ที่จุดชนวนสงครามเพราะแม่นมสี่ เป็นการใช้เรื่องงานบังหน้าเพื่อแก้แค้นส่วนตัว
ไท่ซ่างหวงขมวดคิ้ว “ทำไมอยู่ดีๆก็ต้องพูดถึงเรื่องเอาศีรษะกันด้วย พอแล้ว เรื่องใหญ่แค่ไหนเชียว อธิบายให้ชัดเจนก็พอแล้ว”
ตี๋เว่ยหมิงเอ่ยอย่างเฉียบขาดว่า “ขอไท่ซ่างหวงลงโทษด้วย ไม่เช่นนั้น กระหม่อมคงไร้ทางอธิบายได้”
ไท่ซ่างหวงมองโสวฝู่ฉู่แวบหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “เจ้าดูสิ อายุปูนนี้แล้วยังจะใจร้อนอีก นี่ต้องบีบให้แม่ทัพใหญ่ต้องเอาหัวชนเสาจนตายจึงจะพอใจใช่หรือไม่ ”
โสวฝู่ฉู่หน้าแดงคอแข็ง“ไท่ซ่างหวง แม่นมสี่รับใช้ท่านมาครึ่งชีวิต ตอนนี้ถูกคนสาปแช่งว่าเป็นโรคร้าย ท่านที่เป็นเจ้านายเก่าแก่ไม่ออกหน้าแทนนางแล้วใครเล่าจะทำ อีกอย่างเขาบอกว่าไม่ได้มีใจคิดเป็นอื่นท่านก็เชื่อหรือว่าไม่มีจริงๆ ทำไมไม่บอกว่าเป็นคนอื่นที่เป็นโรคร้ายทำไมต้องบอกว่าเป็นคนข้างกายรัชทายาทที่เป็นโรคร้าย บอกว่าไม่ได้พุ่งตรงไปที่รัชทายาทก็คงไม่มีใครเชื่อ ”
ตี๋เว่ยหมิงได้ยินคำนี้ ก็เกิดความคิดที่อยากจะฆ่าโสวฝู่ฉู่ขึ้นมาในใจจริงๆ คนข้างนอกนั้นสงสัยไปร้อยแปดพันเก้าว่าอ๋องอันต้องการเป็นปรปักษ์กับรัชทายาท แต่ไม่มีใครสักคนกล้าพูดต่อหน้าไท่ซ่างหวงแม้แต่ครึ่งคำ
เขานึกถึงความเป็นสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไท่ซ่างหวงกับโสวฝู่ฉู่ ถ้าหากไท่ซ่างหวงเชื่อคำพูดนี้จริงๆ เช่นนั้นคงไม่ดีต่ออ๋องอันเป็นอย่างมาก เอ่ยอย่างตื่นเต้นขึ้นมาว่า
“ไท่ซ่างหวง ท่านมีปัญญาหลักแหลม กระหม่อมไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ กระหม่อมยินดีใช้หัวเป็นประกัน ขอไท่ซ่างหวงมีพระบัญชา ฆ่ากระหม่อมเสีย เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีที่กระหม่อมมีต่อรัชทายาท”
ไท่ซ่างหวงโบกมือไปมา “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดเรื่องตัดคออะไรนั่นแล้ว ไม่ถึงขั้นนั้น พวกเจ้าสองคนต่างก็ติดตามข้ามาหลายปี ข้าลองไตร่ตรองดูแล้ว เรื่องนี้เป็นเพราะพ่อลูกตระกูลตี๋ขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบจริง ไม่มีการสอบสวนและตรวจสอบอย่างละเอียด พระมาตุลาถูกลดขั้นถึงสองขั้น นับว่าถูกลงโทษไปแล้ว ความผิดในเรื่องที่แม่ทัพใหญ่ไม่ควบคุมสั่งสอนลูกชายให้ดีนั้น ขอให้ปลดออกจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งองครักษ์ลับผี ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้องครักษ์ลับผีก็ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรมากมายแล้ว เจ้าก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานเพื่อราชสำนักจะดีกว่า ”
ตี๋เว่ยหมิงแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยสักนิด
ปลดเขาออกจากตำแหน่งแม่ทัพแห่งองครักษ์ลับผีอย่างง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ อีกทั้งฟังแล้วน้ำเสียงของไท่ซ่างหวงยังดูใจกว้างมีเมตตาเป็นอย่างยิ่ง ไม่อยากจะลงโทษอย่างไรอย่างนั้น
แต่ใครจะไปรู้ว่าการเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งองครักษ์ลับผีนั้นมีความหมายว่าอย่างไร หมายถึงการเป็นผู้นำกองทัพที่ลึกลับกองทัพหนึ่ง พลังของกองทัพนี้ช่างน่าสะพรึงนัก สามารถแทรกซึมสามารถสู้รบ ภายหน้าหากไท่ซ่างหวงไม่ใช้การแล้ว กองทัพนี้ภายใต้การนำของผู้นำคนใหม่ในระยะเวลาเพียงไม่นาน ก็จะมีแม่ทัพใหญ่เป็นผู้นำสูงสุด สำหรับอ๋องอันที่ต้องการควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด ทำให้สถานการณ์ทั้งหมดสงบลงได้นั้นกองทัพนี้มีประโยชน์มาก
ตอนนี้ กลับปลดเขาออกจากตำแหน่งอย่างง่ายดายสบายๆเช่นนี้เลยหรือ
“อืม ทำไมยังไม่ขอบคุณข้าอีก”ไท่ซ่างหวงขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงเริ่มมีความไม่พอใจแฝงอยู่ด้วย
ตี๋เว่ยหมิงบังคับจิตใจให้สงบลงอย่างยากลำบาก คำนับขอบคุณ “กระหม่อมขอบพระทัยไท่ซ่างหวง”
โสวฝู่ฉู่กลับรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง “ไท่ซ่างหวงท่านก็เอาแต่ปกป้องเขา วันเวลาที่แม่นมสี่รับใช้ท่านยาวนานกว่าเขานัก ท่านปกป้องเขาเช่นนี้ จะทำให้แม่นมสี่ไม่พอใจเอาได้ ”
“ประเดี๋ยวก็ให้พระชายารัชทายาทปลอบใจนางให้มากหน่อย แม่นมสี่ก็เป็นคนมีเหตุผลคนหนึ่ง แม่ทัพใหญ่สร้างคุณงามความดีเพื่อแผ่นดิน ข้าย่อมต้องรักและทะนุถนอมอยู่บ้างเป็นธรรมดา ”ใบหน้าของไท่ซ่างหวงแสดงท่าทีราวกับเพื่อคนที่ตนรักสามารถทำเรื่องไม่สมควรได้ มองตี๋เว่ยหมิง “เอาล่ะ เจ้าส่งมอบตราพิสูจน์ตัวรูปพยัคฆ์ขององครักษ์ลับผีออกมาเถอะ”
ตี๋เว่ยหมิงเกือบจะกระอักเลือดสดๆออกมาแล้ว ร่างกายสั่นเทาไปหมด เพื่อไม่ให้เป็นการเสียกิริยา เขาส่งมอบตราพิสูจน์ตัวรูปพยัคฆ์ออกไปด้วยความสั่นเทาเล็กน้อย คำนับแล้วกล่าวลา
ออกจากตำหนักฉินคุนแล้ว เขาเพิ่งจะเข้าใจ ตัวเองได้พบเข้ากับจิ้งจอกเฒ่าแสนเจ้าเล่ห์ถึงสองคน ไม่มีลางบอกเหตุล่วงหน้าเลย ยังไม่ทันที่เขาจะได้ล่ำลากับคนภายในองครักษ์ลับผีด้วยซ้ำ ก็ถูกบีบให้ส่งมอบตราพิสูจน์ตัวรูปพยัคฆ์ออกไปแล้ว
อยู่ในองครักษ์ลับผีมาตั้งหลายปี ไม่มีผลเก็บเกี่ยวเลยแม้แต่น้อย หลังจากส่งมอบตราพิสูจน์ตัวรูปพยัคฆ์แล้ว คงจะให้แม่ทัพหลอขึ้นมาเป็นแม่ทัพใหญ่แน่ คนคนนี้เดิมทีก็เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งองครักษ์ลับผี ต้องทำการปรับคำสั่งเรียกตัวและวิธีการติดต่อต่างๆแน่ เขาไม่สามารถจะพบองครักษ์ลับผีได้อีกแล้ว
กัดฟันกรอดสบถคำด่าออกมาหนึ่งคำ ตี๋เว่ยหมิงก็ออกจากวังไปอย่างรวดเร็ว
ภายในตำหนักฉินคุน หลังจากตี๋เว่ยหมิงจากไปแล้ว โสวฝู่ฉู่ราวกับกำลังเล่นมายากลล้วงเขาไปในแขนเสื้ออันกว้างขวางหยิบเอากาเหล้าใบหนึ่งออกมา เอ่ยอย่างดีใจว่า “เซียวเหยากงไม่มีวาสนา เหล้าหรุ่ยเอ๋อหงร้อยปีเชียวนะ ใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีแล้วได้มาแค่กาเล็กๆกาเดียว”
ไท่ซ่างหวงดีใจมาก “ เหล้าหรุ่ยเอ๋อหงร้อยปี สวรรค์ นั่นมันล้ำค่ามาเลยนะ เร็ว เอาแก้วมา”
ฉางกงกงไปหยิบแก้วสามใบมาด้วยรอยยิ้ม วางไว้บนโต๊ะ พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าน้อยขอชิมสักเล็กน้อย นิดเดียวก็พอ ข้าน้อยจะระวังคำพูดต่อหน้าพระชายารัชทายาท จะไม่คายเรื่องที่ท่านดื่มเหล้าเด็ดขาด”
ไท่ซ่างหวงด่าด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ามันบ่าวเจ้าเล่ห์ รู้จักข่มขู่ข้าแล้ว ให้เขาชิมคำหนึ่ง”
โสวฝู่ฉู่วันนี้อารมณ์ดี ใจกว้างเป็นอย่างยิ่ง รินเหล้าให้ไท่ซ่างหวงจนเต็มแก้ว รินให้ฉางกงกงเต็มแล้ว จากนั้นก็รินให้ตนเอง สีของเหล้านั้นใสสะอาดเป็นอย่างยิ่ง กลิ่นหอมแตะจมูก แค่ดมเท่านั้น ก็รู้สึกเมาแล้วสามสี่ส่วน
ไท่ซ่างหวงถามว่า “เหล้านี้ได้มาจากที่ไหน เป็นถึงเหล้าหรุ่ยเอ๋อหงร้อยปีเชียว หาได้ยากยิ่ง ”
โสวฝู่ฉู่พูดยิ้มๆว่า “บ้านเศรษฐีหลี่ที่ด้านตะวันตกของเมือง มีท่านป้าคนหนึ่งที่ไม่แต่งงานออกเรือนสักที หลายวันก่อนข้าไปแถวนั้น เพิ่งจะครบหนึ่งร้อยปีพอดี ก็เลย เศรษฐีหลี่จึงขุดเอาเหล้าไหนี้ออกมา พอดีข้ารู้เข้า แน่นอนว่าต้องไปเฝ้ารอ ก็เลย แบ่งได้กาเล็กๆหนึ่งกา คนแย่งกันเยอะมาก ได้มากาแค่นี้ก็นับว่าให้หน้ามากแล้ว”
ไท่ซ่างหวงถอนหายใจ “เจ้าว่าลูกสาวข้าพวกนั้น หรือพี่สาวน้องสาวข้า ทำไมจึงไม่มีใครไม่แต่งงานนะ”
โสวฝู่ฉู่พูดยิ้มๆว่า “ไท่ซ่างหวง ยังมีอีกหนึ่งคน ท่านยังจำได้หรือไม่ ”